เสวนาชุดคำสั่งมีปัญหาประชาชนจะดีบักอย่างไร

ชื่อบทความ: เสวนาชุดคำสั่งมีปัญหาประชาชนจะดีบักอย่างไร

เผยแพร่ใน: รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 172 มกราคม 2564, น. 11 – 16.

บทคัดย่อ

บทความนี้เป็นการสรุปจากงานเสวนาชุดคำสั่งมีปัญหาประชาชนจะดีบักอย่างไร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานสัมมนาสาธารณะทีดีอาร์ไอ ประจำปี 2563 เรื่อง “แฮกระบบราชการ เปลี่ยนระบบปฏิบัติการประเทศ” เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ในรูปแบบ Virtual Conference งานเสวนาครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้รู้ทางกฎหมาย 3 ท่าน คือ คุณปกรณ์ นิลประพันธ์ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปากุล และคุณยิ่งชีพ อัชฌานันท์

Download บทความนี้

อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ​ : ชีวิตการงานด้วยความซื่อสัตย์ในหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่  ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ

นี่คือวิสัยทัศน์ที่ ศาสตราจารย์ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เคยให้ไว้เมื่อดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนตัวตนของ ดร.อิสสระ ผู้มีความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์ได้เป็นอย่างดี

เพื่อรำลึกถึง ดร.อิสสระ ซึ่งเพิ่งจากโลกนี้ไป เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564  ท่ามกลางความรักและระลึกถึงในความทรงจำจากคนที่เคยรู้จัก  บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงชีวิตและผลงานของท่าน

กำเนิดและการศึกษา

ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2475 โดยเป็นบุตรของพระนิติทัณฑ์ประภาศ (สนอง สุจริต) กับนางชวนชื่น นิติทัณฑ์ประภาศ (สกุลเดิม พนมยงค์) ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาของนายปรีดี พนมยงค์  ดังนั้น ดร.อิสสระ จึงเป็นหลานลุงของนายปรีดี

นอกจากพระนิติทัณฑ์ประภาศ ผู้บิดา ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุตรชายแล้ว  นายปรีดีนับเป็นอีกบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ ดร.อิสสระ เป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากการเลือกศึกษาต่อในสาขานิติศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และเมื่อเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดร.อิสสระได้เจริญรอยตามนายปรีดี  เข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ในสาขากฎหมายมหาชนต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศส ในมหาวิทยาลัยกอง (Université de Caen) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่นายปรีดีได้ศึกษาจบมาในชั้นปริญญาตรี 

หลังจากนั้น ดร.อิสสระสำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางกฎหมายมหาชน (Diplome d’Etudes Superieures de Droit Public) และในระดับนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Docteur en Droit) จากมหาวิทยาลัยกอง ประเทศฝรั่งเศส

นักกฎหมายมหาชนผู้รอบรู้

นอกจากบทบาทในการเป็นข้าราชการแล้ว ดร.อิสสระยังมีบทบาทสำคัญในฐานะนักกฎหมายมหาชนแนวหน้าของประเทศไทย  ท่านเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งสาขากฎหมายมหาชนยังเป็นสาขาวิชากฎหมายใหม่ที่เพิ่งเติบโตขึ้นในประเทศไทยได้ไม่นาน พร้อม ๆ กับการก่อตั้งของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2477  ในเวลาต่อมา ท่านได้ดำรงตำแหน่งในฐานะนายกสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2530–2534

คุณูปการสำคัญของ ดร.อิสสระ ต่อวงการกฎหมายมหาชนของประเทศไทย คือ ท่านเป็นผู้บุกเบิกการเขียนตำรากฎหมายปกครองเปรียบเทียบของประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกฎหมายปกครองของฝรั่งเศสกับอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นเรื่องที่ทันสมัยมากในยุคนั้น เพราะนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าประเทศอังกฤษนั้นไม่ได้มีกฎหมายมหาชนแบบเดียวกับประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป

ความเป็นผู้รู้ทางกฎหมายมหาชนของ ดร.อิสสระ ไม่ใช่แต่เพียงจากการศึกษาตำราจำนวนมากเท่านั้น แต่มาจากประสบการณ์ที่ท่านสั่งสมมาจากการทำงานในตำแหน่งราชการอีกด้วย โดยจะเห็นได้จากในบทความหนึ่งที่ชื่อว่า “การใช้ถ้อยคำ ‘แปรญัตติ’ ที่ไม่ถูกต้อง” ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ มติชน รายวัน ซึ่งในบทความนี้ท่านได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการแปรญัตติกับการชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎรหรือในกรรมาธิการว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องเล็กน้อย  ทว่า สิ่งเล็กน้อยนี้สะท้อนความละเอียดรอบคอบ และความใส่ใจต่อการใช้ถ้อยคำทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกฎหมายสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญอีกแล้ว แต่กลับนิยมเล่นแร่แปรถ้อยคำไปมาเพียงเพื่อบริการผู้มีอำนาจทางการเมือง

นอกจากการเป็นผู้ศึกษากฎหมายมหาชนแล้ว บางโอกาส ดร.อิสสระยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เพื่อถ่ายทอดความรู้ทางกฎหมายมหาชนของท่าน จนได้รับเกียรติยศสูงสุดทางการศึกษา คือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

นักกฎหมายการคลังผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณ

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสกลับมาเป็นประเทศไทย ดร.อิสสระ ได้เข้ารับราชการและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาโดยตลอด จนได้ดำรงตำแหน่งสำคัญเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีความสำคัญของประเทศและต้องอาศัยผู้มีความรู้ความสามารถสูง

ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการงบประมาณของท่านนั้น ปรากฏอยู่ในความเห็นตามบทความหนังสือพิมพ์หรือบทความวิชาการเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณที่ท่านได้ชี้แจงถึงความเข้าใจคลาดเคลื่อนอันเกิดมาจากความสลับซับซ้อนของเทคนิคทางงบประมาณ ซึ่งบ่อยครั้งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำตัวเลขเงินคงคลังมาแถลงให้สื่อมวลชนทราบ หรือนำมากล่าวอ้างในโอกาสต่าง ๆ ในทำนองชี้ให้เห็นว่า การคลังของประเทศมีเสถียรภาพดี แต่มิได้อธิบายให้ประชาชนได้รู้ว่า “เงินคงคลัง” นั้นคืออะไร ทำให้คนทั่วไปจึงต้องเดาเอาเองว่าเงินคงคลัง คือ เงินที่รัฐบาลได้สะสมไว้เป็นเงินสำรองเพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

ในบทความชื่อว่า “เงินคงคลัง” นั้น ดร.อิสสระได้อธิบายถึงความเป็นมาเป็นไปของคำว่า เงินคงคลังมีที่มาอย่างไร ทั้งในแง่ของการพิจารณาความหลายตามหลักภาษา และความหมายในทางการคลัง วางอยู่บนข้อถกเถียงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับความหมายของเงินคงคลังที่ใช้ในทางการคลังของประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความชัดเจนว่า “เงินคงคลัง” เป็นเงินที่รัฐบาลได้รับไว้โดยมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่าย ข้อผูกพันดังกล่าวมีผลให้เงินคงคลังผันแปรได้  ดังนั้น หากจะพิจารณาฐานะเงินคงคลังของประเทศนั้น จะพิจารณาตัวเลขเงินคงคลังอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องพิจารณาถึงข้อผูกพันในการจ่ายเงินของรัฐบาลด้วย

ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านงบประมาณที่หาจับตัวได้ยากนี้เอง ทำให้ท่านได้มีโอกาสเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ อยู่หลายครั้ง เพื่อคอยย้ำเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงงบประมาณของประเทศ ดังเช่นในบทความที่ชื่อว่า “วัวหายล้อมคอก – บทเรียนจากการอภิปรายงบประมาณ ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปรับลดงบประมาณรายจ่ายโดยกรรมาธิการวิสามัญเพื่อไปจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการในบางจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อหวังสร้างความนิยมในกลุ่มฐานเสียงของตนเอง ซึ่ง ศ.ดร.อิสสระ ได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ ศ.ดร.อิสสระ ได้เสนอแนะให้มีการสร้างกลไกทั้งในวิธีการทางนิติบัญญัติ และในวิธีการในทางบริหาร ซึ่งถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก เพราะปัญหาดังกล่าวในปัจจุบันนี้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้กำหนดห้ามการกระทำดังกล่าวเอาไว้ชัดเจน

ศาลรัฐธรรมนูญกับการสร้างความเชื่อมั่น

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันการเมืองและสถาบันทางกฎหมายใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นมาในประเทศไทย อันเป็นผลมาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ดร.อิสสระ ก็ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดแรกในปี พ.ศ. 2541 และได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2545 บทบาทของท่านในช่วงแรกจึงมีความสำคัญในฐานะผู้วางรากฐานความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ดร.อิสสระ เป็นผู้หนึ่งที่ตระหนักดีถึงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยปรากฏในคำวินิจฉัยส่วนตนในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542 ซึ่งระบุในเชิงว่า “เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่าบุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายเท่าเทียมกัน จำเลยและประชาชนทั่วไปต่างก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย โจทก์หรือสถาบันการเงินต่างๆ ก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย จึงไม่อาจมีสิทธิเหนือกว่าประชาชนหรือบุคคลโดยธรรมชาติ  ดังนั้น กฎหมายใดก็ดี ประกาศโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายใดก็ดี ที่ทำให้บุคคลได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายไม่เท่าเทียมกันแล้วย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ซึ่งท่านแสดงให้เห็นในคำวินิจฉัยส่วนตนในคดีแล้วว่าความเสมอภาคของบุคคลเป็นคุณค่าสำคัญที่รัฐธรรมนูญจะต้องพิทักษ์รักษาไว้

นอกจากนี้ เมื่อได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ดังได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งที่ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง และตุลาการทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตด้วยเกียรติยศในวิชาชีพนักกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและผู้เป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการควรยึดถือไว้ โดยเฉพาะท่ามกลางยุคทมิฬที่มาร ครองเมืองและนักกฎหมายส่วนใหญ่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอำนาจ และรับใช้ผู้มีอิทธิพลโดยบิดเบือนหลักการทางกฎหมายเช่นปัจจุบันนี้

ศ.ดร.อิสสระ ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์นั้นได้เป็นวิถีทางสำหรับคนรุ่นถัดไปได้เลือกเดินตาม บนวิถีทางของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระลึกถึงหลักการและหน้าที่ของตน


อ้างอิง

  • สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ. “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ.” ปีที่ 4 เล่มที่ 10. วารสารศาลรัฐธรรมนูญ. (มกราคม – เมษายน 2545) : 3 – 7.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “การใช้ถ้อยคำ “แปรญัตติ” ที่ไม่ถูกต้อง.” มติชน. (23 มีนาคม 2536) : 9.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “เงินคงคลัง.” ปีที่ 41 ฉบับที่ 10. รัฐสภาสาร. (ตุลาคม 2536) : 60 – 76.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “วัวหายล้อมคอก บทเรียนจากการอภิปรายรายงบประมาณ.” มติชน. (6 มีนาคม 2536) : 8.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “อันว่าเงินคงคลังนั้นเป็นฉันใด.” ปีที่ 2 ฉบับที่ 5. วารสารการงบประมาณ. (เมษายน – มิถุนายน 2548) : 7 – 18.
  • คำวินิจัยฉัยส่วนตนของ นายอิสสระ นิติทัณฑ์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542.

สไลด์การนำเสนอผลการศึกษาการทบทวนการขออนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมและที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม

สไลด์ประกอบการนำเสนอเรื่องผลการศึกษาการทบทวนการอนุญาตของทางราชการที่เกี่ยวกับโรงแรมและธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน โดยธิปไตร แสละวงศ์ และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ นำเสนอต่อคณะทำงานพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจให้เช่าที่พักแบบรายวัน ในวันที่ 27 มกราคม 2564 ณ ห้องประชุมวุฒิสภา 302 อาคารรัฐสภา (เกียกกาย)

หมายเหตุ เนื้อหาในการนำเสนอครั้งนี้มาจากโครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน

หลักภราดรภาพกับการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 (Covid-19) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะการระบาดในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมาอย่างยาวนาน  ทว่ายังได้เร่งให้ผลลัพธ์ของการสั่งสมปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านั้นให้ปรากฏออกมา ซึ่งในบทความที่แล้ว ผู้เขียนได้นำเสนอปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในบางประการ (วิกฤตโควิด กับวังวนของปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไทย) ในบทความนี้จึงขอเสนอแนวทางการเยียวยาผลกระทบจากโควิด 19

ภราดรภาพ: วิธีการและทางออกของปัญหา

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไทยไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  ทว่าเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกของประเทศไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ถูกกระตุ้นด้วยการระบาดเชื้อไวรัส การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการระบาดเป็นเรื่องหนึ่งที่จะต้องดำเนินต่อไป แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมก็จำเป็นต้องได้รับการเยียวยาแก้ไข

หัวใจสำคัญที่เป็นทั้งวิธีการและทางออกของปัญหาในครั้งนี้ คือ “ภราดรภาพ” ซึ่งหมายถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเสมือนคนทั้งผองเป็นพี่น้องกัน  โดยนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เคยให้วิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศเอาไว้ว่า “…มนุษย์เกิดมาเพื่ออยู่ร่วมกันดั่งกล่าวแล้ว มนุษย์จำต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ในประเทศหนึ่ง ถ้ามนุษย์คนหนึ่งต้องรับทุกข์ เพื่อนมนุษย์คนอื่นก็รับทุกข์ด้วย จะเป็นโดยตรงหรือทางอ้อมก็ตาม เหตุฉะนั้น เพียงแต่มนุษย์มีความอิสระและมีความเสมอภาค จึงยังไม่เพียงพอ คือ จำต้องมีการช่วยเหลือกันฉันท์พี่น้องด้วย…” [1]

แนวคิดภราดรภาพนี้ตั้งอยู่บนฐานคิดว่า มนุษยชาติต้องพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น จึงจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในความลำบากของผู้อื่นด้วย ซึ่งการนี้เป็นมูลฐานแห่งความยุติธรรมของสังคม[2]

การช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามแนวคิดแบบภราดรภาพนี้ อาจเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเองโดยจากเอกชนช่วยเหลือกันเอง ดังเช่นในช่วงแรกของก่อนระบาดของเชื้อไวรัสในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งมีเอกชนจำนวนมากออกมาจัดให้มีข้าวปลาอาหารสำหรับผู้ที่มีความต้องการสามารถนำไปรับประทานได้ หรือการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเองนี้อาจกระทำโดยผ่านรัฐอันเป็นศูนย์กลาง และรัฐได้กระจายความช่วยเหลือไปยังเอกชนที่ต้องการอีกตอนหนึ่ง 

แต่ในส่วนนี้สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้มีคนจำนวนมากได้รับผล กระทบ ส่งผลต่อความยากลำบากของการใช้ชีวิต เช่น การล็อกดาวน์ (Lock down) ทำให้ต้องทำงานอยู่บ้าน หรือโรงเรียนงดจัดการเรียนการสอนทำให้ผู้ปกครองจำเป็นต้องลำบากหาคนดูแลลูก เป็นต้น หรือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการว่างงานเพิ่มขึ้น เพราะการปิดกิจการหรือลดจำนวนลูกจ้างลง ลำพังหากเอกชนช่วยเหลือกันเองคงเป็นไปได้ยาก เพราะเอกชนแต่ละคนก็ได้พยายามอย่างเต็มกำลังความสามารถแล้ว ดังนั้น รัฐบาลเองจึงควรก้าวเข้ามาให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกคนโดยตระหนักว่า ภราดรภาพระหว่างคนในสังคมเป็นสิ่งสำคัญ และปฏิบัติกับคนทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมในการบำรุงรักษาไม่ใช่ในลักษณะเป็นสวัสดิการแบบชิงโชคอย่างที่รัฐบาลดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน

ด้วยความตระหนักและส่งเสริมความภราดรภาพในสังคม รัฐบาลควรที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายที่ใช้ในการแก้ไขเพื่อบรรเทาสถานการณ์โควิด-19 โดยเลิกนโยบายสวัสดิการแบบชิงโชคที่ปล่อยให้ประชาชนแย่งชิงกันรับความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นการบั่นทอนภราดรภาพในสังคมไทย

สำหรับแนวทางการบรรเทาสถานการณ์โควิด-19 ในตอนนี้ควรดำเนินการใน 2 ลักษณะสำคัญ คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น และการแก้ไขปัญหาระยะยาวเมื่อการระบาดสิ้นสุดลง

การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น

หากรัฐบาลน้อมนำแนวคิดเรื่องภราดรภาพนิยมมาสืบสาน รักษา และต่อยอดแล้ว รัฐบาลควรตระหนักว่า ประชาชนทุกคนควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าถึงและเท่าเทียมกัน  แม้โครงการคนละครึ่งที่รัฐบาลออกมาช่วยเหลือร้อยละ 50 ของค่าอุปโภคและบริโภคโดยไม่เกิน 150 บาทต่อวัน โดยไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนในการใช้จ่ายค่าอุปโภคและบริโภค และยังช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยไปในขณะเดียวกัน แต่การใช้สวัสดิการแบบชิงโชคนี้มีข้อเสีย คือ นอกจากจะทำให้เงินช่วยเหลือดังกล่าวไม่สามารถเข้าถึงผู้มีความต้องการที่แท้จริงได้แล้ว การรับเงินสวัสดิการแบบชิงโชคยังมีเงื่อนไขการเข้ารับเงิน ที่ต้องมีโทรศัพท์มือถือซึ่งลงแอพพลิเคชั่นให้สามารถรับเงินจากรัฐบาลได้ ประเด็นนี้ยิ่งซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้นไปอีก 

ในประเด็นนี้ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เคยกล่าวไว้ว่า โครงการคนละครึ่งนั้นเป็นโครงการที่ดี แต่ควรขยายสิทธิและเพิ่มสิทธิเพื่อให้เกิดการเข้าถึงความช่วยเหลือได้มากกว่านี้[3] ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลอาจจะขยายสิทธิในการเข้าถึงโครงการคนละครึ่งให้เพิ่มขึ้น โดยพิจารณาความจำเป็นของผู้รับสิทธิอย่างรอบด้านมากกว่าการให้เป็นสวัสดิการชิงโชค

โควิด-19 ทำให้ธุรกิจทุกขนาดได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการว่างงานลง เนื่องจากการเลิกจ้างหรือปิดกิจการ  เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นภายหลังจากการระบาดของเชื้อไวรัส รัฐบาลควรจะเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ของ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร และคุณกิตติพัฒน์ บัวอุบล แห่งทีดีอาร์ไอ ชี้ว่า ปัจจัยสำคัญของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ขึ้นอยู่กับการได้มาซึ่งวัคซีนและสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย[4] ซึ่งปัญหาถัดไป ก็คือ การเข้าถึงวัคซีนรักษาโควิด-19

การระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศไทยนับว่ามีข้อดีอยู่บ้าง คือ การระบาดระลอกนี้มาพร้อมกับการพัฒนาวัคซีนรักษาโควิด-19 ได้สำเร็จ และอยู่ในระหว่างการทดลองใช้  ในประเทศไทยมีข่าวเกี่ยวกับการนำวัคซีนเข้ามา แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า ประชาชนจะเข้าถึงวัคซีนได้อย่างไร 

ในกรณีนี้หากรัฐบาลเชื่อในหลักภราดรภาพแล้ว ควรจะต้องกระจายการเข้าถึงวัคซีน เช่น โดยการที่รัฐผลิตวัคซีนเองโดยองค์การเภสัชกรรมร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เป็นต้น หรือผ่านการแทรกแซงกลไกสิทธิบัตร โดยการบังคับใช้สิทธิบัตรยาโดยรัฐ  อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกรณีก็อาจมีปัญหาต่อไป กล่าวคือ กรณีแรกรัฐบาลอาจไม่ได้มีความสามารถเพียงพอ และกรณีหลังอาจเป็นไปได้ยากและที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่ได้บังคับใช้สิทธิบัตรยาโดยรัฐในเวลาที่ถูกที่ควร[5]

การแก้ไขเบื้องต้นนี้เป็นเพียงแนวทางบางส่วนเพื่อบรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้า ซึ่งรัฐบาลควรตระหนักและดำเนินการให้เป็นไปโดยเร็ว นอกจากมาตรการดังกล่าวเหล่านี้ ยังมีมาตรการอื่น ๆ ที่รัฐบาลอาจดำเนินการ เช่น การพักชำระหนี้ครัวเรือน จนไปถึงการงดเว้นการบังคับใช้กฎหมายล้มละลายเป็นการชั่วคราวหากจำเป็น เป็นต้น

การแก้ไขปัญหาระยะยาวเมื่อการระบาดสิ้นสุดลง

การแก้ไขปัญหาระยะยาวเมื่อการระบาดสิ้นสุดลง รัฐบาลมีเรื่องจำเป็นต้องดำเนินการอยู่อีกเป็นจำนวนมาก จึงต้องทำการบ้านอีกมาก เพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานของสังคมไทย ให้สามารถรับมือกับวิกฤตในครั้งใหม่ได้  รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนบทบาทของตัวเองเสียใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีอิสรภาพ และความเสมอภาคกันในการดำรงชีวิตในสังคมที่มีภราดรภาพ

ประการแรก ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลไม่ว่าในสมัยใดก็ต้องพยายามแก้ไข ทว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัจจัยหนึ่งที่อาจช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยได้ คือ การพิจารณาถึงการจัดสวัสดิการพื้นฐานถ้วนหน้าเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันกับวิกฤตในอนาคตได้  อย่างไรก็ตาม ลักษณะของสวัสดิการพื้นฐานถ้วนหน้าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรจำเป็นต้องศึกษากันต่อไปเพื่อรูปแบบที่เหมาะสมกับประเทศไทย

ประการที่สอง การปรับระบบราชการให้ยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น ดังได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนว่า วิกฤตการระบาดโควิด-19 สะท้อนปัญหาประสิทธิภาพและความสามารถของระบบราชการที่จะสนับสนุนการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากระบบราชการแต่เดิมวางอยู่บนกฎระเบียบจำนวนมาก ทำให้ไม่คล่องตัว และเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ก็มีการออกกฎระเบียบใหม่มาครอบกฎระเบียบเดิมทำให้กฎระเบียบนั้นซ้อนทับกันเปรียบได้กับขนมชั้น ทำให้ระบบราชการไม่สามารถปรับตัวให้รวดเร็วและทันสถานการณ์ รัฐบาลจึงควรพิจารณาศึกษาปรับลดกฎเกณฑ์ภายในของราชการลง และเน้นการขับเคลื่อนโดยผสานความร่วมมือกันมากขึ้นแทนการใช้กฎระเบียบสั่งการ

ประการที่สาม กฎหมายจำนวนมากสร้างต้นทุนให้กับประชาชน จากการศึกษาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตเพื่อปรับปรุง/ปรับลดกฎหมายที่ไม่จำเป็นจำนวน 1,094 กระบวนงาน โดยทีดีอาร์ไอ มีจำนวน 1,026 กระบวนงาน หรือร้อยละ 85 ที่เป็นกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นหรือล้าสมัย[6] หากรัฐบาลลดกฎระเบียบจำนวนมากเหล่านี้ที่ไม่จำเป็นลงได้ จะเป็นการลดภาระของประชาชนในการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่จำเป็นหรือล้าสมัยเหล่านี้ลงไป ทำให้ประชาชนประหยัดเงินจากการปฏิบัติตามกฎหมายและเปลี่ยนเป้าหมายการใช้จ่ายไปทำกิจกรรมอื่นที่มีผลเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแทน

ประการที่สี่ การสนับสนุนเอกชนอุดช่องว่างระหว่างสิ่งที่ภาคเอกชนควรทำ แต่ไม่ได้ทำ  ตลอดเวลาที่ผ่านมาการขยายตัวของธุรกิจในประเทศไทยกระทำผ่านการควบรวมซื้อกิจการ มากกว่าการลงทุนพัฒนานวัตกรรมใหม่ ทำให้ขาดการแข่งขันกันสร้างสรรค์นวัตกรรมซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ เรื่องการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพ (Start-up) ซึ่งประเทศไทยไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็นยูนิคอร์นเกิดขึ้นเลย ปัจจัยประการหนึ่งก็เกิดจากระบบราชการที่ไม่ยืดหยุ่นและกฎหมายจำนวนมากขัดขวางการพัฒนา  เมื่อรัฐบาลปรับระบบราชการให้ยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น และลดกฎหมายจำนวนมากที่ไม่จำเป็นและล้าสมัยแล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาช่วยสนับสนุนเอกชนอุดช่องว่างระหว่างสิ่งที่ภาคเอกชนควรทำ แต่ไม่ได้ทำ ผ่านการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และการให้ทุนวิจัยศึกษาพัฒนานวัตกรรม

การแก้ไขปัญหาระยะยาวนี้มีทั้งเรื่องที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและเรื่องที่ต้องค่อย ๆ ดำเนินการไป  ในเบื้องต้นรัฐบาลอาจเลือกเรื่องแก้ไขปัญหาจากกรณีที่หนึ่งและสองก่อน และค่อย ๆ ดำเนินการในกรณีอื่นต่อไป


เชิงอรรถ

[1] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, (พระนคร: นิติสาส์น, 2474),น. 20.

[2] อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ, “มอง “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ในปัจจุบัน,” สถาบันปรีดี พนมยงค์ (2560), สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564, จาก pridi.or.th/th/content/2020/05/244.

[3] ผู้จัดการออนไลน์, “เจาะมาตรการ “คนละครึ่ง” หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กีดกันคนจนเกินครึ่ง?!” ผู้จัดการออนไลน์ (2563), สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564, จาก https://mgronline.com/live/detail/9630000119603.

[4] กิริฎา เภาพิจิตร และกิตติพัฒน์ บัวอุบล, “เศรษฐกิจไทยปี 64 ในวิกฤตโควิดระลอกใหม่,” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (2564), สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564, จาก https://tdri.or.th/2021/01/economic-outlook-2021/.

[5] พูนสิน วงศ์กลธูต, “การพัฒนาระบบสิทธิบัตรยาของไทย และการเตรียมการรับรองผลกระทบจากการเจรจาเขตการค้าเสรีในประเด็นสิทธิบัตรยา,” รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 83 มิถุนายน 2553, น. 4.

[6] ภูมจิต ศรีอุดมขจร และเทียนสว่าง ธรรมวณิช, “เศรษฐกิจไทยฟื้นไม่ยาก หาก กิโยตินกฎหมาย” สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (2564), สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564, จากhttps://tdri.or.th/2020/12/regulatory-guillotine-part1/.

อาจารย์วิจิตร ผู้บุกเบิกวิทยาการคลัง และเลขาธิการเสรีไทย

คุณวิจิตร ลุลิตานนท์ เป็นบุคคลหนึ่งในแวดวงเศรษฐกิจการคลังที่น่าสนใจในฐานะผู้บุกเบิกวิทยาการคลังของประเทศไทย นอกจากนี้ คุณวิจิตรยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทย

ชีวิตครอบครัวและการศึกษา

คุณวิจิตร ลุลิตานนท์ เป็นบุตรชายของหลวงวิจารณ์สุขกรรม (ติ๊ด ลุลิตานนท์) กับนางทรัพย์ เกิดที่บ้าน “ลุลิตานนท์” ถนนสีลม เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2449  ในด้านการศึกษา คุณวิจิตรเข้าศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนประถมศึกษาเล็กๆ ในตรอกโรงภาษีชื่อว่า โรงเรียนครูสี ก่อนจะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนผดุงดรุณี และจากนั้นจึงย้ายมาเรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญจนจบชั้นมัธยมศึกษาในปี พ.ศ. 2467 แล้วเข้าศึกษาต่อโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม จนสำเร็จการศึกษาเป็นเนติบัณฑิตไทยในปี พ.ศ. 2470 

การเข้าทำงานรับราชการในกระทรวงยุติธรรม

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตไทย ในปีเดียวกันนั้น คุณวิจิตรได้เข้าทำงานในกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในตำแหน่งเสมียนฝึกหัด ซึ่งเป็นความนิยมในสมัยนั้นหากต้องการเจริญก้าวหน้าในการเรียนกฎหมายสำเร็จและสามารถสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการได้โดยง่าย จะต้องได้ฝึกงานในสำนักงานทนายความหรือในกรมร่างกฎหมาย 

เมื่อทำงานเป็นเสมียนฝึกหัดในกรมร่างกฎหมายได้ 2 ปี  โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ซึ่งในขณะนั้นมีผู้บรรยายส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศส เช่น นายหลุยส์ ดูปลาตร์  นายอังรี เอกูต์  และนายเอมิล ริโวด์ เป็นต้น เปิดรับสมัครล่ามภาษาฝรั่งเศสเพื่อมาช่วยแปลภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาไทย คุณวิจิตรจึงได้เข้ามาทำงานนี้

โดยก่อนหน้าคุณวิจิตรจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ คุณเสริม วินิจฉัยกุล ได้ทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสอยู่ก่อนแล้ว (โปรดดู เสริม วินิจฉัยกุล: ผู้ช่วยจัดทำตำรา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)  ทว่า ในปี พ.ศ. 2472 คุณเสริมจำเป็นต้องเข้ารับราชการทหาร เป็นเหตุให้โรงเรียนกฎหมายต้องหาผู้รับหน้าที่ล่ามแปลภาษาฝรั่งเศสแทนคุณเสริมชั่วคราว ความยากลำบากในการทำงานเป็นล่ามแปลภาษาฝรั่งเศสในเวลานั้นมีค่อนข้างมาก เนื่องจากในสมัยนั้นไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาฝรั่งเศสมากนัก

ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 คุณวิจิตรได้สอบเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาฝึกหัด กระทรวงยุติธรรม และได้รับราชการในกระทรวงยุติธรรมเรื่อยมาในตำแหน่งผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรมในปี พ.ศ. 2475 และผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมในปี พ.ศ. 2476 จนในเวลาต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 ได้จัดตั้งคณะกรรมกฤษฎีกา ให้มาขึ้นตรงต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ทำหน้าที่คล้ายกับสภาแห่งรัฐ (Conseil d’État) ของประเทศฝรั่งเศส ทำหน้าที่ร่างกฎหมายและวินิจฉัยคดีปกครอง และให้โอนกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม มาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีผลให้คุณวิจิตรได้โอนย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยเช่นกัน ในปี พ.ศ. 2477 คุณวิจิตรได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกในกองกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา

คุณวิจิตรกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศหลัก 6 ประการ ซึ่งประการหนึ่งคือ การจะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร อันนำไปสู่การจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมาในปี พ.ศ. 2477 ซึ่งคุณวิจิตรได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยจัดทำตำราของมหาวิทยาลัย มีหน้าที่จดบันทึกคำบรรยายเพื่อเอามาเรียบเรียงเป็นตำราและคำสอนสำหรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย

คุณวิจิตรได้มีบทบาทในการจัดทำตำราหลายเล่ม ซึ่งเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาอย่างเป็นระบบ อย่างเช่น ตำรากฎหมายลักษณะพยานและจิตตวิทยา: คำสอนชั้นปริญญาตรี (พ.ศ. 2477) ซึ่งเป็นคำบรรยายของศาสตราจารย์ หลุยส์ ดูปลาตร์ (L. DUPLATRE) โดยมีความสำคัญในฐานะตำรากฎหมายพยานที่ทันสมัยตามหลักการของกฎหมายพยานสากล

คุณวิจิตรรับราชการในอยู่ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นระยะเวลาหลายปี ทั้งได้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น ผู้ช่วยเลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เลขาธิการมหาวิทยาลัยณ และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฯ เป็นต้น และได้แต่งตำรากฎหมายไว้เป็นจำนวนมากครอบคลุมทั้งกฎหมายการคลัง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายอาญา และกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน

ในช่วงที่คุณวิจิตรรับราชการอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้นได้ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูงเป็นเลขาธิการ ซึ่งเป็นผู้บริหารโดยตรงของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันนี้ตำแหน่งดังกล่าวไม่มีแล้ว กลายมาเป็นตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายต่าง ๆ แทน 

คุณวิจิตรไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่เป็นข้าราชการในสังกัดของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สงครามมหาเอเชียบูรพา มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองกลายมาเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการวางแผนของขบวนการเสรีไทย ซึ่งแรกเริ่มนั้นขบวนการเสรีไทยเกิดขึ้นจากการนัดแนะประชุมกันในห้องเล็กๆ ใต้ตึกโดมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยมีสมาชิกเป็นคณะทำงานชุดแรก คือ  ศาสตราจารย์ ดร.เดือน บุนนาค  ศาสตราจารย์ ดร.เสริม วินิจฉัยกุล  คุณทวี ตะเวทิกุล  และคุณวิจิตร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการมหาวิทยาลัย คอยรับนโยบายจากนายปรีดี พนมยงค์ 

คุณวิจิตรมีบทบาทสำคัญอย่างมากในฐานะเลขาธิการเสรีไทยคอยเป็นผู้ประสานงานภายในขบวนการเสรีไทยในประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่า คุณวิจิตรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อขบวนการเสรีไทยจากคำบอกเล่าของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ว่า “ข้าพเจ้าได้มอบให้นายวิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งทำหน้าที่เลขาธิการองค์การต่อต้านซึ่งต่อมาใช้ชื่อว่า ‘ขบวนการเสรีไทย’ นั้น เป็นหัวหน้าพนักงานฝ่ายความเป็นอยู่ของผู้ถูกกักกันเท่านั้น”[1] หรือจากคำบอกเล่าของนายไสว สุทธิพิทักษ์ว่า “…วิจิตร ลุลิตานนท์ เป็นหัวหน้าศูนย์บัญชาการของขบวนการเสรีไทย ซึ่งจะเรียกว่า ท่านเป็นเสนาธิการของกองบัญชาการก็ว่าได้ ท่านเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยในประเทศ”[2]

บทบาทสำคัญประการหนึ่งที่ได้บันทึกเอาไว้ คือ ในตอนที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ เข้ามาทำภารกิจส่งสารจากคนสำคัญในรัฐบาลอังกฤษถึงนายปรีดี พนมยงค์นั้น ซึ่งในตอนนั้นคุณวิจิตรได้ประสานให้นายป๋วยได้พบและส่งมอบสารให้กับนายปรีดี ณ บ้านพักของคุณวิจิตรย่านบางเขนอย่างลับๆ (บ้านหลังนี้ต่อมาเป็นร้านอาหารชื่อดัง “บ้านขวัญจิตร” ก่อนที่จะปลาสนาการไป) และในขณะเดียวกันคุณวิจิตรก็ได้ไปปรึกษาและวางแผนการร่วมกับผู้นำขบวนการเสรีไทยที่ทำเนียบท่าช้างสม่ำเสมอ

นายปรีดีกับคุณวิจิตรมีความสัมพันธ์อันดีที่ใกล้ชิดกันจนถึงขนาดถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน 4 ทหารเสือของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งภายหลังจากนายปรีดีและพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์พ้นจากตำแหน่งทางการเมือง คุณวิจิตรในฐานะเพื่อนร่วมงานก็ถูกฝ่ายตรงข้ามนายปรีดีคุกคาม

ภาพคุณวิจิตร (กลาง) กับมารดาและพี่น้องครอบครัวลุลิตานนท์
ที่มา:
บันทึกการบรรยายวิชาวิทยาการคลัง และกฎหมายการคลัง, ฐานข้อมูลหนังสืออนุสรณ์งานศพอิเล็กทรอนิกส์วัดบวรนิเวศวิหาร

คุณวิจิตรกับการบุกเบิกวิทยาการคลัง

บทบาทสำคัญในฐานะผู้บรรยายของคุณวิจิตร คือ การเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายการคลังร่วมกับหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ซึ่งเป็นวิชาบรรยายเริ่มแรกในระดับชั้นปริญญาตรีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมา

วิทยาการคลังเป็นวิชาใหม่ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการรัฐยังคงมีอยู่อย่างจำกัด และไม่เป็นที่ศึกษาอย่างแพร่หลาย เนื่องจากในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นไม่มีความจำเป็นที่ราษฎรจะต้องเข้าใจวิทยาการคลัง เพราะราษฎรไม่มีโอกาสได้เข้าไปร่วมบริหารประเทศ แต่เมื่อมีการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้วราษฎรใช้อำนาจควบคุมการคลังผ่านทางนิติบัญญัติในรูปของการให้ความเห็นชอบกฎหมายงบประมาณ และกฎหมายอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ด้วยเนื้อหาสาระของวิทยาการคลังนั้นมีความยากในตัวเอง ดังกล่าวไว้ในคำบรรยายวิชากฎหมายการคลังของหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ และคุณวิจิตรว่า

การคลังเป็นส่วนหนึ่งของโภคศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับทฤษฎีการเงิน เครดิต และธนาคาร และยังจะต้องอาศัยสถิติเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ การคลังจึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะในทางบัญชีหรือเป็นปัญหาในทางจำนวนเงินเท่านั้น แต่เป็นเรื่องในทางนโยบายเป็นสำคัญ ทั้งยังต้องเข้าใจบริบทของต่างประเทศประกอบด้วย[3]

ภายหลังจากคุณวิจิตรได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น คุณวิจิตรได้มีโอกาสกลับมาบรรยายวิชาวิทยาการคลังและกฎหมายการคลังในระดับปริญญาโทให้กับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคุณูปการสำคัญของคุณวิจิตรประการหนึ่ง เนื่องจากการคลังนั้นหากไม่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้ปฏิบัติจริงก็คงไม่อาจเข้าใจถึงวิธีการหรือองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างชัดแจ้ง

ภาพครอบครัวลุลิตานนท์ ถ่ายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2491 วันคล้ายวันเกิดหลวงวิจารณ์สุขกรรม 
ครบรอบปีที่ 70 ในรูปคุณวิจิตรจะอยู่แถวหลังคนที่ 4 นับจากซ้ายมือ
ที่มา: บันทึกการบรรยายวิชาวิทยาการคลัง และกฎหมายการคลัง, ฐานข้อมูลหนังสืออนุสรณ์งานศพอิเล็กทรอนิกส์วัดบวรนิเวศวิหาร.

คุณวิจิตรกับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในการทำงานทางการเมืองคุณวิจิตรมีโอกาสได้ทำงานทางการเมืองในหลายบทบาททั้งดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2488 สมาชิกพฤฒสภา (วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489) และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในคณะรัฐมนตรีหลายชุดด้วยกัน เช่น ในคณะรัฐมนตรีของนายทวี บุณยเกตุ  หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช  นายปรีดี พนมยงค์  และพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

ช่วงเวลาที่คุณวิจิตรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นั้นประเทศไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลของสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเงินเฟ้อ (โปรดดู ภาวะเงินเฟ้อกับชีวิตคนไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ทำให้รัฐบาลตัดสินใจขายทองคำที่เป็นทุนสำรองของประเทศโดยคาดหมายว่าจะทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้นและราคาสินค้าบริการจะถูกลง  อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อภายหลังสงครามนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายลำพังไม่สามารถใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งทำโดยลำพังจะสำเร็จได้

นอกจากนี้ บทบาทในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่สำคัญของคุณวิจิตรอีกประการหนึ่ง คือ เป็นผู้ไปรื้อเอาเรื่องที่ญี่ปุ่นเป็นหนี้รัฐบาลไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นทองคำที่ต้องชำระหนี้มีมูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการในช่วงที่คุณวิจิตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ไปสำเร็จภายหลังจากได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว[4]

ผลงานสำคัญอีกประการหนึ่งของคุณวิจิตรในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คือ การผลักดันให้เกิดบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด ขึ้นมา เนื่องจากก่อนปี พ.ศ. 2489 รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการคลังต้องรับภาระจ่ายค่าเบี้ยประภัยเป็นจำนวนมากต่อปี คุณวิจิตรจึงมีดำริจะจัดตั้งบริษัทประกันภัยของรัฐบาลขึ้นมา โดยได้แจ้งนโยบายพิเศษให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2561) จัดตั้งบริษัทประกันภัยขึ้น เจตนารมณ์ที่แจ้งเป็นวัตถุประสงค์ไว้ในการประชุม “คณะกรรมการที่ปรึกษาจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ครั้งที่ 9/2489 วันที่ 16 กันยายน 2489 ว่า “เพื่อรัฐบาลจะได้ประกันภัยองค์การของรัฐบาลไว้กับบริษัทนี้ ซึ่งเท่ากับเป็นส่วนหนึ่งขององค์การรัฐบาล ก็จะเป็นการช่วยรายจ่ายของรัฐบาลได้อย่างมากส่วนหนึ่ง”[5] และในวันที่ 14 ตุลาคม 2489 คุณวิจิตร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นประธานที่ประชุมคณะกรรมการจัดตั้งบริษัทประกันภัยตามนโยบายพิเศษที่ได้ให้ไว้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไว้แล้ว และให้การรับรองชื่อบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด ตามที่นายปราโมทย์ พึ่งสุนทร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นคผู้เสนอ ซึ่งในช่วงแรกบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด[6]

ภายหลังจากพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณวิจิตรได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ในการสอนหนังสือให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนเกษียณอายุราชการ และเป็นศาสตราจารย์พิเศษสืบมา ซึ่งในบรรดาผู้คนรอบตัวของนายปรีดีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ คุณวิจิตรเป็นคนหนึ่งที่มีประวัติน่าสนใจและมีผลงานเป็นคุณแก่ประเทศนี้อยู่มาก น่าเสียดายที่ผลงานและเรื่องราวเกี่ยวกับคุณวิจิตรได้รับการบันทึกไว้ไม่มากนัก


อ้างอิง

  • จารุบุตร เรืองสุวรรณ. “นิทานเสรีไทย.” 24 ธันวาคม 2563, จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/08/377.
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, “ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์กับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง.” 24 ธันวาคม 2563, จาก http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-and-thammasat/.
  • วิจิตร ลุลิตานนท์. คำอธิบายกฎหมายอาญาภาคต้น (พระนคร: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2487).
  • วิจิตร ลุลิตานนท์. บันทึกการบรรยายวิชาวิทยาการคลัง และกฎหมายการคลัง (พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, 2503).
  • สกลวรรณากร วรวรรณ และวิจิตร ลุลิตานนท์. กฎหมายการคลัง (พระนคร: โรงพิมพ์อักษรนิติ, 2477).
  • ศิลปวัฒนธรรม. “ทำเนียบท่าช้าง “บ้านพัก” ของ 3 บรรพบุรุษประชาธิปไตย.” 24 ธันวาคม 2563, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_54666.
  • สมภพ โหตระกิตย์. “40 ปี ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.” 24 ธันวาคม 2563, http://web.krisdika.go.th/activityDetail.jsp?actType=I&actCode=2&head=4&item=n5.
  • หลุยส์ ดูปลาตร์ และวิจิตร ลุลิตานนท์. กฎหมายลักษณะพะยานและจิตตวิทยา (กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2561.)
  • อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นายเสริม วินิจฉัยกุล ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. นายกราชบัณฑิตยสถาน ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 19 ตุลาคม พุทธศักราช 2528
  • รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ 9/2490 (สามัญ) ชุดที่ 1 วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พุทธศักราช 2490 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม.

เชิงอรรถ

[1] นรนิติ เศรษฐบุตร, “วิจิตร ลุลิตานนท์ : เลขาธิการเสรีไทย,” สืบค้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563, จาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=วิจิตร_ลุลิตานนท์.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] สกลวรรณากร วรวรรณ และวิจิตร ลุลิตานนท์, กฎหมายการคลัง, (พระนคร : มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2477), 4.

[4] นรนิติ เศรษฐบุตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1.

[5] เทเวศประกันภัย, “ประวัติบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน),” สืบค้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563, จาก https://www.deves.co.th/th/about-us/company-profile/.

[6] นอกจากนี้ คุณวิจิตรยังมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในการจัดตั้งบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้บริษัทประกันต่างชาติได้ปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทประกันส่วนใหญ่ในเวลานั้นเป็นบริษัทประกันของคู่สงคราม ทำให้คนไทยและข้าราชการไทยชั้นผู้ใหญ่ได้ร่วมกันลงทุนเปิดกิจการบริษัทประกันซึ่งหนึ่งในนั้นคือคุณวิจิตร.

วิกฤตโควิดกับวังวนของปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือที่รู้จักกันในชื่อ โควิด-19 (Covid-19) ระบาดไปทั่วทุกมุมโลก นับเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหม่ที่ท้าทายการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผลกระทบในทางเศรษฐกิจและสังคมที่ตามมาทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งได้สร้างผลกระทบครั้งใหม่แบบที่ไม่ได้ประสบมาตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540  การระบาดของโรคอุบัติใหม่ในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างปัญหาใหม่ แต่ยังได้เร่งรัดให้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมซึ่งมีอยู่เดิมในสังคมไทยบางประการให้แสดงอาการออกมา และรุนแรงเกินกว่าจะรับมือได้ในช่วงวิกฤต ในบทความนี้ขอพาทุกท่านสำรวจเศรษฐกิจและสังคมไทยในวังวนของโควิด-19

ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในวังวนของโควิด-19

ในปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ผ่านมาตราการทางสาธารณสุขที่เข้มงวดต่าง ๆ ซึ่งต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับบุคลากรสาธารณสุขของประเทศที่ได้ช่วยให้สถานการณ์การระบาดคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาสถานการณ์การระบาดรัฐบาลได้เลือกใช้มาตรการที่รุนแรงโดยล็อคดาวน์ (Lock down) ประเทศ จำกัดการเข้าออกของคนต่างชาติ (ซึ่งรวมถึงประชาชนชาวไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในต่างประเทศ) เพื่อลดความเสี่ยงของการระบาดในประเทศ ผลจากมาตรการดังกล่าวทำให้ภาคการท่องเที่ยวมีรายได้ลดลงร้อยละ 12 เมื่อเปรียบเทียบกับในปี 2562[1] หากเปรียบเทียบรายได้จากนักท่องเที่ยวในปี 2562 กับปี 2563 จะเห็นได้ว่า รายได้ดังกล่าวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (ภาพที่ 1) ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวนั้นมีความสำคัญ โดยคิดเป็นร้อยละ 20 ของรายได้ประชาชาติ และเป็นร้อยละ 20 ของรายได้ครัวเรือน[2]  ดังนั้น ความสำคัญของการท่องเที่ยวจึงอยู่ในฐานะแหล่งรายได้หลักของประเทศ เปรียบได้กับเป็นหนึ่งในสามเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ภาพ 1 แสดงรายได้นักท่องเที่ยวไทยเดือนมกราคม – กันยายน 2563

ที่มา: รายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวเดือนกันยายน 2563, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา.

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยยังคงไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ แม้ว่ารัฐบาลจะได้พยายามกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวด้วยนโยบายต่าง ๆ แต่เนื่องจากการท่องเที่ยวของประเทศไทยผูกติดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ  ฉะนั้น ตราบใดที่การเข้ามาของนักท่องเที่ยวยังคงถูกจำกัดอยู่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวย่อมเกิดขึ้นได้ยาก

สำหรับในด้านการส่งออกของประเทศในปีที่แล้ว แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสจนเป็นที่น่าพึงพอใจแล้วก็ตาม แต่การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกเป็นวงกว้าง จำนวนผู้ป่วยทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการบริโภคสินค้าในต่างประเทศยังไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทย มูลค่าการส่งออกของประเทศไทยในเดือนมิถุนายนติดลบร้อยละ 23[3] แม้ในช่วงหลังเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา สถานการณ์การส่งออกจะดีขึ้นและการส่งออกติดลบน้อยลง แต่อุตสาหกรรมอาจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจ ทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกนั้น ส่งผลโดยตรงต่อตลาดแรงงานของประเทศ  กิจการจำนวนมากในประเทศต้องปิดกิจการลง เนื่องจากลดจำนวนพนักงานลง หรือจำกัดชั่วโมงการทำงาน ทำให้มีคนตกงานในระดับ 5–6 ล้านคน และแม้ในช่วงหลังเดือนมิถุนายน สถานการณ์การระบาดจะดีขึ้นและสามารถควบคุมได้ แต่ในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงได้รับผลกระทบอยู่ เนื่องจากรัฐบาลยังไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาได้ ผลกระทบในทางเศรษฐกิจนี้ยังดำเนินต่อไป[4]  และในช่วงปลายปีที่มีการระบาดครั้งใหม่ ซึ่งอาจจะซ้ำเติมสภาวะที่เผชิญอยู่ได้  ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมนั้นมีอย่างรุนแรงรายได้ประชาชาติในปี 2563 คาดว่าจะหดตัวลงใกล้ร้อยละ 10 ทั้งที่มีการเยียวยาจากรัฐบาลจำนวนมาก[5] จากการศึกษาของ ดร.สมชัย จิตสุชน แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พบว่า ผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่มบุคคลแยกตามระดับการศึกษา โดยเป็นผลการสำรวจออนไลน์โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ดังแสดงตามภาพที่ 2

ภาพที่ 2 ผลกระทบต่อรายได้ของโควิด-19 แยกตามระดับการศึกษา

ที่มา: ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: เปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาส, รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 168 กันยายน 2563.

นอกจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในข้างต้นแล้วโควิด-19 ยังได้สร้างผลกระทบในทางเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ อีก และยังได้สร้างผลกระทบในทางสังคมในหลายประการด้วย ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและสังคมไทยนั้นมีสาเหตุมาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมดั้งเดิมของประเทศไทย วิกฤตโควิด-19 นี้เป็นเพียงตัวเร่งให้ปัญหานั้นปรากฏขึ้น

เมื่อโควิด-19 มา ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยก็พุด

ดร.บัณฑิต นิจถาวร ได้กล่าวถึงความอ่อนแอของสังคมไทย ก่อนหน้าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งเมื่อเกิดการระบาดขึ้นมา บรรดาปัญหาทั้งหลายนั้นก็ได้ปรากฏขึ้นมาและรุนแรง ประหนึ่งเมื่อน้ำลดต่อก็พุด  ความอ่อนแอของสังคมไทยนั้นมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ประสิทธิภาพและความสามารถของระบบราชการ และช่องว่างระหว่างสิ่งที่ภาคเอกชนควรทำ แต่ไม่ได้ทำ[6]

ประการแรก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ว่าประเทศไทยจะมีอัตราความเหลื่อมล้ำลดลง เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ด้านรายได้และรายจ่าย แต่รายได้และรายจ่ายไม่ใช่เกณฑ์เดียวเท่านั้นที่ใช้ในการพิจารณาความเหลื่อมล้ำ  ในทางตรงกันข้ามการพิจารณาความเหลื่อมล้ำ ควรพิจารณาจากการกระจายตัวของความมั่งคั่งหรือการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งหากพิจารณาจากเกณฑ์นี้ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งอยู่ในกลุ่มที่สูงสุดในโลก[7]

นอกจากนี้ สังคมไทยยังเป็นสังคมที่ให้โอกาสการพัฒนาชีวิตของคนที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะระหว่างคนจน/คนชั้นกลางระดับร่าง และคนชั้นกลางระดับสูง/คนรวย[8] เมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัส ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจึงแสดงออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม  ภาพของผู้ปกครองจะต้องจัดหาเครื่องมือเพื่อให้บุตรหลานเข้าถึงการเรียนการสอนทางออนไลน์ หรือภาพของคนไร้บ้านที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเนื่องจากฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ หรือภาพที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ การที่ประชาชนของประเทศจากทั้งหมดประมาณ 67 ล้านคน มีประชาชนถึง 40 ล้านคน ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือจากรัฐ[9]

ในขณะที่ประชาชนประสบภาวะว่างงานและรายได้ของครัวเรือนที่ลดลง ตรงกันข้าม รายจ่ายของครัวเรือนกลับเพิ่มขึ้น จากค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ และรายจ่ายค่าไฟฟ้าที่เพิ่มจากการทำงานที่บ้าน  ในทางสังคม ระดับความเครียดและความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นมากจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยจากการสำรวจออนไลน์โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ในวันที่ 27 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 (ภาพที่ 3) พบว่าเกือบร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อเช่นในช่วงต่ำสุดของวิกฤตจะสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ลำบากมากจนเกินไปได้ไม่เกิน 3 เดือน

ภาพที่ 3 ระยะเวลาที่ดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่ลำบากเกินไป (ร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม)

ที่มา: ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: เปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาส, รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 168 กันยายน 2563.

ประการที่สอง ประสิทธิภาพและความสามารถของระบบราชการที่จะสนับสนุนการเติบโตและการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากระบบราชการของประเทศไทยนั้นยึดติดกับกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก  ทว่าเมื่อเกิดการระบาดเกิดขึ้น กฎเกณฑ์แบบเดิมไม่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ เช่น การประชุมผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่เป็นที่ยอมรับตามกฎหมายไทย ทำให้รัฐบาลต้องตราพระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 ขึ้นมารับรองการประชุมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  นอกจากนี้ การขาดประสิทธิภาพและความสามารถของระบบราชการนั้นเกิดจากบรรดากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่สร้างข้อจำกัดแก่การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนและยับยั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทยนั้นหดตัวลงร้อยละ 7.8 (ภาพที่ 4) ซึ่งปัจจัยมาจากการพยายามควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกบ้านและการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากร้านค้าตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และผู้บริโภคไม่สามารถสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ได้ เพราะกฎหมายห้ามไว้ เป็นต้น

ภาพที่ 3 การเติบของอุตสาหกรรมสุราในประเทศไทย

ที่มา: Euromonitor International, Passport Alcoholic Drinks in Thailand, Euromonitor International (August 2020).

ปัญหาอีกประการของระบบราชการ คือ ระบบราชการนั้นพึ่งพาเอกสารและกระดาษมากเกินไป  เมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัส ไม่ใช่เพียงเอกชนที่ได้รับผลกระทบ ส่วนราชการก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ข้าราชการต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานโดยทำงานอยู่กับบ้าน แต่เนื่องจากวิถีการทำงานของข้าราชการที่ผ่านมา ทำงานบนเอกสารผ่านหนังสือราชการเป็นหลัก  เมื่อต้องทำงานแยกกันตามบ้านพักของแต่ละคน การทำงานจึงดำเนินไปไม่สะดวก ทำให้หลาย ๆ กิจกรรมยังต้องติดต่อสื่อสารที่สำนักงานอยู่ และบางกิจกรรมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เลย

ประการที่สาม ช่องว่างระหว่างสิ่งที่ภาคเอกชนควรทำ แต่ไม่ได้ทำ กล่าวคือ การขยายตัวของธุรกิจในประเทศไทยกระทำผ่านการควบรวมซื้อกิจการที่ไม่ได้เป็นการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมใหม่  ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจึงมีกำลังการผลิตเท่าเดิม เพียงแต่เปลี่ยนเจ้าของเท่านั้น จึงไม่มีนวัตกรรมหรือสินค้าใหม่ ๆ ที่จะแข่งขันกับตลาดโลกในอนาคตได้ 

สำหรับช่องว่างนี้ ดร.บัณฑิต นิจถาวร อธิบายว่า “เกิดจากระบบแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ที่เป็นผลจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศไม่มีการพัฒนา ไม่มีนวัตกรรม ไม่มีการลงทุนใหม่ ไม่มีสินค้าใหม่ ๆ ที่จะไปแข่งขันกับต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้  ขณะเดียวกันภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ ก็ได้รับการปกป้องในการทำธุรกิจในประเทศ จนทำให้การทำธุรกิจในประเทศมีการแข่งขันน้อย ธุรกิจขนาดใหญ่มีอิทธิพลมากจากสัดส่วนตลาดที่มีสูงและความใกล้ชิดกับผู้ทำนโยบาย สิ่งเหล่านี้ทำให้การแข่งขันที่มีน้อยเป็นข้อจำกัดต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ธุรกิจขนาดกลางและธุรกิจจากต่างประเทศ ผลคือไม่มีแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศโดยผู้เล่นรายใหม่และเศรษฐกิจเสียโอกาส นี่คืออีกประเด็นที่ลืมไม่ได้และต้องแก้ไข เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว[10] ซึ่งหากพิจารณาให้ดี จะเห็นได้ว่า ปัญหาในข้อนี้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งเมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสขึ้นมาภายในประเทศ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็นของเอกชนเพียงกลุ่มหนึ่ง เมื่อเอกชนรายนั้นได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัส อุตสาหกรรมนั้นก็จะได้รับผลกระทบไปหมด ประกอบกับการส่งออกของประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างเต็มที่

ดังจะเห็นได้ว่า ความอ่อนแอทั้งสามประการข้างต้นนั้นส่งผลต่อสถานะทางเศรษฐกิจและคุณภาพของชีวิตของสังคมไทยอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้ซ้ำเติมความอ่อนแออันเป็นรากฐานของเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นอย่างมาก

ในบทความนี้ได้พาทุกท่านไปทำความเข้าใจถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในวังวนของโควิด-19 และชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 นี้ ไม่ได้เป็นเพียงผลกระทบที่เกิดขึ้นระยะสั้น อันเกิดจากการระบาดของเชื้อไวรัส  ทว่าวิกฤตนี้เป็นผลมาจากความอ่อนแอที่ดำเนินมายาวนาน  สิ่งที่ต้องช่วยกันคิดต่อไปคือ ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตามในบทความต่อไป


เชิงอรรถ

[1] พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย, “ผลกระทบของ COVID-19 ต่อประเทศไทย ในปัจจุบันและอนาคต,” สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564, จาก https://thaipublica.org/2020/11/pipat-65/.

[2] สมชัย จิตสุชน, “ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย: เปลี่ยนวิกฤตโควิด-19 ให้เป็นโอกาส,” รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 168 กันยายน 2563, จาก https://tdri.or.th/2020/12/inequality-in-thai-society-turning-the-covid-19-crisis-into-an-opportunity/, น. 5.

[3] ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร.

[4] สมชัย จิตสุชน, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 5.

[5] เพิ่งอ้าง, น. 5.

[6] บัณฑิต นิจถาวร, “ปีที่อยากลืม…แต่ลืมไม่ได้,” สืบค้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2563, จาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/651729

[7] สมชัย จิตสุชน, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2, น. 2 – 3.

[8] เพิ่งอ้าง , น. 3 – 4.

[9] บัณฑิต นิจถาวร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6.

[10] บัณฑิต นิจถาวร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6.