ถอดบทเรียนการเลือก สว. ระบบเลือกคนดีที่ไม่ยึดโยงและไม่สะท้อนความหลากหลาย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยเพิ่งมีสมาชิกวุฒิสภาหรือ สว. ชุดใหม่ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่ สว. ชุดเดิมที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.) โดย สว. ชุดนี้นับเป็นชุดที่ 13 นับตั้งแต่ประเทศไทยมี สว. มาตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2489

ความแตกต่างระหว่าง สว. ชุดปัจจุบันกับ สว. ชุดก่อน (ชุดที่ 12) ก็คือ วิธีการได้มาของ สว. ที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง โดย สว. ชุดก่อนมีที่มาจากการเลือกของ คสช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบการสืบทอดอำนาจของ คสช. โดยการตั้งสมาชิกและคนในกลุ่มเครือข่ายให้มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง อาทิ อดีตสมาชิกในคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ปรึกษา และตลอดจนถึงผู้นำเหล่าทัพ ซึ่ง สว. ชุดก่อนมาพร้อมด้วยอำนาจทางการเมืองที่พิเศษเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายในการสืบทอดอำนาจของ คสช. ได้ อาทิ การมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วน สว. ชุดปัจจุบัน แม้จะมีที่มาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เหมือนกัน แต่ สว. ชุดนี้เป็นชุดแรกที่มาจากกระบวนการตามมาตรา 107 ของรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดให้ สว. ชุดนี้มีจำนวน 200 คน มาจากการเลือกกันเองของประชาชน 20 กลุ่มอาชีพ (ประเภท) ผ่านการเลือก (selection) ไม่ใช่เลือกตั้ง (election) โดยให้ผู้สมัครทั้ง 20 กลุ่มอาชีพเลือกกันเองใน 3 ระดับคือ อำเภอ จังหวัด และประเทศ ซึ่งเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและแปลกประหลาด โดยความซับซ้อนและแปลกประหลาดนี้เป็นผลมาจากเจตนารมณ์อันดีของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ

ระบบเลือกคนดี เพื่อหลีกเลี่ยงกลไกหรือกับดักทางการเมือง

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดที่มาของ สว. ไว้ว่า “วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองร้อยคน ซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้องแบ่งในลักษณะที่ทำให้ประชาชนซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้”  ซึ่งจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้ไม่ได้กำหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง แต่มาจากการเลือกกันเองของประชาชน

เมื่อย้อนกลับไปอ่านเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้คือ การเลือกกันเองในหมู่ประชาชนที่มีความประสงค์จะเข้ามาทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้เกิดอย่างแท้จริง และได้ผู้สมัครที่มีประสบการณ์หลากหลายจากทุกภาคส่วน รวมถึงหลีกเลี่ยงกลไกหรือกับดักทางการเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการที่ผู้สมัครถูกกีดกันหรือถูกคัดกรองโดยองค์กรหรือพรรคการเมืองใด

กระบวนการเลือก สว. ตามรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฯ ฉบับผ่านๆ มา ซึ่งใช้วิธีการเลือกตั้ง การสรรหา และการผสมผสานกันระหว่างการเลือกตั้งและสรรหา ซึ่งในสายตาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ มองว่าเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้เกิดการทุจริตหรือร่วมมือกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางการเมือง ในลักษณะเดียวกันกับที่เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้ง สว. ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และ 2550 ว่า สว. ที่ได้มาเป็นสภาผัวเมีย

ระบบการได้มาซึ่ง สว. นี้จึงเป็นระบบใหม่ที่ไม่เคยมีการใช้มาก่อนตลอดหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย สิ่งนี้จึงอาจถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจและเป็นความกล้าหาญชาญชัยของผู้เสนอระบบการได้มาซึ่ง สว. ในครั้งนี้ โดยคาดหมายว่าจะได้คนดีที่มีความสามารถและลดการแทรกแซงทางการเมือง โดย สว. แต่ละคนจะเป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่หลากหลายจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชน  ระบบนี้จึงเหมือนสร้างขึ้นบทเจตนาที่ดี และต้องการให้ประชาชนได้ผู้แทนที่เป็นคนดีมีคุณภาพ  ทว่า ระบบการเลือก สว. นี้สัมฤทธิ์ผลสมดังเจตนารมณ์จริงหรือไม่ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

การสร้างผู้แทนที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน และประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

เจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ จะต้องการให้ประชาชนเข้าไปเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ในความเป็นจริงประชาชนทั่วๆ ไปแทบไม่ได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการเลือก สว. จริงๆ เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวไม่ใช่การเลือกตั้งทั่วไป คนที่จะมีสิทธิลงคะแนนเสียงจึงมีเฉพาะกลุ่มผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิลงคะแนนเลือกบุคคลเป็น สว.

จากสภาพดังกล่าว ทำให้ในความเป็นจริงประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการดังกล่าวอย่างแท้จริง และไม่ได้มีความยึดโยงกับประชาชน เพราะประชาชนที่ควรจะเป็นนั้นไม่ใช่แค่ผู้สมัครเป็น สว. ที่ลงสมัครเลือกกันเอง แต่ประชาชนชาวไทยทุกคนควรจะมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือก สว. เหมือนการเลือกตั้งทั่วไป

นอกจาการเรื่องการลงคะแนนเสียงแล้ว ในช่วงแรกของการเลือก สว. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดหลักเกณฑ์ถึงขนาดว่า ผู้สมัคร สว. ไม่สามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลการแนะนำตัวผู้สมัครต่อประชาชนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และทำให้ผู้สมัคร สว. คนอื่นๆ สามารถที่จะทำความรู้จักผู้สมัครล่วงหน้าได้  แม้ว่าในท้ายที่สุดศาลปกครองกลางจะได้มีคำวินิจฉัยเพื่อเพิกถอนหลักเกณฑ์ดังกล่าว  แต่สิ่งนี้ก็สะท้อนว่าการไม่ได้ให้ความสำคัญการมีส่วนร่วมของประชาชน

ในด้านของประชาชน แม้เจตนารมณ์จะกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองแบบประชาธิปไตย แต่การมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบการเลือก สว. ทำได้เพียงการเป็นผู้สังเกตการณ์เท่านั้น  ซึ่งเครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ อาทิ iLaw และภาคีเครือข่าย ก็ได้เข้าไปติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

กระบวนการเลือกซับซ้อนทำให้เกิดความงุนงง

นอกจากความไม่ยึดโยงกับประชาชนในข้างต้นแล้ว ระบบเลือก สว. ยังมีความซับซ้อน กล่าวคือ การเลือก สว. ครั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้แบ่งกลุ่มอาชีพ (ประเภท) ของ สว. ออกเป็น 20 กลุ่ม ตามประเภทความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม

  • กลุ่มบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง
  • กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
  • กลุ่มการศึกษา
  • กลุ่มสาธารณสุข
  • กลุ่มทำนา ทำไร่
  • กลุ่มทำสวน ประมง เลี้ยงสัตว์
  • กลุ่มลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน
  • กลุ่มผู้ประกอบกิจการ SMEs
  • กลุ่มผู้ประกอบกิจการอื่น
  • กลุ่มผู้ประกอบอุตสาหกรรม
  • กลุ่มสิ่งแวดล้อม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน
  • กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม
  • กลุ่มวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
  • กลุ่มศิลปะ ดนตรี บันเทิง กีฬา
  • กลุ่มประชาสังคม
  • กลุ่มสื่อสารมวลชน นักเขียน
  • กลุ่มอาชีพอิสระ
  • กลุ่มสตรี
  • กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ ชาติพันธุ์
  • กลุ่มอื่น ๆ

โดยในการรับสมัคร สว. ผู้สมัครจะต้องระบุกลุ่มที่ตัวเองจะสังกัด โดยผู้สมัคร 1 คนเลือกได้เพียง 1 กลุ่มเท่านั้น และผู้มีคุณสมบัติจะต้องไปสมัคร สว. ณ อำเภอหรือเขตที่ตนมีความเกี่ยวโยงกันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

  • อำเภอที่เกิด
  • อำเภอที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี (นับถึงวันสมัคร)
  • อำเภอที่ทำงานติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี (นับถึงวันสมัคร)
  • อำเภอที่เคยทำงาน หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่าสองปี
  • อำเภอของสถานศึกษาที่เคยศึกษาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษาตั้งอยู่

แค่เริ่มต้นมาในขั้นตอนนี้ก็มีความงุนงงเล็กน้อยแล้วว่าผู้สมัครจะเลือกอยู่ในกลุ่มใด เพราะคนหนึ่งคนอาจจะมีบทบาทหรือสถานะในหลายด้าน ซึ่งบทบาทหรือสถานะแต่ละด้านอาจจะมีบทบาทมากหรือน้อยก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A เกิดที่กรุงเทพฯ รับราชการทหารและเป็นอาจารย์สอนอยู่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าจังหวัดนครนายก โดยสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงมีงานอดิเรกเป็นคนสะสมผ้าไทยส่งประกวด และมีธุรกิจส่วนตัวเป็นเจ้าของโรงแรมที่จังหวัดชลบุรี ในกรณีแบบนี้จะเห็นได้ว่า นางสาว A สามารถที่จะเข้ารับสมัครในกลุ่มอาชีพได้มากกว่า 1 กลุ่ม อาทิ นางสาว A อาจจะสมัครในกลุ่มบริหารราชการแผ่นดิน การศึกษา สตรี วัฒนธรรม การท่องเที่ยว SMEs ฯลฯ แล้วแต่จะนางสาว A คิดได้ว่าตนมีบทบาทหรือสถานะใดบ้างที่จะสร้างโอกาสให้ตัวเองได้รับการเลือก

ไม่เพียงแค่ในเชิงบทบาทและสถานะที่ทำให้นางสาว A มีตัวเลือกได้แล้ว ในกรณีนี้นางสาว A ก็อาจจะเลือกที่สมัครได้จากหลาย ๆ สถานที่ ๆ นางสาว A สัมพันธ์ อาทิ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านเกิด แม้ตอนหลังนางสาว A จะไม่ได้กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกเลยก็ได้ หรืออำเภอเมือง จังหวัดนครนายก ที่นางสาว A สอนหนังสือประจำ หรือจังหวัดชลบุรีที่นางสาว A มีโรงแรมอยู่

ปัญหาสำคัญของการเลือกกลุ่มอาชีพอย่างอิสระหรือการเลือกพื้นที่อย่างอิสระในลักษณะนี้ก็คือ นางสาว A อาจจะมีความสัมพันธ์กับบทบาท สถานะ หรือสถานที่นั้นมากหรือน้อยก็ได้ ซึ่งสุดท้ายสิ่งนี้อาจจะทำให้นางสาว A ไม่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือตัวแทนของกลุ่มในระบบการเลือก สว. ทำให้การสมัคร สว. กลายเป็นการเกมกลยุทธ์ (strategic game) กล่าวคือ ผู้สมัคร สว. แต่ละคนจะต้องพิจารณาข้อดีและข้อเสียของกลุ่มและพื้นที่ๆ ตนจะสมัคร รวมถึงต้องพิจารณาว่าพื้นที่ใดที่ตนจะได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์ อาทิ พื้นที่ๆ ลง จะได้รับเสียงลงคะแนนสนับสนุนจากผู้สมัคร สว. คนอื่น ๆ ในกลุ่ม หรือกลุ่มอื่นๆ เมื่อต้องโหวตข้าม ซึ่งประเด็นนี้จะได้มีการอธิบายต่อไป ผลก็คือ ระบบการเลือกนี้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ที่ต้องการหลีกเลี่ยงกลไกหรือกับดักทางการเมือง เพราะระบบการเลือกนี้ส่งเสริมให้เกิดกระบวนการจัดตั้งคนมาลงคะแนนสนับสนุน

นอกจากนี้ ระบบการเลือกแบบนี้ ยังทำให้เกิดสถานการณ์ที่ในบางเขตการเลือกไม่มีผู้สมัครในกลุ่มอาชีพนั้น ๆ เลย เนื่องจากผู้สมัครอาจเลือกเขตที่ตัวเองลงโดยได้เปรียบที่สุด

ไม่เพียงแต่ความงุนงงที่เกิดขึ้นจากระบบสังกัดกลุ่มและพื้นที่สมัคร อีกปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือระบบการเลือก สว. ที่ตามกฎหมายกำหนดให้มีการเลือกใน 3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ  ซึ่งตามเจตนารมณ์ของผู้ร่างที่กำหนดให้มีการเลือกใน 3 ระดับก็เพื่อให้ขบวนการเลือกอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยประชาชนในแต่ละอำเภอสามารถเลือกกลุ่มที่ตนเองสังกัด และร่วมเลือกบุคคลที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มได้  โดยในแต่ละระดับนั้นขั้นตอนการเลือกจะต้องทำ 2 ครั้งคือ การเลือกกันเอง ซึ่งเป็นการเลือกกันเองในกลุ่มผู้สมัคร สว. แต่ละกลุ่ม และการเลือกไขว้ ซึ่งเป็นการเลือกไขว้ระหว่างกลุ่มผู้สมัคร สว. แต่ละกลุ่มที่ต่างกัน โดยการเลือกไขว้เป็นผลมาจากการจับสลากแบ่งสายเลือกไข้วกัน ดังปรากฏตามรูปภาพข้างท้ายนี้

อย่างไรก็ดี ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ การเลือกไขว้ ซึ่งเหตุที่กฎหมายกำหนดให้มีการเลือกไขว้นั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ มีเจตนารมณ์เพื่อไม่ให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสมยอมกันให้บุคคลใดเป็นการเฉพาะ

ด้วยเจตนาอันดีของผู้ร่างข้างต้นที่ต้องการให้การเลือก สว. ปราศจากการสมยอมกัน (ในเชิงหลักการ)  ทำให้เกิดสถานการณ์ที่แปลกประหลาด กล่าวคือ เมื่อมีการจับสลากไขว้สายในกลุ่มเพื่อลงคะแนนเสียงกัน สายๆ หนึ่งจะประกอบไปด้วยตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ ผสมกันไม่เกิน 4 สายและแต่ละสายไม่เกิน 3 – 5 กลุ่ม ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้สมัคร สว. กลุ่มหนึ่งต้องไปลงคะแนนเลือกผู้สมัคร สว. อีกกลุ่มหนึ่ง (ข้ามสาย) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ตลก เพราะผู้ลงคะแนนเลือกมาจากคนละสายกัน ย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าบุคคลที่ตนเลือกนั้นมีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือความถนัดสามารถในสาขาของกลุ่มที่เขาสังกัดจริงหรือไม่

ข้อมูลเดียวผู้สมัคร สว. นำมาใช้ในการตัดสินใจจึงเป็นเพียงข้อมูลแนะนำตัว (สว.3) ที่กำหนดให้ระบุประวัติความยาวไม่เกิน 5 บรรทัดเท่านั้น รวมถึงจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับประชาชนที่เข้าไปติดตามสถานการณ์การเลือกตั้ง พบว่าในทางปฏิบัติแต่ละเขตการเลือกก็มีแนวปฏิบัติที่ไม่ตรงกันในการให้ผู้สมัครแนะนำตัว เนื่องจากบางเขตเปิดโอกาสให้ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวได้ ในขณะที่บางเขตก็ไม่อนุญาตให้ผู้สมัครแนะนำตัว เพียงแต่กำหนดให้ผู้สมัคร สว. อ่านเอกสาร สว.3 เพื่อทำความรู้จักผู้สมัครโดยเบื้องต้นเท่านั้น

สภาพดังกล่าวข้างต้นคือ ปัญหาในเชิงระบบการเลือก สว. ที่เกิดขึ้นจากการทดลองใช้ระบบเลือก สว. ใหม่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

ความไม่หลากหลายของ สว. อย่างที่ควรจะเป็น

นอกจากสภาพปัญหาที่เกิดจากตัวระบบการเลือก สว. แล้ว ผลที่ได้รับจากการเลือก สว. ก็ไม่ได้เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร ไม่ใช่เพราะตัวบุคคลที่ได้มาดำรงตำแหน่ง แต่เป็นผลในภาพรวมที่เกิดขึ้นจากระบบการเลือก สว.

ในด้านความไม่หลากหลายของ สว. จากการศึกษาผลการเลือก สว. ในระดับประเทศ ซึ่งจะได้บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็น สว. ทั้ง 200 คน พบว่าแม้จะมีการแบ่งกลุ่ม สว. ออกเป็น 20 กลุ่มอาชีพ (ประเภท) เพื่อให้มีความหลากหลายในด้านความรู้และประสบการณ์จากอาชีพ และความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลเบื้องหลังของ สว. ชุดปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ทั้งภูมิหลังการงาน เพศ อายุ และระดับการศึกษาของ สว. ส่วนใหญ่ไม่ได้มีความหลากหลายขนาดนั้น

ในเรื่องภูมิหลังการงาน หากนำ สว. ชุดปัจจุบันมาจำแนกเป็นกลุ่มที่เคยประกอบอาชีพโดยไม่สังกัด 20 กลุ่มอาชีพข้างต้น จะสามารถจำแนก สว. ออกได้เป็น 10 สาขาอาชีพ ข้าราชการ ผู้ประกอบวิชาชีพ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง นักวิชาการ เจ้าของกิจการ นักการเมือง เกษตรกร พนักงาน/ลูกจ้าง สื่อมวลชน และอื่นๆ พบว่า สว. ส่วนใหญ่มาจากสาขาอาชีพรับราชการและเป็นเจ้าของกิจการ โดยทั้งสองสาขามีจำนวน สว. สาขาละ 57 คน คิดเป็นร้อยละ 28.5 ต่อสาขาของจำนวน สว. ทั้งหมด ส่วนสาขอาชีพที่ลองลงมาคือ พนักงาน/ลูกจ้างมีจำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 10 ของจำนวน สว. ทั้งหมด

ในด้านเพศของ สว. ชุดปัจจุบันพบว่า สว. ชุดที่ 13 นี้ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็นเพศชาย 155 คน คิดเป็นร้อยละ 77.5 ของจำนวน สว. ทั้งหมด และเป็นผู้หญิง 45 คน คิดเป็นร้อยละ 22.5 ของจำนวน สว. ทั้งหมด เมื่อพิจารณาในเชิงรายละเอียด จะเห็นได้ว่าในหลายๆ สาขาแทบไม่มี สว. ที่เป็นผู้หญิงเลย อาทิ กลุ่มบริหารราชการแผ่นดิน กลุ่มกฎหมาย กลุ่มการศึกษา กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น

เช่นเดียวกันกับในด้านอายุ สว. ไทยค่อนไปในทางจะเป็นสภาของผู้สูงอายุ  ทั้งนี้ พบว่าอายุเฉลี่ยของ สว. ปัจจุบันอยู่ที่ 58 ปี โดยอายุต่ำสุดอยู่ที่ 40 ปี และอายุสูงสุดอยู่ที่ 78 ปี

เมื่อพิจารณาย้อนกลับไปในรอบของการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มาจากการเก็บข้อมูลของ DataHatch ได้นำข้อมูลผลการเลือกใน 3 ระดับคือ ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศมาวิเคราะห์พบว่า ยิ่งเลือก สว. ในรอบที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มที่ สว. ไทยจะเป็นผู้ชายและมีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน


ที่มา: DataHatch (2567)

เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของกลุ่มขนาดใหญ่ที่รวมหลายสาขาอาชีพเข้าด้วยกัน อาทิ กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น เนื่องจากทั้งสองกลุ่มเป็นการรวมคนที่มีความเชี่ยวชาญในหลายๆ ด้านมารวมอยู่ภายใต้กลุ่มเดียวกัน ทำให้กลุ่มมีขนาดใหญ่และอาจจะมีความขัดแย้งในเชิงเป้าหมายที่แตกต่างกัน จนทำให้เกิดการขัดกันระหว่างเป้าหมายของสมาชิกภายในกลุ่ม และเกิดการคัดออกเมื่อมีการลงคะแนนเลือกในรอบการเลือกกันเองภายในกลุ่ม และอาจจะถูกตัดออกจากการเลือกไขว้สาย

ทิ้งท้ายเล็กน้อย

ปัญหาดังกล่าวข้างต้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการออกแบบระบบการเลือก สว. โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบระบบอย่างเพียงพอของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฯ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ ลำพังเฉพาะการมีเจตนาที่ดีอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอในการออกแบบระบบ

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผลของการเลือก สว. จะเป็นอย่างไร สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ประชาชนชาวไทยเพิ่งจะได้ผู้แทนของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญในสภาสูงชุดใหม่ (แม้ว่าในความเป็นจริงบุคคลเหล่านี้จะไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนเลยก็ตาม) สิ่งที่ประชาชนคาดหวังมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการที่ผู้แทนเหล่านี้จะทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของประชาชนอย่างเต็มที่จริง ๆ

หมายเหตุ ผู้เขียนขอขอบคุณ คุณวิศรุต อาศุวณิชย์พันธุ์ เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ได้ไปสังเกตการณ์การเลือก สว. ในครั้งนี้ ที่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เขียนบทความ ในส่วนของข้อมูล สว. ที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์สัดส่วน สว. ประสบการณ์ และประวัติการสมัครมาจากเอกสาร สว.3 และเว็บไซต์ของ iLaw The Standard และ BBC ไทย

Time to overhaul outdated fine system

First Published in Bangkok Post on August 28, 2024. This op-ed was written by Khemmapat Trisadikoon and Chattrika Napatanapong.

If you think our legal system is fair by imposing the same penalty on everyone for the same offence, think again.

Take the system of fines. Imposing the same fines on both the rich and the poor for the same violation hurts the poor while leaving the rich virtually unaffected.

To ensure fairness, this outdated system needs urgent reform.

Why focus on the fine system? Because the law mandates that courts use fines for less serious offences. Therefore, fines are the main penalty used by lower courts across the country, affecting the majority of people.

Between 2018 and 2022, the courts used fines in their verdicts far more often than imprisonment and detention, excluding suspended sentences, according to the Office of the Judiciary.

Thailand’s rigid fine system uses fixed fines for the same offence for everyone. For example, a particular crime may specify a fixed fine between 500 to 15,000 baht. Imagine the difference a street vendor and a millionaire face when ordered to pay a 10,000-baht fine.

This fixed fine system, which specifies the exact amounts for a violation, creates two problems: unfair penalties and outdated fines that cannot keep up with economic changes.

Firstly, unfair penalties. While imposing the same fine on everyone may seem fair, it definitely is not. Disregarding the country’s gross economic disparity, this system does not consider the economic status, income, or financial burden that affects low-income offenders more than the well-off.

Since those with money are not affected by the fines, they may continue to break the law because they are not afraid of the punishment.

Meanwhile, low-income offenders may have to choose imprisonment over paying the fines because they do not have the means to, reflecting disparity and social inequality in Thai society.

The Ministry of Justice and the Office of the Judiciary introduced measures like EM bracelets with bail or instalment payments for fines to address this concern. True, they might help reduce the number of people in jail, but they do not address the problem of disparity and unfair penalties.

Secondly, outdated fines that are out of touch with the present time. Since the fines were set long ago, they have become too low due to inflation over time.

Believe it or not, a study by the Thailand Development Research Institute shows that there are 420 laws that are still enforcing fines set as far back as 1859. One of them is the 1902 Clean Canal Act, which set the fine for littering in canals at just 20 baht.

However, setting the new rate of fines requires new legislation, which can become outdated by the time it is enacted.

To ensure fair and effective fines, Thailand can learn from the initiatives of other countries.

One solution is to eliminate fixed fines and replace them with fines per day that vary with the severity of the offence, the offender’s economic status, and their daily income to calculate appropriate fines.

The formula of the day-fine system is: fine = number of offence units (fine days) x the offender’s net daily income.

For example, running a red light is punishable by a fine of up to 4,000 baht without a jail term. Since it is not a severe offence, the fine may be calculated as five fine days x 1,000 baht net daily income, resulting in a 5,000-baht fine.

Different countries, however, have different systems for calculating variable fines according to their specific contexts.

For example, Germany uses two main factors to calculate daily fines: the number of fine days and the offender’s personal and financial circumstances, including occupation, income, and living conditions. This data, gathered through police investigations, is used to determine the offender’s net daily income.

In Finland, the police and prosecutors initially set fines for offenders. If these fines are not paid, the court decides whether to impose a new fine or a jail term. The penalty is based on the offender’s net daily income and information from their latest tax return, which can be accessed by the court and state authorities.

Meanwhile, several states in the United States have begun using the variable fine system before and after court procedures. For low-income offenders, the unemployed, and other vulnerable groups, the court may consider using the income of their spouses or carers to calculate their net daily income.

Several changes will be necessary for Thailand to adopt variable fines for a fair and effective system.

Most importantly, new legislation is needed to create a variable fine system, requiring other laws to change their penalties accordingly. This new law should also set rules and criteria on how it works.

First, it must determine which offences should be covered by the variable fine system. Our stance is that it should apply to all offences with fine penalties. In the initial stage, it should start with minor offences, traffic violations, and environmental and economic crimes.

Second, it should establish the rules for calculating the number of offence units or fine days. Our stance is that the fine days should be based on the severity of the offence comparable to the jail sentence. For example, if the jail term is more than one year, the number of fine days may be set at 360 days for each year of the verdict. If the verdict for a lesser offence is only one month, then the fine penalty may be calculated as 30 fine days.

Third, the law should establish criteria for using the offender’s economic status in calculating the number of fine days. It should also specify the factors that can reduce fines, such as income level, tax burden, and living expenses. These factors reflect the offender’s real net income and help determine proportional fines.

Apart from drafting the new law to institutionalise the fine-per-day system, the government needs to create implementation guidelines for relevant agencies, such as the police, prosecutors, judges, and officials in political administration, to collaborate on the procedures. Officials from the Revenue Department and social security agencies may also take part in determining the net income of the offenders. These proposals are part of what the government, political entities, and state agencies need to prepare to implement a fair and efficient variable fine system.

By updating the fine system to reflect economic and social realities, Thailand can move one step closer to a more just and equitable legal system. It is time for change.

ปฏิรูป ‘โทษปรับ’ เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง เขมภัทร ทฤษฎิคุณ และฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์

ปัจจุบันรัฐมุ่งเน้นการใช้ “โทษปรับ” กับความผิดที่ไม่รุนแรงมาก ดังนั้นบทลงโทษหลักที่ศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ใช้กันมากคือโทษปรับ จากสถิติของสำนักงานศาลยุติธรรมในช่วงปี 2561-2565 พบว่า หากไม่นับรวมการรอการลงโทษแล้ว โทษปรับถูกนำมาใช้มากกว่าโทษจำคุกและการกักขัง

ที่มา: สำนักงานศาลยุติธรรม

โทษปรับตามกฎหมายของไทยมีลักษณะตายตัว ค่าปรับถูกกำหนดเป็นตัวเลขที่แน่นอน เช่น ปรับตั้งแต่ 500 บาท ไม่เกิน 15,000 บาท โดยการกำหนดอัตราค่าปรับตายตัวนี่เอง ทำให้เกิด 2 ปัญหาสำคัญ

ปัญหาแรก ความไม่ธรรมของค่าปรับจากการปรับในอัตราที่เท่ากันตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ได้พิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจ รายได้ และภาระของผู้ทำความผิด แม้ว่าสิ่งนี้ดูเหมือนจะยุติธรรมแต่ในความเป็นจริงผู้ที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากค่าปรับมากกว่าผู้ที่มีรายได้สูง

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีรายได้สูงอาจจะมองว่า การจ่ายค่าปรับเป็นการอนุญาตให้สามารถทำผิดกฎหมายได้ และไม่เข็ดหลาบกับการกระทำความผิด นอกจากนี้ หากค่าปรับที่กฎหมายกำหนดไว้สูงเกินกว่าความสามารถจ่าย อาจทำให้ผู้มีรายได้น้อยยอมที่จะถูกจำคุกแทนการจ่ายค่าปรับ ซึ่งตอกย้ำภาพความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย

แม้ว่าในปัจจุบันกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรมจะพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้ โดยนำมาตรการต่างๆ เช่น การติดกำไล EM ร่วมกับการวางหลักประกัน หรือการอนุญาตให้ผ่อนชำระค่าปรับ แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด

ปัญหาที่สอง ความลักลั่นของโทษปรับจากการที่กฎหมายใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ทำให้ปัจจุบันค่าปรับที่เคยกำหนดเอาไว้อาจจะต่ำเกินไปไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ

จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่า ตั้งแต่ปี 2402 มีกฎหมายที่มีโทษปรับและยังใช้บังคับอยู่ 428 ฉบับ ในจำนวนนี้ มีฉบับหนึ่งคือ พ.ร.บ. รักษาคลอง ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ที่มีโทษปรับกรณีทิ้งสิ่งสกปรกลงในคลองเพียง 20 บาทเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากจะมีการปรับเปลี่ยนอัตราค่าปรับ ก็ต้องมีการออกกฎหมายฉบับใหม่มาแก้ไข ซึ่งกว่ากฎหมายจะผ่านออกมาก็อาจจะล้าสมัยไปแล้ว

เมื่อลองพิจารณาบริบทของต่างประเทศพบว่า ในหลายประเทศเผชิญกับปัญหาในลักษณะเดียวกัน และได้หาวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้ค่าปรับที่มีความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการหนึ่งที่ในต่างประเทศนำมาใช้ก็คือ “การกำหนดอัตราค่าปรับแบบแปรผัน” หรือที่รู้จักในชื่อของ Day-fine system ที่ใช้วิธีการกำหนดหน่วยความผิด สถานะทางเศรษฐกิจของ ผู้ทำความผิด มาพิจารณาร่วมกับรายได้ต่อวันของผู้ทำความผิดเพื่อคำนวณหาอัตราค่าปรับที่เหมาะสม

โดยใช้สูตร ค่าปรับ = จำนวนหน่วยความผิด (วันปรับ) X รายได้สุทธิของผู้ทำความผิด ตัวอย่างเช่น ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท ถ้าคำนวณค่าปรับแบบแปรผัน ในกรณีนี้ถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว และมีความรุนแรงไม่มาก หน่วยการลงโทษอาจคิด 5 วันปรับ และจากนั้นนำจำนวนวันที่ได้ไปคูณกับเงินได้สุทธิ 1,000 บาท (เงินเดือน หักลดค่าใช้จ่ายและภาระต่าง ๆ แล้ว) ค่าปรับจึงเป็น 5,000 บาท

ทั้งนี้ การกำหนดอัตราค่าปรับแบบแปรผันจะแตกต่างกันตามแต่ละบริบทของประเทศ

เยอรมนี พิจารณาจากตัวแปรสำคัญ 2 ประการคือ (1) จำนวนหน่วยวันปรับการลงโทษ และ (2) พิจารณาจากสภาพแวดล้อมส่วนบุคคล และฐานะทางการเงินของผู้ทำความผิด เช่น อาชีพ ความเป็นอยู่ และรายได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวมจากการสอบสวนของตำรวจ โดยค่าปรับจะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นค่าเฉลี่ยรายได้สุทธิตามความเป็นจริงของผู้ทำความผิดใน 1 วัน

ฟินแลนด์ เป็นการปรับในจำนวนที่แน่นอนก่อนโดยตำรวจและพนักงานอัยการ แต่หากไม่มีการชำระค่าปรับ อัยการจะต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อให้มีคำสั่งลงโทษปรับหรือลงโทษจำคุกแทนโทษปรับ โดยจะพิจารณาคำนวณรายได้ต่อวันของผู้ทำความผิดจากข้อมูลและรายได้ที่ผู้ทำความผิดจากการชำระภาษีครั้งล่าสุด ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้พิพากษาจะสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวของผู้ทำความผิดได้

สหรัฐอเมริกา ในหลายมลรัฐมีการบังคับใช้โทษปรับแบบแปรผัน ทั้งในชั้นก่อนการพิจารณาคดี และชั้นการพิจารณาคดีของศาล และให้ความสำคัญกับผู้ทำความผิดที่ยากจน ผู้ที่ไม่มีรายได้ หรือกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ โดยศาลจะคำนวณรายได้สุทธิของผู้กระทำความผิดจากการนำรายได้ของคู่สมรสหรือบุคคลที่เป็นผู้ดูแลมาเป็นฐานในการคำนวณรายได้สุทธิของผู้ทำความผิดแทน

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยจะนำระบบการปรับแบบแปรผันมาใช้เพื่อสร้างระบบการปรับที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมีทั้งข้อท้าทายและสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนดังนี้

ยกร่างกฎหมายรับรองการปรับแบบแปรผัน เพื่อให้กฎหมายไปแก้ไขโทษปรับในกฎหมายอื่นๆ และกำหนดหลักเกณฑ์ของการพิจารณาและการกำหนดค่าปรับแบบแปรผันโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1. การกำหนดความผิดในลักษณะใดบ้างที่จะนำโทษปรับแบบแปรผันมาใช้ ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่า โทษปรับแบบแปรผันควรนำมาใช้กับความผิดที่มีโทษปรับทุกประเภท โดยช่วงเริ่มต้น อาจนำร่องใช้ในความผิด บางประเภทก่อน เช่น ความผิดลหุโทษ ความผิดจราจร ความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และความผิดทางเศรษฐกิจ

2. การกำหนดจำนวนวันปรับ ผู้วิจัยเสนอให้กำหนดหน่วยความผิดตามระดับความร้ายแรง โดยเปรียบเทียบกับโทษจำคุก หากโทษร้ายแรงมากจำคุกตั้งแต่ 1 ปี หน่วยการปรับอาจเท่ากับ 360 วัน แต่หากความผิดโทษจำคุกต่ำเพียง 1 เดือน หน่วยวันปรับอาจเท่ากับ 30 วัน

3. การกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจของผู้ทำความผิด ควรกำหนดปัจจัยที่จะนำมาใช้พิจารณาหักกลบและลดหย่อนค่าปรับ อาทิ รายได้ ภาระภาษี ค่าใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสะท้อนตัวรายได้สุทธิของผู้ทำความผิด เพื่อให้การกำหนดค่าปรับสามารถลงโทษได้อย่างเหมาะสม

สร้างแนวปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง อัยการ ผู้พิพากษา รับรู้ขั้นตอนและกระบวนการร่วมกัน รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ที่อาจจะต้องเข้ามาร่วมสนับสนุนข้อมูลพิจารณารายได้สุทธิของผู้ทำความผิด อาทิ กรมสรรพากร หรือหน่วยงานทางสวัสดิการสังคม

ข้อเสนอนี้ข้างต้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผู้วิจัยคิดว่า รัฐบาล ฝ่ายการเมือง และหน่วยงานของรัฐต้องเตรียมพร้อมเพื่อที่จะนำไปสู่การนำระบบการปรับแบบแปรผันมาใช้เพื่อให้ระบบค่าปรับมีประสิทธิภาพในการลงโทษและเป็นธรรม

ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียด เพิ่มเติมได้ในรายงานทีดีอาร์ไอเรื่อง“การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม”

งดเว้นการปิด ‘อากรแสตมป์’ ช่วยลดภาระ-ต้นทุนบริษัท

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง ชุติมา สุทธิประภา และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ

ภาระอย่างหนึ่งในการประชุมของบริษัทที่เราอาจจะนึกไม่ถึงก็คือ ภาระจากการที่กฎหมายกำหนดให้ปิดอากรแสตมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่ผู้ถือหุ้นไม่สามารถเข้าร่วมประชุมและต้อง “มอบฉันทะ” ให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทน

ประมวลรัษฎากรกำหนดให้หนังสือมอบฉันทะจะต้องปิดด้วย “อากรแสตมป์” ให้ถูกต้อง แม้กฎหมายจะระบุว่า การเสียภาษีและปิดอากรแสตมป์เป็นความรับผิดชอบของผู้มอบฉันทะ แต่ในทางปฏิบัติบริษัทเป็นผู้แบกรับค่าใช้จ่ายในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหุ้นตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (corporate governance)

กระบวนการดังกล่าวจึงถือเป็นหนึ่งในภาระงานของบริษัท เพราะทุกบริษัทจะต้องจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ขณะที่การปิดอากรลงในเอกสารมอบฉันทะของผู้ถือหุ้นนั้น มีค่าใช้จ่ายฉบับละ 30 บาทต่อครั้ง ทั้งยังมีต้นทุนด้านอื่นด้วย เช่น ค่าตอบแทนและระยะเวลาที่ใช้ปิดอากรแสตมป์ลงในหนังสือมอบฉันทะทุกฉบับ ซึ่งมีจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท

นั่นหมายความว่า หากคำนวณต้นทุนในการปิดอากรแสตมป์ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์กว่า 800 บริษัท และบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์อีกจำนวนมากจะพบว่าบริษัทมีต้นทุนจากการปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบฉันทะจำนวนไม่น้อยทีเดียว

ในขณะที่หน่วยงานรัฐก็มีรายได้จากการจัดเก็บอากรแสตมป์ในสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับรายได้จากฐานอื่น โดยสถิติของกรมสรรพากร ปีงบประมาณ 2566 รัฐมีรายได้จากอากรแสตมป์ประมาณ 17,066 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.82 ของรายได้จากภาษีที่กรมสรรพากรเก็บได้ทั้งหมด

สาเหตุที่เก็บรายได้จากอากรแสตมป์ได้น้อยนั้น อาทิ การเลี่ยงภาษีได้ง่ายจาก “การเวียนแสตมป์” หรือการนำแสตมป์ซึ่งปิดลงในเอกสารที่ใช้ไปแล้วกลับมาปิดเอกสารใช้ซ้ำอีกครั้ง และยังรวมถึงความไม่ชัดเจนของนิยามคำว่า “ตราสาร” ในประมวลรัษฎากรที่ทำให้ไม่แน่ใจว่าเอกสารใดจะต้องเสียภาษีบ้าง กฎหมายเพียงแต่ระบุว่า ตราสาร คือเอกสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด

แม้ว่าในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐจะนำระบบ E-stamp มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก และง่ายต่อการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแทนปิดอากรแสตมป์ แต่การต้องติดอากรแสตมป์กับธุรกรรมเล็กน้อยนั้น ยังคงเป็นภาระกับประชาชน ทีมวิจัยจึงเสนอให้ทบทวนการเก็บอากรจากหนังสือมอบฉันทะในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของบริษัท

หากพิจารณาจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของการปิดอากรแสตมป์นั้น เป็นไปเพื่อให้รัฐรับรู้การทำธุรกรรมโดยกฎหมายกำหนดให้ปิดอากรในหนังสือมอบฉันทะและขีดฆ่า ไม่เช่นนั้นจะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในศาลไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัติเรื่องนี้กลายเป็นความเสี่ยงในการทำธุรกรรม จากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่าการปิดอากรแสตมป์ไม่ได้มีผลในการพิสูจน์ความแท้จริงของเอกสารแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้ามกลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีในการตัดพยานแก่อีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวคือ กรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องมีเอกสารมาแสดงในการนำสืบ เช่น การนำสืบเรื่องการมอบฉันทะ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเอกสารมอบฉันทะที่ถูกต้องมาแสดง หากคู่ความฝ่ายนั้นไม่มีเอกสารมอบฉันทะที่มีการปิดอากรแสตมป์ถูกต้องครบถ้วน ก็จะไม่สามารถสืบพยานบุคคลแทนได้

ดังนั้น การที่รัฐเข้ามาเก็บภาษีกับธุรกรรมมอบฉันทะ จึงอาจเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนและภาคธุรกิจไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่รัฐได้รับจากการเก็บภาษีลักษณะดังกล่าว

จากการศึกษาแนวทางปฏิบัติของต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ พบว่ามีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเสียภาษีอากรแสตมป์ โดยเห็นว่าการปิดอากรแสตมป์ลงในเอกสารเป็นการสร้างอุปสรรคในการทำการค้าการลงทุนมากกว่ามองว่าเป็นการจัดเก็บเพื่อสร้างรายได้ให้รัฐ ทำให้มีการจัดเก็บภาษีอากรแสตมป์เพียงบางรายการเท่านั้น

ตัวอย่างกฎหมาย Stamp Duties Act 1929 ของสิงคโปร์ ได้กำหนดประเภทเอกสารที่ต้องชำระอากรไว้เฉพาะธุรกรรมการเช่าทรัพย์สิน การจำนอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ซื้อ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ขาย และการซื้อขายหุ้น (share transfer) ของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรกำหนดให้ธุรกรรมที่ยังจำเป็นต้องปิดอากรแสตมป์มีมากถึง 28 ลักษณะตราสาร

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการดำเนินการธุรกิจและลดภาระของบริษัท กรมสรรพากรอาจพิจารณายกเว้นการเก็บภาษีอากรจากธุรกรรมการมอบฉันทะเพื่อประชุมผู้ถือหุ้น โดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างต้นทุนที่บริษัทต้องแบกรับจากการจ่ายภาษีอากรแสตมป์ และรายได้ที่ภาครัฐจะได้รับจากการเก็บอากรแสตมป์

หากมีการยกเว้นการเก็บภาษีดังกล่าว บริษัทอาจสามารถนำเงินที่เป็นต้นทุนค่าอากรแสตมป์และค่าบริหารจัดการไปใช้ในการลงทุนหรือทำธุรกิจอย่างอื่นที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทแล้วสร้างประโยชน์ตอบแทนกลับมาในรูปแบบของภาษีเงินได้นิติบุคคลแทน

บทวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความ “โครงการกิโยตินกฎระเบียบ ตลาดทุน” โดยทีดีอาร์ไอและกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)

การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม

ชื่อบทความ: การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม

เผยแพร่ใน: รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 213 สิงหาคม 2567

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, และฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์. (2567). การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม. รายงานทีดีอาร์ไอ, 201. 1-14. https://tdri.or.th/2024/07/wb213/

สรุป

การลงโทษเป็นกระบวนการที่รัฐนำมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องปรามและตอบแทนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่ได้ทำให้เกิดขึ้นในสังคม ทั้งนี้ วิธีการลงโทษอาจทำได้หลายลักษณะ ในการลงโทษทางอาญามีบทลงโทษเป็นการประหารชีวิต จำคุก ปรับ กักขัง และริบทรัพย์สิน แต่เมื่อมีการนำโทษทางอาญามาใช้มากขึ้นจนกลายเป็นสภาวะกฎหมายอาญาเฟ้อ รัฐก็ได้เริ่มมีนโยบายในการนำโทษในลักษณะอื่นมาทดแทนโทษทางอาญา อาทิ โทษปรับทางปกครอง หรือมาตรการลงโทษทางแพ่ง (ปรับเงิน) สภาพดังกล่าวสะท้อนบทบาทของการลงโทษปรับ ในฐานะมาตรการลงโทษสำคัญของรัฐไทย

ที่ผ่านมาการใช้โทษปรับของประเทศไทยนั้นใช้วิธีการกำหนดอัตราโทษปรับเป็นจำนวนแน่นอนไว้ในบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งจากการศึกษาและทบทวนวรรณกรรม พบว่าโทษปรับในระบบกฎหมายไทยนั้นมีปัญหาในเรื่องประสิทธิภาพในการปรับ เนื่องจากโทษปรับที่กำหนดไว้ในกฎหมายมีความลักลั่นไม่เท่ากัน และสร้างความไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกลงโทษ เนื่องจากการลงโทษปรับไม่ได้คำนึงถึงสถานะทางเศรษฐกิจของผู้ทำความผิดมาประกอบ ทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากการลงโทษมากกว่าผู้มีรายได้สูง ด้วยเหตุนี้การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยจึงเป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาในลักษณะดังกล่าว
บทความฉบับนี้ จึงเขียนขึ้นเพื่อศึกษาสภาพปัญหาเบื้องต้นและแนวทางในการแก้ไขปัญหาของระบบโทษปรับในปัจจุบัน โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ (1) ภาพรวมของระบบการลงโทษปรับของประเทศไทย (2) ความลักลั่นของโทษปรับที่ไม่เท่ากันและความไม่เป็นธรรมของโทษปรับ (3) การถอดบทเรียนระบบค่าปรับของต่างประเทศ และ (4) ข้อเสนอแนะ

ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

ชื่อบทความ: ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

เผยแพร่ใน: วารสารนิติพัฒน์ ปีที่ 13 เล่มที่ 1 (2567) มกราคม – มิถุนายน

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (2567). ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร. วารสารนิติพัฒน์, 13(1). https://so04.tci-thaijo.org/index.php/nitipat/article/view/269947

บทคัดย่อ

การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ทำให้เกิดรูปแบบการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ อาทิ การสั่งอาหาร ซึ่งช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน  อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ได้มาพร้อมกับประเด็นความท้าทายทางสังคม หนึ่งในความท้าทายที่มีความสำคัญที่จะถูกกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ การคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากรูปแบบการประกอบธุรกิจแบบใหม่ที่ไม่มีลักษณะเหมือนการทำงานในสถานประกอบการในอดีตทำให้สถานะของคนทำงานบนแพลตฟอร์มมีความพร่าเลือนระหว่างการเป็นแรงงานตามสัญญาจ้างแรงงานหรือการเป็นแรงงานอิสระตามสัญญาจ้างทำของ สภาพการมีนิติสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนดังกล่าวทำให้คนทำงานบนแพลตฟอร์มไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงาน ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากข้อจำกัดของกฎหมายแรงงานในปัจจุบันที่ขาดความยืดหยุ่น

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความท้าทายอีกประการหนึ่งก็คือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มที่มีเหนือคนทำงานแพลตฟอร์มนั้นทำให้คนทำงานไม่มีทางเลือกที่เป็นอิสระในการทำงานอย่างแท้จริงและต้องผูกติดอยู่กับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก

บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบต่อแรงงานที่เกิดจากปัจจัยทั้งสองประการคือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์ม และข้อจำกัดของกฎหมายแรงงาน เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทั้งสอง ประกอบกับการศึกษากรอบแนวทางการทำงานที่เป็นธรรมและแนวทางการคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์มของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเพื่อนำมาสู่การแสวงหาแนวทางในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม  ทั้งนี้ ในการศึกษาครั้งนี้เลือกศึกษาแรงงานแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นกรณีศึกษา โดยพบว่าข้อนิติสัมพันธ์ที่แบ่งแยกภายใต้กฎหมายแรงงานและกฎหมายจ้างทำของไม่สามารถที่จะมาคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้ จึงเสนอแนะให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองแรงงานกลุ่มนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ

กำกับการแข่งขัน-คุ้มครองผู้บริโภค โจทย์ท้าทายในยุคธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 บนเว็บไซต์ thaipublica.org

ปัจจุบันไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าดิจิทัลแพลตฟอร์มมีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งในแง่การอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน อาทิ การเดินทาง การสั่งอาหาร การจองที่พัก การซื้อสินค้าและบริการ แม้แต่กระทั่งตัวตนส่วนหนึ่งของเราก็ได้ย้ายไปอยู่บนแพลตฟอร์ม social media แบบ Facebook Instagram X (Twitter) และ Tiktok

ความแตกต่างระหว่างดิจิทัลแพลตฟอร์มกับโมเดลธุรกิจแบบเดิม ทำให้โจทย์การกำกับดูแลของภาครัฐมีความท้าทายมากกว่าในอดีต เนื่องจากการใช้กฎหมายแบบเดิมไม่สามารถตอบสนองต่อโมเดลธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่กำกับการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้กับธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มได้

การกำกับดูแลการแข่งขัน และ การคุ้มครองผู้บริโภค เป็นโจทย์สำคัญ

“การกำกับดูแลการแข่งขัน” รัฐจะดำเนินการกับธุรกิจแพลตฟอร์มอย่างไรในเมื่อลักษณะของการหารายได้ของแพลตฟอร์มไม่ได้มาจากการคิดส่วนแบ่งตลาดแบบเดิม ในขณะเดียวกันอำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการมีอำนาจเหนือตลาดแบบธุรกิจดั้งเดิม

และ “การคุ้มครองผู้บริโภค” จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคได้ข้อมูลที่ถูกต้องและนำมาสู่การตัดสินใจที่เป็นอิสระในการเลือกสินค้าและบริการ

ความท้าทายดังกล่าวนำมาสู่การหาแนวทางใหม่ในการกำกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม

จับคู่ความสัมพันธ์แบบใหม่ในโลกธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม

ธุรกิจแบบเดิม (traditional business) บทบาทของผู้ประกอบธุรกิจจะเป็นคนซื้อวัตถุดิบไว้เพื่อผลิตสินค้าหรือจัดเตรียมบริการไว้เพื่อขายให้กับผู้บริโภค แต่กรณีของธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มนั้นมีการดำเนินงานแตกต่างออกไป เนื่องจากแพลตฟอร์มไม่ได้ซื้อวัตถุดิบไว้ผลิตหรือจัดเตรียมบริการไว้เพื่อขาย

รูปแบบการดำเนินธุรกิจของแพลตฟอร์มคือ การจับคู่ (matchmakers) ระหว่างคนสองฝ่ายที่มีความต้องการติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น กรณีของแพลตฟอร์มซื้อขายของออนไลน์แบบ marketplace ทั้งที่อยู่บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน หน้าที่หลักของแพลตฟอร์มคือ การเป็นตัวกลางเพื่อให้เกิดการจับคู่ระหว่างผู้ขายที่อยากจะขายสินค้า และผู้ซื้อที่อยากจะซื้อสินค้า และเมื่อทั้งสองฝ่ายพอใจในราคาและคุณภาพของสินค้าที่ได้นำเสนอแล้ว แพลตฟอร์มก็จะเข้ามาช่วยในการส่งมอบสินค้าและชำระเงิน ในบริบทนี้แพลตฟอร์มจึงทำหน้าที่คล้ายกับตลาดสดออนไลน์

ตัวอย่างของแพลตฟอร์มออนไลน์เจ้าใหญ่ๆ ในลักษณะนี้ เช่น Alibaba Amazon Shopee และ Lazada นอกจากแพลตฟอร์มกลุ่มนี้แล้ว ปัจจุบันแพลตฟอร์ม social media หลายรายได้ปรับตัวไปเป็นผู้ให้บริการ online marketplace ด้วยหรือที่เรียกว่า “s-commerce” เช่น Facebook Instagram และ Tiktok  ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการจากผู้ขายให้กับผู้ใช้งาน

ไม่เพียงแต่รูปแบบของโมเดลธุรกิจที่แตกต่างไปจากธุรกิจแบบเดิม ความแตกต่างอีกประการหนึ่งของธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มก็คือลักษณะของตลาด ธุรกิจแบบเดิมมีตลาดแบบด้านเดียว (one-sided market) หรือ ตลาดที่เป็นความสัมพันธ์แบบด้านเดียวระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ แต่กรณีของธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มมีลักษณะเป็นตลาดหลายด้าน (multi-sided market) ที่เป็นความสัมพันธ์หลายคู่ที่เชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มอยู่ตรงกลางของความสัมพันธ์

ตัวอย่างเช่น ในกรณีของแพลตฟอร์มซื้อขายของออนไลน์ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเป็นความสัมพันธ์สองด้านระหว่างผู้ขายกับแพลตฟอร์มและผู้ซื้อกับแพลตฟอร์ม โดยที่แพลตฟอร์มจะทำหน้าที่จัดการธุรกรรมระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ

ความแตกต่างในด้านโมเดลธุรกิจและลักษณะของตลาดนั้นได้นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่ 3 ประการที่แตกต่างจากธุรกิจแบบเดิม ความเปลี่ยนแปลงประการแรกคือ ผลกระทบเชิงเครือข่าย (network effect) ที่มากกว่าในอดีต เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์หลายฝ่ายภายใต้ตลาดหลายด้าน เนื่องจากตลาดแต่ละด้านนั้นเชื่อมโยงและส่งผลสัมพันธ์ กล่าวคือ เมื่อตลาดด้านซื้อเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ผู้ขายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะผู้ขายย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะสามารถขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น หากผู้อ่านต้องการซื้อกางเกงยีนส์เก่า ผู้อ่านย่อมจะนึกถึงแหล่งซื้อกางเกงยีนส์เก่า อาทิ ตลาดนัดจตุจักร ที่เป็นแหล่งรวมของร้านค้าจำนวนมากที่เป็นตัวเลือกให้กับผู้ซื้อได้ และยิ่งมีผู้ซื้อมาซื้อกางเกงยีนส์ที่นี่มากขึ้นก็ยิ่งดึงดูดให้ผู้ขายอยากมาขายกางเกงยีนส์ที่นี่มากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะแน่ใจว่าสามารถขายสินค้าได้แน่นอน ผลกระทบเชิงเครือข่ายก็เกิดขึ้นในดิจิทัลแพลตฟอร์มเช่นกัน แต่ในระดับที่มากกว่า เนื่องจากดิจิทัลแพลตฟอร์มนั้นไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ทำให้จำนวนผู้ซื้อและผู้ขายมารวมกันได้เยอะกว่าที่เกิดขึ้นในตลาดนัดจตุจักร

เรื่องที่สอง ความสามารถในการสกัดกั้น ควบคุม และวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูลได้มากกว่าการประกอบธุรกิจแบบเดิมที่ในอดีตการเก็บข้อมูลเพื่อทำความรู้จักตัวผู้บริโภคจะทำผ่านการสำรวจตลาด แต่ในกรณีของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ความสามารถในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีมากกว่า โดยสามารถเก็บข้อมูลจากคนจำนวนมากที่มาใช้งานแพลตฟอร์ม และสามารถเก็บข้อมูลได้ในระดับพฤติกรรมแบบ real time ซึ่งแพลตฟอร์มสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้วิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค (ผู้ซื้อ) รวมถึงควบคุมพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ขาย ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะรายบุคคล และผ่านการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้กับผู้ขายสินค้า รวมทั้งนำข้อมูลดังกล่าวมาสร้างเงื่อนไขการให้บริการกับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

มาถึงจุดนี้ผู้อ่านหลายๆ คนน่าจึงภาพออกถึงสถานการณ์ที่เราเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าอะไรบางอย่างแล้วต่อมามีโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าคล้ายๆ กัน ปรากฏในหน้าแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ หรือการที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์นำเสนอสินค้าใกล้เคียงกับสิ่งที่เราได้กดไลค์ไว้

ความได้เปรียบที่เกิดขึ้นจากการสะสมข้อมูลทำให้หลายๆ แพลตฟอร์มได้ปรับรูปแบบการให้บริการมีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพลตฟอร์ม s-commerce ที่อาศัยความได้เปรียบจากการสะสมข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานมาเป็นวัตถุดิบในการนำลูกค้าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมาจับคู่กัน

เรื่องสุดท้าย ต้นทุนในการเปลี่ยนแพลตฟอร์มที่เกิดจากการใช้งานแพลตฟอร์มหนึ่งเป็นระยะทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์มอื่นได้ง่ายๆ เพราะความไม่คุ้นเคยและต้องเรียนรู้การใช้งานใหม่ รวมถึงผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ ที่ไม่สามารถโอนย้ายข้ามแพลตฟอร์ม ได้ อาทิ คะแนนสะสม และเครดิตเงินคืน ส่วนในฝั่งของผู้ขายสินค้าชื่อเสียงที่ได้จากการใช้คะแนนรีวิวร้านค้าและสินค้าบนแพลตฟอร์ม สิ่งนี้ทำให้ร้านค้าไม่สามรถโยกย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่นได้ง่ายๆ เพราะต้องไปเริ่มต้นสะสมคะแนนรีวิวใหม่

สภาพดังกล่าวทำให้แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ที่เกิดขึ้นใหม่ได้ยาก สิ่งนี้ทำให้บางแพลตฟอร์มปรับกลยุทธ์โดยผันตัวจากแพลตฟอร์มหนึ่งมาให้บริการอีกอย่างหนึ่ง เพื่ออาศัยฐานผู้ใช้งานที่มีอยู่เดิมไปกับกิจกรรมใหม่ เช่น การผันตัวจาก social media มาทำ s-commerce

การดูแลการแข่งขันและคุ้มครองผู้บริโภคที่ไม่สอดรับกับธุรกิจแพลตฟอร์ม

การแข่งขันเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบเสรี เนื่องจากการแข่งขันจะนำมาสู่ประโยชน์ที่ดีกว่าของสังคมจากการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและราคาถูกลง ซึ่งการแข่งขันจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องอยู่บนสถานการณ์ที่การแข่งขันเป็นไปโดยไม่มีที่ผู้ค้าในตลาดไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันเกินไป ทำให้จำเป็นต้องมีกฎหมายเข้ามากำกับการแข่งขันทางการค้า

เป้าหมายของการแข่งขันทางการค้าในปัจจุบันเข้ามาควบคุมพฤติกรรมที่อาจจะทำให้การแข่งขันทางการค้าเสียไป 4 ลักษณะ ได้แก่ (1) การใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม อาทิ ตั้งราคาจำกัดคู่แข่ง ตั้งราคาต่ำกว่าทุน กำหนดราคาซื้อขายให้คู่ค้าโดยเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และกำหนดราคาคู่ค้าแต่ละรายต่างกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร (2) การร่วมกันตกลงผูกขาดและจำกัดการแข่งขัน หรือ การฮั้วกันระหว่างผู้ค้าเพื่อทำให้การแข่งขันลดลง (3) การรวมธุรกิจที่อาจจะทำให้การแข่งขันลดลง และ (4) การปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม อาทิ การใช้อำนาจตลาดหรืออำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม หรือเอาเปรียบคู่ค้า

ทั้งนี้ กฎหมายแข่งขันทางการค้าปัจจุบันอาจไม่ตอบสนองกับธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มโดยตรง เนื่องจากธุรกิจแพลตฟอร์มไม่ได้มีการขายสินค้าและบริการของตัวเองให้กับผู้ซื้อโดยตรง รายได้หลักของแพลตฟอร์มมาจากค่าโฆษณาและบริการจับคู่ธุรกรรม  ฉะนั้น การอธิบายกฎหมายการแข่งขันทางการค้าโดยยึดโยงกับวิธีคิดด้านราคาหรือยอดขายตามกฎหมายเดิมจึงอาจไม่ตอบโจทย์ของการกำกับดูแลด้านแพลตฟอร์ม

ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มผู้ทรงอิทธิพลตัวจริง

นอกจากนี้ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้ใช้งานด้านผู้ซื้อหรือผู้ขาย แต่มาจากการเชื่อมโยงทั้งสองตลาดเข้าด้วยกัน โดยมีแพลตฟอร์มเป็นตัวกลางในฐานะคนเฝ้าประตู (gate keeper) ที่ควบคุมว่าใครมีสิทธิขายสินค้า มีสิทธิซื้อสินค้า และจะเสียค่าธรรมเนียมบริการเท่าใด รวมถึงกำหนดกฎเกณฑ์ฝ่ายเดียวในการใช้งานแพลตฟอร์มกับผู้ซื้อและผู้ขาย โดยใครไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษหรือถูกระงับการใช้บริการ อิทธิพลของแพลตฟอร์มดังกล่าวมีมากกว่าอำนาจเหนือตลาดแบบเดิมๆ ที่กฎหมายแข่งขันทางการค้ามุ่งเน้น

เงื่อนไขข้างต้นทำให้ผู้ขายสินค้ามีทางเลือกน้อยลง เนื่องจากแพลตฟอร์มมีอิทธิพลในการดึงดูดผู้บริโภคได้มากก็ทำให้รับประกันได้ว่าสินค้าสามารถขายได้แน่นอน

สถานการณ์ดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องที่คิดกันไปเอง แต่เป็นความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดเงื่อนไขที่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ค้า ตัวอย่างเช่น ประเทศอินโดนีเซียความกังวลด้านการแข่งขันดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นจากการเปิดตัวของแพลตฟอร์ม s-commerce ที่ก้าวมาเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดแพลตฟอร์มซื้อขายของออนไลน์อย่าง Tiktok ที่มีการเลือกจำกัดการมองเห็นหรือปิดกั้นร้านค้าในประเทศอินโดนีเซีย และเน้นนำเสนอร้านค้าจากประเทศจีนเป็นหลัก ซึ่งกรณีดังกล่าวได้นำมาสู่การระงับให้บริการด้าน s-commerce ในอินโดนีเซีย หรือกรณีของ Alibaba ที่มีการกีดกันไม่ให้ร้านค้านำเสนอสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ หรือกรณีลงโทษปรับ Google จากการทำให้สินค้าที่ขายบน Google shopping โดดเด่นกว่าช่องทางซื้อขายอื่น และลดระดับการมองเห็นช่องทางซื้อขายอื่น

ปัญหาส่วนหนึ่งของการเลือกปฏิบัตินี้มาจากอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มที่กำหนดให้ร้านค้าขนาดใหญ่ที่มียอดขายสินค้ามากและมีความสามารถในการสต็อกสินค้าเอาไว้ถูกทำให้มองเห็นได้มากกว่า และจำกัดการมองเห็นร้านค้าขนาดเล็กและขนาดกลางที่มียอดขายสินค้าน้อยและไม่มีความสามารถในการสต็อกสินค้า

อีกพฤติกรรมหนึ่งที่น่ากังวลของ social media ที่ผันตัวขยายธุรกิจมาเป็น s-commerce คือ การแทรกแซงเพื่อให้ราคาสินค้าบนแพลตฟอร์มถูกกว่าสินค้าในช่องทางการซื้อขายบนแพลตฟอร์มอื่นๆ ทำให้ราคาไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งแพลตฟอร์มยังห้ามผู้ขายกำหนดราคาแตกต่างกันระหว่างช่องทางการขายเพื่อจำกัดการแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งหากผู้ขายฝ่าฝืนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ การไม่เข้าร่วมแคมเปญส่งเสริมการขายทั้งในปัจจุบันและอนาคต การไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากระบบ การไม่ได้รับสิทธิคูปองส่วนลดค่าส่งสินค้า การไม่ได้รับการโปรโมทการมองเห็น หรือกรณีที่ร้ายแรงสุดอาจจะถูกระงับบัญชี

ที่ผ่านมาได้มีความพยายามบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าโดยเข้าไปตรวจสอบแพลตฟอร์มออนไลน์ และทำงานเชิงรุกโดยการเข้าไปคุยกับ Tiktok เรื่องการถอนเงินจากระบบ หรือการพยายามเข้ามาดูแลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียม แต่การกำกับธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มภายใต้กฎหมายปัจจุบันก็มีข้อจำกัดหลายประการ ดังนี้

1. การป้องกันพฤติกรรมที่เอาเปรียบคู่ค้าและการแทรกแซงราคาไม่สามารถดำเนินการอย่างเต็มที่ เช่น การมองเห็นหรือการเข้าถึงแหล่งกำเนิดของสินค้า เป็นต้น การที่แพลตฟอร์มทำแบบนี้ได้เกิดจากการใช้อัลกอริทึมที่ตั้งค่าไว้มาดำเนินการ ซึ่งตราบใดที่หน่วยงานกำกับไม่สามารถตรวจสอบอัลกอริทึมหรือปัจจัยที่ใช้ในการเลือกนำเสนอข้อมูลต่อผู้บริโภคก็อาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านการแข่งขันได้อยู่ดี

2. กฎหมายเน้นใช้มาตรการเชิงเยียวยา (ex-post) ซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์หรือตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจจะไม่ทันกับสถานการณ์ เนื่องจากการจัดการกับพฤติกรรมที่ทำลายการแข่งขันทางการค้า ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีการละเมิดกฎหมายการแข่งขันทางการค้าเกิดขึ้นจริง แล้วจึงบังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายในลักษณะดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับแพลตฟอร์มที่มีการเปลี่ยนแปลงบริการไปอย่างรวดเร็ว

3. ธุรกิจแพลตฟอร์มไม่เหมือนธุรกิจรูปแบบเดิมที่ต้องมีนิติบุคคล สถานประกอบการ หน้าร้านหรือตัวแทนในประเทศ (present)  อีกทั้งยังสามารถประกอบธุรกิจภายในประเทศโดยไม่ติดข้อจำกัดด้านกฎหมาย

ถูกใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่รู้ตัว-กำหนดราคาไม่เป็นธรรม

นอกจากปัญหาด้านการแข่งขันแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอสินค้าและบริการ ในเบื้องต้นอยากให้ผู้อ่านลองจินตนาการภาพโฆษณาสินค้าและบริการต่างๆ ที่มีการโฆษณาบนเว็บไซต์หรือบนหน้าของแอพพลิเคชันต่างๆ โดยที่เราอาจจะไม่เคยกดเสิร์ชหาหรือแสดงความประสงค์จะซื้อของดังกล่าวในเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชันนั้น สาเหตุหนึ่งมาจากข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคถูกนำไปใช้โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากแพลตฟอร์มโดยเฉพาะ s-commerce มีศักยภาพในการเก็บข้อมูลการใช้งานและวิเคราะห์พฤติกรรมได้มากกว่าในอดีต

จากรายงานของ TDRI พบว่าในธุรกิจแพลตฟอร์มขาดแนวทางในการสื่อสารที่ชัดเจนในเรื่องการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มออนไลน์หรือแอพพลิเคชันแบบ “Super App” ที่มีการให้บริการหลาก เช่น ในกลุ่ม s-commerce ที่อาจมีการนำข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บจากวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันมาใช้เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจโดยไม่มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจนนี้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำไปใช้นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ตั้งต้นที่ผู้บริโภครับรู้

ปัญหาที่พบอีกอย่างหนึ่งก็คือ การวางกลยุทธ์การขายที่ไม่เป็นธรรม โดยมีผู้ขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม TikTok บางรายพบว่ามีการกดราคาให้ผู้ขายสินค้าตั้งราคาสินค้าทต่ำกว่าราคาที่ผู้ขายต้องการได้รับจากการขายสินค้า เพื่อแลกกับการให้ร้านค้าและสินค้าถูกทำให้มองเห็นจากผู้ซื้อมากยิ่งขึ้น ซึ่งถึอเป็นการเข้ามาแทรกแซงการกำหนดราคาอย่างไม่เป็นธรรมของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอย่าง TikTok

 การได้รับข้อมูลเท็จเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เป็นผู้บริโภคต้องเผชิญ ในบางครั้งแพลตฟอร์มไม่ได้ให้ข้อมูล
ที่ถูกต้อง และบางครั้งข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นเท็จในระดับที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงที่อาจนำอันตรายกับผู้บริโภคได้ ข้อกังวลนี้เกิดเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะบน social media

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มกลุ่ม s-commerce ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่น่ากังวลคือ การขาดกลไกในการยืนยันตัวตนของผู้ขาย เพราะโดยทั่วไปแล้วแพลตฟอร์มกลุ่มนี้มักจะเปิดให้ผู้มีบัญชีใช้งานสามารถขายสินค้าได้โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัว เมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์ม e-commerce ทั่วไปที่กำหนดให้ต้องมีการลงทะเบียนผู้ขาย ทำให้ผู้บริโภคทราบช่องทางติดต่อ และแพลตฟอร์มสามารถเข้ามาเทคแอคชั่นเมื่อเกิดปัญหาได้

อย่างไรก็ดี กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค 2 ฉบับ ยังไม่ตอบโจทย์การคุ้มครองผู้บริโภคบนแพลตฟอร์มออนไลน์เท่าที่ควร เนื่องจาก พ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 ซึ่งใช้ดูแลการขายสินค้าและบริการตรงไปยังผู้บริโภคที่รวมถึงการขายสินค้าออนไลน์ ได้กำหนดให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มียอดรายได้ 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ให้บริการตลาดแบบตรงและต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในกฎหมายขายตรง 

แต่ทว่าในทางปฏิบัติแพลตฟอร์มออนไลน์จำนวนมากไม่ได้เข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทย และไม่ได้มีนิติบุคคล สถานประกอบการ หรือหน้าร้าน หรือตัวแทนในประเทศเลย จึงทำให้ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคได้

ส่วนกรณีของ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ก็เป็นกฎหมายทั่วไปที่ใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภคในธุรกิจการผลิตและขายสินค้าที่วางขายร้านทั่วไป กฎหมายดังกล่าวไม่ชัดเจนว่าจะนำมาใช้กับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีสถานะเป็นตัวกลางได้หรือไม่

ปรับกฎหมายใหม่ จัดระเบียบธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม

แม้ว่าในปัจจุบันประเทศไทยได้ออกพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ทว่า ในความเป็นจริงกลับพบว่าจากข้อมูลของ ETDA มีผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มต่างชาติมาจดทะเบียนเพียง 56 จากจำนวนประมาณ 1,230 บริษัทหรือคิดเป็นประมาณ 6% ของจำนวนบริษัททั้งหมดเท่านั้น ซึ่งสะท้อนปัญหาของการใช้มาตราการบังคับจดทะเบียน

จากงานศึกษาของ TDRI พบว่าแนวโน้มที่ประเทศไทยจะบังคับให้บริษัทเอกชนต่างประเทศมา
จดทะเบียนดิจิทัลแพลตฟอร์มนั้นทำได้ยาก ทางออกของปัญหานี้จึงเป็นการเสนอให้ใช้โมเดลการกำกับการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภคในธุรกิจแพลตฟอร์มเช่นเดียวกับสหภาพยุโรป ซึ่งไม่ได้กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องจดทะเบียนหรือมีสถานประกอบการ เนื่องจากกฎหมายต้องการให้มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ประกอบกับการที่ประเทศไทยยึดโยงกับแนวทางของสหภาพยุโรปจะทำให้ผลของการบังคับใช้กฎหมายสามารถเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกันกับสหภาพยุโรปเมื่อเกิดการละเมิดกฎหมายในลักษณะเดียวกันแล้วส่งผลต่อประเทศไทยๆ ก็สามารถที่จะดำเนินการให้สอดรับกับสหภาพยุโรปได้ทันที

ในส่วนของกรอบทางกฎหมายที่ควรจะมีในด้านกำกับกิจกรรมของธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์มในด้านการแข่งขันทางการค้าควรจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่

1. การกำหนดนิยามผู้คุมตลาด (gatekeeper) ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ซึ่งอาจจะต้องมีการศึกษาเพื่อเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อไป

2. การกำหนดข้อบังคับทั่วไปโดยกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อป้องกันพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรม

3. การกำหนดกลไกการติดตามและบังคับใช้กฎหมาย อาทิ การกำหนดให้แพลตฟอร์มผู้คุมตลาดมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูล ยอดผู้ใช้งาน มูลค่าการตลาด รายงานแผนการดำเนินงานตามข้อบังคับ และการตั้งผู้ติดต่อ (contact person) ในประเทศ

นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับควรจะต้องมีอำนาจเพิ่มขึ้นในการออกมาตรการป้องกัน อาทิ การสั่งระงับการกระทำที่สงสัยว่าจะผิดหลักเกณฑ์ป้องกันพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การเรียกข้อมูลเพื่อทำการตรวจสอบว่าแพลตฟอร์มมีการทำตามข้อบังคับหรือไม่ รวมถึงการตรวจสอบอัลกอริทึมและปัจจัย (factor) ที่ใช้ในการดำเนินการบนแพลตฟอร์ม ซึ่งหากแพลตฟอร์มไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวก็ให้หน่วยงานกำกับมีอำนาจสั่งให้ทำตามมาตรการใดมาตรการหนึ่ง

4. การวางกำหนดสำหรับแพลตฟอร์มทุกประเภท เช่น การแจ้งข้อตกลงและเงื่อนไขที่เข้าใจได้ง่ายกับผู้ใช้บริการ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดลำดับสินค้าและบริการแก่ผู้ใช้

ส่วนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคกฎหมายควรจะมีการกำหนดกรอบให้ครอบคลุมแพลตฟอร์มในฐานะตัวกลางที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และกำหนดหน้าที่และข้อปฏิบัติในการคุ้มครองผู้บริโภค อาทิ
การให้ข้อมูลที่ชัดเจน การติดตามและตรวจสอบเนื้อหาที่เป็นเท็จหรือผิดกฎหมาย และการทำช่องทางสำหรับ
การร้องเรียน

ในส่วนของการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้แตกต่างจากวัตถุประสงค์แรกนั้น ภาครัฐอาจจะดำเนินการออกแนวปฏิบัติที่กำหนดแนวทางในการแบ่งแยกการใช้ข้อมูลที่ชัดเจนและการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

การกำกับดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มนั้น มีความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้นกับการแข่งขันทางการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งความท้าทายดังกล่าวนำมาสู่การปรับตัวของกฎหมายเพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มประเภทเดียวกันให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกันบนกฏระเบียบเดียวกันอย่างเสรี รวมทั้งอุดช่องโหว่ของกฎหมายและคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

แด่สังคมที่ (เหมือนจะ) เสมอภาคบนนิติธรรมที่หักงอ: จากความเสมอภาคทางเพศสู่ภาพของสังคมที่ไม่เสมอภาคบนหลักนิติธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยได้มีเรื่องน่ายินดีคือ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้ผ่านการพิจารณาของทั้งสองสภาแล้วเตรียมประกาศใช้เป็นกฎหมาย สิ่งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีกับสังคมไทยที่จะได้ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียน กฎหมายฉบับนี้ได้กลายเป็นหมุดหมายที่จะส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ โดยเป็นการเปิดโอกาสให้การเริ่มต้นชีวิตครอบครัวไม่ถูกจำกัดโดยผลของกฎหมายอีกต่อไป แม้จะมีการแสดงทัศนคติของสมาชิกวุฒิสภาบางท่านในเชิงไม่สร้างสรรค์ แต่ก็นับได้ว่าสังคมกำลังเคลื่อนไปสู่ความเสมอภาคมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมกำลังเหมือนจะเคลื่อนไปสู่ความเสอมภาคมากขึ้นนั้น จริง ๆ สังคมกำลังดำเนินไปแบบนั้นจริงหรือไม่

เมื่อพิจารณาสังคมบนพื้นฐานของประชาธิปไตยแล้ว ความเสมอภาคนั้นควรตั้งอยู่บนหลักการของนิติธรรม (Rule of law) ซึ่งเป็นหลักประกันพื้นฐานว่าทุกคนมีความเสมอภาคกันบนพื้นฐานของกฎหมาย และกฎหมายเป็นที่มาของอำนาจรัฐและข้อจำกัดในการใช้อำนาจรัฐ ยิ่งในสถานการณ์ที่สังคมมีความขัดแย้งมากแบบในปัจจุบัน การกลับมายึดมั่นในหลักการนิติรัฐยิ่งมีความสำคัญ  ทว่า สังคมไทยกำลังเดินทอดไปตามวิถีทางดังกล่าวหรือไม่ ในบทความนี้จะลองชวนผู้อ่านมาหาคำตอบกัน

ประเทศไทยสอบตกในการประเมินด้านนิติรัฐ/นิติธรรม

หนึ่งในการจัดลำดับสากลที่มีความน่าสนใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและกระบวนการยุติธรรมคือ การประเมินตามดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of law index) ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อประเมินผลการดำเนินงานและสถานการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักนิติธรรมของประเทศจำนวน 142 ประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ World Justice Project ได้เผยแพร่ผลคะแนนการประเมินดัชนีหลักนิติธรรม (ของจำนวน 142 ประเทศทั่วโลกของปี พ.ศ. 2565) พบว่าประเทศไทยมีคะแนนอยู่ในลำดับที่ 82 ที่คะแนนประเมินรวมอยู่ที่ 0.49 น้อยกว่าประเทศเพื่อร่วมประชาคมอาเซียนแบบสิงคโปร์ที่อยู่ในลำดับที่ 17 มีคะแนนประเมินรวมอยู่ที่ 0.78 และน้อยกว่ามาเลเซียที่อยู่ในลำดับ 55 มีคะแนนประเมินรวมอยู่ 0.57 (ภาพที่ 1)

ผลของการที่ประเทศไทยมีคะแนนอยู่ที่ 0.49 สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีหลักนิติธรรมที่ค่อนไปในทางไม่เข้มแข็ง ทั้งนี้ แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลการประเมินในช่วงปี พ.ศ. 2566 พบว่าลำดับของประเทศไทยคงที่ แต่ที่น่าสนใจคือ คะแนนการประเมินของไทยแย่ลง โดยลดลงจากปี พ.ศ. 2566 ลงมา 0.01 คะแนน และเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นปีแรกและเป็นที่ประเทศไทยได้คะแนนการประเมินมากที่สุด ประเทศไทยมีคะแนนลดลง 0.03 คะแนน (ภาพที่ 1)

หากลองพิจารณาในรายละเอียดของดัชนีหลักนิติธรรมในปัจจัยด้านต่าง ๆ แล้ว โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายและสิทธิมนุษยชน พบว่าประเทศคะแนนประเมินของประเทศไทยล้วนต่ำกว่า 0.5 คะแนน ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ที่ครอบคลุมการประเมินกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ประเทศไทยมีคะแนนอยู่ที่ 0.41 คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ 0.09 คะแนน ต่ำลงจากคะแนนปีที่ 0.01 คะแนน (ภาพที่ 2)

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าสถานการณ์บ้านเมืองนี้แย่ขนาดนั้นจริงหรือไม่ เรามีการดำเนินคดีกับบุคคลอย่างไม่เหมาะสมจริงหรือไม่ และกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยย่ำแย่จริงหรือไม่ ผู้เขียนอยากชวนให้ผู้อ่านลองพิจารณาข้อมูลบางอย่างต่อไปนี้อย่างจริงจัง

คนเห็นต่างทางการเมืองยังคงอยู่ในสถานการณ์วิกฤต

หลังการเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว คนไทยมีความหวังว่าประชาธิปไตยของไทยกำลังจะกลับมา สถานการณ์บ้านเมืองกำลังดีขึ้น คนไทยกำลังจะมีกินมีใช้ ปากท้องกำลังจะมา แต่คำถามสำคัญก็คือ ทุกคนกำลังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่สถานการณ์อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการดำเนินคดีอาญากับผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2563 จนถึงปัจจุบัน

จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พบว่าตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมามีการดำเนินคดีทางการเมืองโดยการใช้อำนาจรัฐเพื่อดำเนินคดีและเอาผิดกับประชาชน เพื่อให้ประชาชนหยุดยั้งการแสดงออกทางการเมือง โดยจากสถิติของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ถึง 31 พฤษภาคม 2567 มีผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองทั้งสิ้น 1,954 คน ในจำนวน 1,296 คดี[1] จำแนกได้ดังนี้

ตารางแสดงจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองจำแนกตามประเภท

ฐานความผิดจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีจำนวนคดี
ฝ่าฝืนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112272303
ฝ่าฝืนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 11615250
ฝ่าฝืนความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 25481,446670
ฝ่าฝืนความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 255818199
ฝ่าฝืนความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550202225
ความผิดจากการละเมิดอำนาจศาล4325
หมายเหตุ ข้อมูลระหว่างวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ถึง 31 พฤษภาคม 2567 ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2567
ที่มา: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (2567)

แม้ว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลใหม่ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตย(?) ก็ตาม แต่สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนและการดำเนินการกับผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองไม่ได้มีทิศทางที่ดีขึ้นเท่าใด โดยพบว่านอกจากการดำเนินคดีแล้วผู้ถูกดำเนินคดีการเมืองจำนวนหนึ่งยังไม่ได้รับสิทธิให้ประกันตัว ทั้ง ๆ ที่สิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ โดยผู้ถูกดำเนินคดีมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์และมีสิทธิได้รับการประกันตัว รวมทั้งการพิจารณาการประกันตัว จะเรียกหลักประกันจนเกินควรแก่กรณีมิได้[2]

ทว่า ในความเป็นจริงสถานการณ์สิทธิประกันตัวของผู้ต้องขังทางการเมืองนั้นไม่ดีเท่าใด จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระหว่างวันที่ 22-31 พฤษภาคม 2567 ยังมีประชาชนคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมือง 42 คน โดยไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดี จำนวนอย่างน้อย 24 คน โดยในจำนวนนี้ผู้ที่ถูกคุมขังจากคดีตามมาตรา 112 จำนวน 17 คน และยังมีเยาวชน 1 คน ที่ถูกคุมขังอยู่ในสถานพินิจฯ ตามคำสั่งมาตรการพิเศษแทนการมีคำพิพากษาของศาลเยาวชนฯ และยังมีในส่วนคดีเกี่ยวกับการครอบครองวัตถุระเบิด-วางเพลิงรถตำรวจ รวม 9 คน[3]

นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีการยื่นประกันตัวผู้ถูกคุมขังในคดีการเมืองถี่ขึ้น และสูงที่สุดเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 60 ครั้ง โดยศาลอนุญาตให้ประกันตัวเพียง 3 คน คือ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร ที่ถูกคุมขังตามมาตรา 116 จากข้อหาขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 และถนอม ชายไร้บ้าน จากการถูกฝากขังในข้อหาชุมนุมเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2564 บริเวณแยกคอกวัว โดยยังมีนักกิจกรรมอีก 16 คนที่ถูกคุมขังและไม่ได้รับการประกันตัว โดยศาลให้ความเห็นประกอบการใช้ดุลพินิจไม่ให้ประกันตัวว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม[4]

อีกรูปธรรมหนึ่งของวิกฤตกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยเกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของ เนติพร เสน่ห์สังคม หนึ่งในนักกิจกรรมกลุ่มทะลุวัง ซึ่งได้มีการอดอาหารเพื่อประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและแสดงจุดยืนตามความเชื่อในระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง ที่ต้องการให้ผู้ถูกดำเนินคดีเพราะความเห็นต่างทางการเมืองได้รับการประกันตัว[5]

ความน่าประหลาดใจของคดีการเมืองอย่างหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตลอดจนกระทั่งผู้พิพากษาของศาลปฏิบัติกับผู้กระทำความผิดเสมือนหนึ่งว่าพวกเขาเป็นคนนอกกฎหมายโดยสมบูรณ์ และตกอยู่ในสภาวะยกเว้นจากความคุ้มครองทางกฎหมายและสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ควรมีต่าง ๆ แต่ก็ถูกควบคุมตัวตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสภาวะที่แปลกประหลาด

เจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้พิพากษากลับไม่ได้ทำหน้าที่รักษากฎหมายอย่างที่ควรจะเป็น รวมถึงความนิ่งเฉยของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกลับไม่แสดงท่าทีอย่างเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหากระบวนการยุติธรรมทางอาญานี้ หากประเทศไทยกลับสู่สภาวะที่เป็นประชาธิปไตยจริง ๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องก็ไม่ควรคัดค้านการประกันตัวของผู้ต้องขังคดีการเมือง และศาลก็ควรจะต้องปฏิบัติต่อสิทธิในการประกันตัวเช่นเดียวกันกับผู้ต้องขังอื่น ๆ

ท่ามกลางสถานการณ์การดำเนินกระบวนยุติธรรมทางอาญาที่ไม่เป็นธรรมนี้ ไม่ใช่ผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองทุกคนจะได้รับความยุติธรรม แม้ว่าจะมีนักกิจกรรมผู้ถูกดำเนินคดีบางคนได้รับสิทธิพิเศษกว่านักโทษคนอื่น ๆ ทั้งในแง่ขอเลื่อนการรับฟังข้อกล่าวหาหรือการได้รับสิทธิประกันตัวอย่างสะดวกสบาย กระบวนการยุติธรรมที่ไม่เสมอภาคนี้กำลังดึงนิติรัฐไทยให้หักงอยิ่งกว่าเดิมหรือไม่

คนยังคงล้นคุก และต้นทุนชีวิตที่ไม่ค่อยดีของนักโทษในเรือนจำ

การเสียชีวิตของ เนติพร เสน่ห์สังคม บอกอะไรกับสังคมไทยมากกว่ากระบวนการยุติธรรมที่บกพร่องและสิทธิประกันตัวแบบสองมาตรฐานในสังคมไทย แต่ยังชวนสังคมตั้งคำถามถึงการตายผิดปกติและคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังในเรือนจำ ที่เปรียบเสมือนแดนสนธยาในความรับรู้ของสังคมไทย

จากการเก็บข้อมูลย้อนหลังของ BBC ไทย ระบุว่าข้อมูล ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 จากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีผู้ต้องขังทั้งหมด 280,617 คน ในจำนวนนี้เป็นนักโทษเด็ดขาด 216,519 คน ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี 64,092 คน และเยาวชนที่ฝากขังไว้ 6 คน และจำนวนที่เหลือคือผู้ต้องกักกันและผู้ต้องกักขัง และนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 เป็นต้นมาจนถึง ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 มีต้องขังเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยทั้งหมด 4,152 คน และเสียชีวิตผิดธรรมชาติ[6] จำนวน 145 คน[7]

เมื่อพิจารณาสภาพความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังในเรือนจำ พบว่าภายในเรือนจำมีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัด และไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีสักเท่าใด โดยจากการศึกษาของ ชุติมา สุทธิประภา เขมภัทร ทฤษฎิคุณ และกัญจน์ จิระวุฒิพงศ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย[8] ได้ระบุว่าในแต่ละปีมีผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศเฉลี่ย 3.1 แสนคน และเคยพุ่งสูงไปถึง 3.5-3.6 แสนคนต่อปี ในช่วงระหว่าง ปี 2561-2563 เมื่อคำนวณกับขนาดของพื้นที่รองรับผู้ต้องขังของเรือนจำ พบว่าจำนวนเกินความจุที่เรือนจำสามารถรองรับได้ไปกว่า 4-5 หมื่นคน

สภาพความแออัดดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้อง อาทิ วัณโรค หอบหืด งูสวัด ความเครียด นอนไม่หลับ น้ำหนักลดและซึมเศร้าจนอยากฆ่าตัวตาย รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรที่ดูแลสุขภาพ โดยจากรายงานการตรวจราชการของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2565 พบว่า หลายเรือนจำให้บริการด้านทันตกรรมและสุขภาพจิตต่ำกว่าเป้าหมาย และในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 มีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 คิดเป็น 40% ของผู้ต้องขังทั้งหมด และมีผู้เสียชีวิต 139 คน

ไม่พึงต้องพูดถึงนักโทษทางการเมือง เพียงแค่นักโทษในคดีปกติทั่วไป คุณภาพชีวิตของนักโทษเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ในขณะเดียวกันสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ดีนี้ย่อมกลายเป็นการขัดขวางกระบวนการปรับปรุงอุปนิสัยของผู้กระทำความผิดเมื่อวันที่ต้องพ้นโทษออกจากคุก

อนึ่ง เช่นเดียวกันกับเรื่องสิทธิในการประกันตัว ไม่ใช่ผู้ต้องขังทุกคนจะได้รับอภิสิทธิ์พิเศษที่จะสามารถออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกเรือนจำได้ รวมถึงมีสิทธิพิเศษที่จะไปไหนมาไหนได้โดยสะดวก แม้ว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องรับโทษอยู่ก็ตาม สิ่งนี้คือ ภาพของความไม่เสมอภาคที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย

นิติรัฐ/นิติธรรมที่หักงอ

หากภาพแทนของกระบวนการยุติธรรมมักจะแสดงออกโดยรูปของตราชูที่เที่ยงธรรมแล้ว  บัดนี้ อาจกล่าวได้ว่า ตราชูแห่งกระบวนการยุติธรรมไทยไม่ได้เพียงแค่เอียงเอน แต่มักหักงอลงมาเช่นเดียวกับหลักนิติรัฐ/นิติธรรมของประเทศไทย บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้พิพากษาในองค์กรตุลาการได้ทำเสมือนว่าคดีทางการเมืองกลายเป็นข้อยกเว้นของสิทธิขั้นพื้นฐานและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไปโดยปริยาย

ไม่เพียงแต่การอยู่ในสถานะของข้อยกเว้นเท่านั้น สิ่งที่น่ากังวลอีกประการหนึ่งคือ ความไม่เสมอภาคของสังคม ในด้านหนึ่งรัฐบาลพยายามรณรงค์เรียกร้องให้เกิดกฎหมายเกี่ยวกับความเสมอภาคของคนหลากหลายทางเพศ ไม่แน่ชัดว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในฐานะนโยบายทางสังคมหรือเพียงแค่การสร้างแบรนด์ดิ้งทางการเมืองที่ทำให้สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการฟอกสีรุ้ง (rainbow washing)[9] แต่ความเสมอภาคในฐานะมนุษย์คนหนึ่งล้วนสำคัญในทุก ๆ ด้าน ที่ไม่ควรถูกละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีคนที่กำลังถูกกักขังเสรีภาพในทางการเมือง โดยไม่สมควร

การสูญเสียเสรีภาพไปโดยที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่า สิ่งที่กระทำไปเป็นความผิดอย่างแท้จริงนั้นคือ อาชญากรรมที่ทำกับเพื่อนมนุษย์ การพรากเอาช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตคน ๆ หนึ่งไปนั้นคือ การพรากเอาส่วนสำคัญของชีวิตของเขาไปโดยที่ไม่ได้มาจากความผิดที่ได้รับการพิสูจน์

เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ต้นทุนที่สังคมจะต้องแบกรับกับความอยุติธรรมทั้งหมดที่กล่าวมาคือ การมีกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เสมอภาค เราเห็นผู้ต้องหาทางการเมืองบางคนได้รับอภิสิทธิ์ที่ดีกว่า ในขณะเดียวกันนักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกตั้งความผิดในฐานเดียวกันกลับถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

ความไม่เสมอภาคบนนิติรัฐ/นิติธรรมที่หักงอนี้ จะแสดงผลออกมาทั้งในเชิงตัวชี้วัดว่า แน่นอนตราบใดที่ประเทศไทยยังคงดำเนินคดีกับผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองแบบไม่ยุติธรรม หรือการไม่แก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังก็คงไม่ทำให้คะแนนดัชนีหลักนิติธรรมไทยดีขึ้น ในขณะเดียวกันภาพเชิงประจักษ์ได้แสดงให้เห็นว่า ระบบการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐานได้กลายเป็นจุดเสื่อมของสังคมที่ไม่สามารถไว้วางใจอำนาจรัฐได้ทั้งโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ และศาลที่ควรจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายกลับไม่สามารถพึ่งพาได้จริงที่มา: ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (2567)


เชิงอรรถ

[1] ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, “พฤษภาคม 2567: จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมืองยอดรวม 1,954 คน ใน 1,296 คดี,” [Online] ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, 5 มิถุนายน 2567, สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://tlhr2014.com/archives/67575

[2] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29.

[3] ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, “สถานการณ์สิทธิประกันตัว ‘ผู้ต้องขังทางการเมือง’ ระหว่างวันที่ 22-31 พ.ค. 2567 ยังริบหรี่ แม้ 1 ชีวิตสูญเสียในเรือนจำ,” [Online] ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, 6 มิถุนายน 2567, สืบค้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://tlhr2014.com/archives/67671   

[4] เพิ่งอ้าง.

[5] วัชชิรานนท์ ทองเทพ, “ม. 112 : เปิดใจพี่สาว “บุ้ง ทะลุวัง” จากหนุน กปปส. สู่นักกิจกรรมทำโพลล์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์,” [Online] BBC ไทย, 11 กรกฎาคม 2567, สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/thailand-62108959

[6] การเสียชีวิตผิดธรรมชาติ หมายถึง การฆ่าตัวตาย ถูกสัตว์ทำร้ายตาย ตายโดยอุบัติเหตุ และตายโดยยังไม่ปรากฏเหตุ; ดู สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, “คู่มือการสอบสวนสาเหตุการตายนอกสถานพยาบาล (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560),” [Online] สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, มีนาคม 2560, สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://spd.moph.go.th/wp-content/uploads/2022/07/Death-Cause-Guide_out.pdf

[7] BBC ไทย, “กรมราชทัณฑ์ยืนยันดูแล “บุ้ง ทะลุวัง” ตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ไม่มีข้อบ่งชี้ใช้ AED กู้ชีพ,” [Online] BBC ไทย, 15 พฤษภาคม 2567, สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/articles/cd181n0y9ggo

[8] ชุติมา สุทธิประภา, เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, และกัญจน์ จิระวุฒิพงศ์, “ปรับมาตรการคุมผู้ทำผิด เพิ่มคุณภาพชีวิต-ลดแออัดเรือนจำ,” [Online] TDRI, 25 มีนาคม 2567, สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://tdri.or.th/2024/03/adjust-measure-alternatives-to-imprisonment/

[9] ฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์, “Rainbow Washing การตลาดตบตาบนผืนผ้าสีรุ้ง,” [Online] 16 มิถุนายน 2566, สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://www.the101.world/rainbow-washing/

ความเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรม กับการทำสัญญะของระบอบการปกครองใหม่

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เคยเป็นวันสำคัญอย่างเป็นทางการของประเทศไทย โดยเป็นหมุดหมายสำคัญของการเริ่มต้นอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย ผลของการอภิวัฒน์ดังกล่าวไม่ได้มีเพียงความมุ่งหมายในการอภิวัฒน์การเมืองเท่านั้น แต่ยังมุ่งหมายให้เกิดการอภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากการพยายามวางเค้าโครงการเศรษฐกิจ และการอภิวัฒน์ทางวัฒนธรรม

ดังจะเห็นได้จากภายหลังการอภิวัฒน์สยามเกิดขึ้น แม้ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านจะมีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้น อาทิ การเกิดขึ้นของกบฏบวรเดชและการปิดสภาผู้แทนราษฎรโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา หรือการปฏิเสธเค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกระทบต่อการอภิวัฒน์ในมิติการเมืองและเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี มิติหนึ่งที่คณะราษฎรทำได้สำเร็จและเป็นจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงก็คือ มิติทางวัฒนธรรม ซึ่งดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งล่วงเข้ามาในช่วงหลังปี พ.ศ. 2490 และเสื่อมพลังมากที่สุดในช่วงปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมาที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองไทยภายใต้การรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ความสำคัญของการอภิวัฒน์ทางวัฒนธรรมก็คือ การสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นในสังคม โดยทั่วไปเราอาจเห็นว่า วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติกันโดยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือสมควรจะกระทำ ซึ่งทำให้วัฒนธรรมเป็นภาพสะท้อนและเครื่องมือทางสังคม เหมือนเวลาเราพูดถึงวัฒนธรรมไทย อาจจะนึกถึงการไหว้หรือความอ่อนช้อยสวยงาม (แบบไทย?)

ทว่า บทบาทของวัฒนธรรมนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติกันเท่านั้น แต่วัฒนธรรมยังมีส่วนสำคัญในฐานะโครงสร้างส่วนบน  (superstructure) ของสังคมที่บรรจุไปด้วยระบบโลกทัศน์ อุดมการณ์ อุดมคติ หลักปรัชญาของสังคม โครงสร้างทางการเมือง และกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องของความคิดและการกระทำของสังคม[1] ซึ่งโครงสร้างส่วนบนนี้มีส่วนสำคัญต่อการผลิตซ้ำความคิดและความเชื่อ รวมถึงตำแหน่งแห่งที่ของคนในสังคม

ไม่เพียงเท่านั้นวัฒนธรรมยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะหล่อหลอมสังคมให้ดำรงอยู่ได้ภายใต้ระบอบการเมืองหนึ่งๆ และระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ และทำให้ระบอบการเมืองและระบบเศรษฐกิจสามารถดำรงต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ดังเช่นที่ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายไว้ว่า ทรรศนะทางสังคมเป็นส่วนที่เป็นจิตใจ ซึ่งทรรศนะทางสังคมนั้นอาจจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ได้ แต่หากปราศจากทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยแล้วก็คงไม่เกิดประชาธิปไตยสมบูรณ์[2]

ด้วยเหตุนี้ในความใส่ใจของคณะราษฎรจึงได้ให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาในสังคม โดยแนวคิดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่สำคัญของคณะราษฎรคือ การลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ (sacred) ตามขนบแบบเดิมที่ได้รับอิทธิพลจากคติจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิที่เชื่อในเรื่องความสูงต่ำที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมบุญบารมีข้ามภพชาติ ซึ่งสะท้อนอยู่ในสถาปัตยกรรม พิธีกรรม และแบบแผนการดำรงชีวิตในสังคม

ปรีดี หงษ์สต้น[3] ได้อธิบายถึงขบวนการสร้างวัฒนธรรมใหม่ของคณะราษฎรคือ การจัดวัตรปฏิบัติประจำวันของชีวิตมนุษย์ (routinization of life) หรือความเป็นสาธารณ์ (profane) ให้กลายเป็นสิ่งสำคัญเทียบเท่าความศักดิ์สิทธิ์โดยทำให้เรื่องในชีวิตประจำวันกลายมาเป็นพลังทางการเมืองใหม่ และทำให้เกิดความเป็นสาธารณะ (publicness) ขึ้นในสังคมไทย การสร้างภาพของวัฒนธรรมใหม่นี้จึงไปปรากฏในสถาปัตยกรรม พิธีกรรม และแบบแผนการดำรงชีวิตของราษฎรในชีวิตประจำวันโดยเป็นการเปลี่ยนศูนย์กลางของความหมายจากความศักดิ์สิทธิ์มาเป็นความธรรมดาที่มีราษฎรเป็นส่วนสำคัญ

วันธรรมดาในชีวิตประจำวันของราษฎรในระบอบใหม่

ตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมประการแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด โดยปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันของราษฎรคือ งานด้านสถาปัตยกรรม เช่น อาคาร สถานที่ และตลอดจนถึงการตกแต่งภายในของอาคารต่างๆ เป็นต้น

งานสถาปัตยกรรมที่เราเห็นและใช้ประโยชน์นั้นไม่ได้มีการออกแบบเพียงเพื่อความสวยงาม ทว่า อาคาร สถานที่ และตลอดจนถึงการตกแต่งดังกล่าวนั้นเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเพื่อผลิตซ้ำความหมายต่างๆ ภายใต้อุดมการณ์และแนวคิดทางสังคม

ภายหลังการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังการดำรงตำแหน่งของจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้นจะเห็นสถาปัตยกรรมที่มีรูปร่างลักษณะภายนอกที่เรียบเกลี้ยงเป็นเส้นตรงไปตรงมาแบบกล่องสี่เหลี่ยม ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ค่อยมีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายใดๆ โดยเฉพาะการใช้ลวดลายไทย (อาคารสำคัญอาจจะมีการตกแต่งด้วยศิลปะแบบสัจนิยมแนวสังคม (social realism) ที่เน้นความสมจริงและสะท้อนความจริงในสังคม) และมีหลังคาเป็นทรงตัดหรือมีการก่อผนังขึ้นมาเป็นแผงคอนกรีตบังส่วนหลังคาเพื่อหลอกสายตาให้ดูเป็นหลังคาทรงตัด[4] งานสถาปัตยกรรมในลักษณะดังกล่าวถูกเรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบทันสมัย

สถาปัตยกรรมแบบทันสมัยนี้ไม่ได้เพิ่งได้รับความนิยมในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เริ่มถูกนำมาใช้ในสังคมไทยตั้งแต่ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อย่างไรก็ดี ชาตรี ประกิตนนทการ ได้ให้ความเห็นว่า สถาปัตยกรรมแบบทันสมัยในความหมายช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมีลักษณะเป็นเพียงการทำตามสมัยนิยม (ตามแบบอย่างตะวันตก) ลักษณะของการสร้างสถาปัตยกรรมดังกล่าวจึงเป็นเพียงการนำรูปแบบของสถาปัตยกรรมมาใช้ แต่ไม่ได้เป็นการนำคุณค่าของสถาปัตยกรรมดังกล่าวมาใช้[5]

อย่างไรก็ดี ภายหลังการอภิวัฒน์สยามคณะราษฎรได้พยายามสร้างความหมายใหม่ให้กับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เป้าหมายของสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้คือ การแสดงภาพตรงกันข้ามกับศิลปะตามจารีตหรือพระราชนิยมในอดีตที่มีการประดับตกแต่งโดยเน้นลักษณะสูงต่ำตามแนวคิดแบบจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ โดยลดทอนลักษณะฐานานุศักดิ์ในงานสถาปัตยกรรมลง เนื่องจากงานสถาปัตยกรรมมีความสลับซับซ้อนมากเท่าใดก็ยิ่งกลายเป็นการแบ่งชนชั้นทางสังคมมากเท่านั้น[6]  กล่าวคือ ลักษณะของงานสถาปัตยกรรมบางอย่างถูกสงวนเอาไว้เฉพาะกับคนบางกลุ่ม แม้จะไม่ได้มีกฎเกณฑ์ทางสังคมกำหนดไว้โดยเฉพาะ แต่ในทางวัฒนธรรมเป็นที่รับรู้กันว่า หากทำเช่นนี้จะทำตัวเทียมเจ้าเทียมนาย

สมมติฐานของ ชาตรี ประกิตนนทการ มีหลักฐานสนับสนุนคือ กฎหมายที่เกี่ยวกับอาคารที่ออกมาในเวลานั้น มีการกำหนดรูปแบบลักษณะอาคารโดยอิงอยู๋กับแบบแผนของงานสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่

ความทันสมัยในนัยใหม่ของสถาปัตยกรรมที่คณะราษฎรมุ่งเน้นจึงเป็นการนำเสนอสัญลักษณ์ของ “ความเสมอภาค” และการให้ความสำคัญต่อ “สามัญชน” ในระบอบประชาธิปไตยผ่านการออกแบบศิลปะและสถาปัตยกรรม[7] ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้ เช่น สนามกีฬาแห่งชาติศุภชลาศัย (พ.ศ. 2481) กลุ่มอาคารรอบถนนราชดำเนินกลาง 10 หลัง (พ.ศ. 2484) ที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลข บางรัก (ไปรษณีย์กลางบางรัก) (พ.ศ. 2483) และโรงแรมรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2486) เป็นต้น


ภาพอาคารบนถนนราชดำเนินกลาง
ที่มา: Google maps, street view (2567)


ภาพอาคารนิทรรศรัตนโกสินทร์ หนึ่งในอดีตกลุ่มอาคารบนถนนราชดำเนินกลาง
ที่ได้รับการตกแต่งใหม่
ที่มา: Google maps, street view (2567)


ภาพอาคารไปรษณีย์กลาง
ที่มา: Supanut Arunoprayote (2566) บน Wikipedia


ภาพสนามกีฬาแห่งชาติ ศุภชลาศัย
ที่มา: Supanut Arunoprayote (2566) บน Wikipedia

ไม่เพียงแต่รูปแบบของสถาปัตยกรรมที่เน้นเรื่องความเสมอภาคหรือความสามัญชนเท่าที่ปรากฏในพื้นที่สาธารณะเท่านั้น แต่การสร้างวัฒนธรรมใหม่ของคณะราษฎรยังไปปรากฏอยู่ในงานสถาปัตยกรรมเดิม ผ่านการประยุกต์และสร้างความหมายใหม่ให้ยึดโยงกับระบอบการปกครองใหม่ โดยพยายามลดทอนรายละเอียดตามจารีตแบบเดิมให้สอดประสานกับแนวคิดเรื่องความเสมอภาค ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้คือ เจดีย์ศรีมหาธาตุ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ที่ภายนอกมีรูปแบบการตกแต่งที่เรียบง่าย และมีลักษณะเป็นสามัญชนมากขึ้น


ภาพหน้าบันเจดีย์ศรีมหาธาตุ
ที่มา: Google maps, street view (2567)

ไม่เพียงแต่การลดทอนรายละเอียดตามจารีตเดิมลงแล้ว อีกสิ่งที่จะพบในงานสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้คือ การใส่สัญลักษณ์ “ลายอรุณเทพบุตร” เข้าไปในงานประติมากรรมต่างๆ ซึ่งในอดีตลายอรุณเทพบุตรนั้นไม่ถูกนำมาใช้ในงานเป็นประติมากรรมตกแต่งอาคารหรือสถานที่มาก่อน โดยเฉพาะสถานที่ราชการที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะใช้ตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์หรือตราประจำพระองค์ต่างๆ หรือตราครุฑ แต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลายอรุณเทพบุตรถูกนำมาใช้ประดับประดางานสถาปัตยกรรมใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในภายหลัง อาทิ ภาพหน้าบันพระพระอุโบสถ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ซึ่งเป็นลายประดับเหนือบานประตูของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

นัยสำคัญของการใช้ลายอรุณเทพบุตรมาตกแต่งอาคารและสถานที่นั้นมีนัยทางการเมืองที่สื่อถึง อรุณเทพบุตรที่เป็นสารถีประจำรถของพระสูรยะ การนำสัญลักษณ์ของอรุณเทพบุตรมาใช้ในที่นี้จึงเปรียบเสมือนกับการปรากฏตัวของแสงสว่างแรกที่ส่องสว่างก่อนเข้าสู่ยุคการเมืองใหม่ รวมถึงยังมีนัยสื่อถึงเวลาย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ที่ประชาธิปไตยได้ถูกประดิษฐานไว้แล้ว[8]


ภาพหน้าบันพระอุโบสถ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
ที่มา: Google maps, street view (2567)


ภาพหน้าบันพระพระอุโบสถ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
ซึ่งเป็นลายประดับเหนือบานประตูของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ที่มา: คลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (มปป.)

นอกจากนี้ สัญญะอีกอย่างหนึ่งที่ปรากฏเข้าไปในฐานะภาพสะท้อนของคติการปกครองใหม่ ในงานสถาปัตยกรรมแบบเดิม เช่น การใส่สัญลักษณ์ของพานรัฐธรรมนูญเข้าไปบนสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แบบหน้าบัน เพดาน ธรรมาสน์ และงานประดับตกแต่งอื่นๆ ในสถานที่สำคัญทางศาสนา[9] การนำสัญลักษณ์ของพานรัฐธรรมนูญมาประดับไว้ในสถานที่สำคัญทางศาสนานี้ เจตนารมณ์ประการหนึ่งคือ ต้องการเสริมสร้างภาพของรัฐธรรมนูญในฐานะสัญลักษณ์ของการปกครองใหม่ให้มีความสำคัญและเสมือนเป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน


ภาพหน้าบันวัดตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร
ที่มา: ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล (2563)

ไม่เพียงแค่ศาสนสถานแบบวัดพุทธเท่านั้นที่ได้รับอิทธิพลในลักษณะดังกล่าว แต่การนำรูปพานรัฐธรรมนูญไปใช้ในการตกแต่งประดับประดาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองใหม่ยังปรากฏในศาสนสถานหลายๆ รูปแบบ อาทิ อาคารโรงเจหลวงพ่อโสธร (กุศลสถานศาลเจ้า) (พ.ศ. 2519) ที่จะมีการตกแต่งกระเบื้องโมเสกเป็นรูปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อยู่บริเวณจุดไหว้ที่ 7 และ 8


ภาพโมเสกประดับในอาคารโรงเจหลวงพ่อโสธร
ที่มา: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ (2562)

วันชาติ-รัฐพิธีฉลองรัฐธรรมนูญ

นอกจากงานสถาปัตยกรรมแล้ว การสร้างวัฒนธรรมใหม่อีกประการหนึ่งที่มีความสำคัญคือ การเปลี่ยนพื้นที่ของวันสำคัญและงานเฉลิมฉลอง

ย้อนกลับไปในช่วงก่อนการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 งานเฉลิมฉลองต่างๆ รวมถึงพระราชพิธีนั้นเป็นพื้นที่สงวนเอาไว้สำหรับชนชั้นนำ แม้ว่าจะมีความพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบของพระราชพิธีหรือพิธีกรรมต่างๆ ให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวได้ แต่นัยสำคัญของพิธีกรรมยังคงให้จุดเน้นย้ำอยู่กับองค์ประธานของพิธีกรรมคือ พระมหากษัตริย์ ดังเช่นในพระราชพิธีพืชมงคล-จรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่ แม้จะมีการเปิดให้ราษฎรเข้ามาร่วมพิธีกรรม โดยรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ใช้พื้นที่ของพระราชพิธีเพื่อสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรกรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี[10] แต่สาระสำคัญของพระราชพิธียังคงไม่ได้มุ่งเน้นไปที่สาระสำคัญของการมีประชาชนเป็นศูนย์กลางของวันสำคัญและงานเฉลิมฉลอง

หนึ่งในงานมหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ งานฉลองพระนครมีอายุครบรอบ 150 ปี ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ นัยของงานฉลองดังกล่าวมี 2 นัย โดยนัยแรกคือ การเฉลิมฉลองที่กรุงรัตนโกสินทร์ดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน 150 ปี ซึ่งปรากฏตามพระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี และอีกนัยหนึ่งเป็นการเฉลิมฉลองที่ราชวงศ์จักรีปกครองประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง งานฉลองดังกล่าวมีกิจกรรมหลายประการ อาทิ การจัดพิธีเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าและการเปิดปฐมบรมราชานุสรณ์ และการเสด็จพระราชดำเนินเรียบพระนครทั้งทางสถลมารคและชลมารค


ภาพกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงประทับบนทรงพระที่นั่งราชยานพุดตานทอง
ที่มา: ห้องสมุดมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2564) บน Wikipedia

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองงานมหกรรมสาธารณะส่วนใหญ่จึงมุ่งตอบสนองต่อภาพของวัตรปฏิบัติในชีวิตประจำวันของชีวิตมนุษย์ทั่วไป โดยมีรัฐธรรมนูญเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ดังนี้กิจกรรมที่เกิดขึ้นจึงมีความพยายามเชื่อมโยงระหว่างการปกครองใหม่กับประชาชน ภาพสะท้อนของมหกรรมสาธารณะที่สำคัญนี้มีอย่างน้อย 2 ประการคือ วันชาติ และวันรัฐธรรมนูญ

งานวันชาติครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม 7 ปี โดยเริ่มต้นจัดงานวันชาติในระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 โดยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก่อนหน้านี้ประเทศไทยไม่ได้มีวันชาติอย่างเป็นทางการ เนื่องจากชาติของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์และพุทธศาสนา ไม่ใช่ชาติในความหมายที่สัมพันธ์กับเชื้อชาติหรือชาติของสามัญชน[11]  ดังนั้น วันชาติโดยปริยายจึงเป็นวันจักรีหรือวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเป็นวันที่เน้นให้ความสำคัญกับบูรพกษัตริยาธิราช[12]

ก่อนกำเนิดวันชาติในเดือนมิถุนายนนั้นมีวันสำคัญเดิมอยู่ 2 วันคือ วันขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกับวันที่ 24 มิถุนายน และวันรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งตรงกับวันที่ 27 มิถุนายน ที่คณะราษฎรประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 โดยวันทั้งสองเป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามเผยแพร่อุดมการณ์การรัฐธรรมนูญให้แก่พลเมืองเพื่อที่จะสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้แก่สังคมไทย โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง เช่นเดียวกันกับวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร[13]

ในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสนอยกเลิกวันขอพระราชทานรัฐธรรมนูญและวันรัฐธรรมนูญชั่วคราว และกำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติแทน[14]

ศรัญญู เทพสงเคราะห์ (2567) อธิบายว่างานวันชาติครั้งแรกเริ่มต้นด้วยความคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้าในเวลา 5 นาฬิกา เมื่อมีการจัดงานตลาดนัดที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งสะท้อนนัยความสำคัญของสะพานพระพุทธยอดฟ้าที่เคยมีเมื่อครั้งสมโภชน์พระนคร ในฐานะพื้นที่ทางเศรษฐกิจของประชาชนในระบอบใหม่ ตามมาด้วยการก่ออิฐพิธีก่อฤกษ์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ณ สี่แยก ถนนราชดำเนินกลางตัดกับถนนดินสอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐพิธีสำคัญในวันดังกล่าว[15]

กิจกรรมที่เกิดขึ้นในงานฉลองวันชาติจึงเป็นกิจกรรมที่มีลักษณะของความเป็นสาธารณะ กล่าวคือ แม้จะเป็นรัฐพิธีที่รัฐบาลเป็นผู้จัดพิธีการดังกล่าวก็ตาม แต่นัยพิธีการนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับประชาชนทั่วไป อาทิ การก่ออิฐอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย การเปิดสภาผู้แทนราษฎร และการเจิมสนธิสัญญา[16]  ยังไม่นับรวมถึงการมีพื้นที่สำหรับกิจกรรมแบบตลาดนัดที่เชื่อมโยงวิถีทางเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับความสำคัญจากแบบแผนและพิธีกรรมในอดีต

ส่วนวันรัฐธรรมนูญนั้นมีที่มาที่ยาวนานกว่าวันชาติ 24 มิถุนายนเล็กน้อย โดยวันรัฐธรรมนูญเริ่มต้นจัดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2475 โดยถือว่าเป็นมหกรรมสาธารณะขนาดใหญ่งานแรกที่เกิดขึ้นภายหลังการอภิวัฒน์สยาม การเกิดขึ้นของวันรัฐธรรมนูญก็เพื่อรับรองอุดมการณ์รัฐธรรมนูญให้อยู่ในความสำคัญของชีวิตประจำวัน โดยทำให้วันดังกล่าวกลายเป็นวันหยุดราชการหรือวันสำคัญของชาติ[17] ซึ่งความพยายามดังกล่าวต้องการทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับสถาบันการเมืองในระบอบเดิม เพื่อไม่ให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นเพียงความคิดในเชิงทฤษฎีที่ไม่สัมพันธ์กับประชาชน[18]


ภาพประชาชนเข้าชมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475
ประดิษฐานอยู่ในกระโจมที่สนามหญ้า หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตีพิมพ์ในนิตยสารสารคดี

ดังนี้ เป้าหมายหลักของงานฉลองรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจความหมายของรัฐธรรมนูญ รวมถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร เพื่อประชาชนรับรู้ว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญในฐานะกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ[19]

ราษฎร ตัวตนใหม่ภายใต้ระบบการปกครองแบบไม่สูงต่ำ

การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฒนธรรมอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 คือ การสร้างความหมายของความเป็นราษฎรขึ้นในสังคมไทย คำว่า “ราษฎร” หากพิจารณาตามเว็บไซต์สำนักราชบัณฑิตสภาได้ให้ความหมายของราษฎร หมายถึง ผู้ที่เป็นคนของประเทศ ถือสัญชาติเดียวกัน อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน มีสิทธิตามกฎหมาย และต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองเหมือนกันทุกคน[20]

ก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คำว่า ราษฎร เป็นคำที่มีการใช้อย่างทั่วไป โดยอย่างช้าสุดคาดว่าคำดังกล่าวเริ่มต้นใช้มาตั้งแต่รัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังปรากฏในพระราชกำหนดกฎหมายใหม่ที่ในช่วงราวปี พ.ศ. 2347 ซึ่งแสดงพระราชปณิธานในการปกครองของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกความว่า

ทุกวันนี้เอื้อเฟื้อด้วยพัสดุเงินทองไม่ รักพระศาสนอานาประชาราษฎร ยิ่งกว่าพัสดุ เงินทองร้อยเท่าพันทวีอีก ตั้งพระไททำนุกบำรุงวรพุทธศาสนา ไพร่ฟ้าประชากรให้อยู่เยนเปนศุกร…”[21] (คงตัวสะกดตามแบบแผนเดิม)

โดยในช่วงเวลานั้นคำว่า “ราษฎร” มักจะปรากฏอยู่คู่กับคำว่า “ประชา” โดยตามท้ายเป็นคำว่า “ประชาราษฎร” หรือ “ประชาราษฎร์” ซึ่งนัยในลักษณะเดียวกันกับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินหรือไพร่บ้านพลเมือง หากพิจารณาทั่วไปแล้วย่อมหมายถึงประชาชนชาวสยามหรือชายไทย[22]

อย่างไรก็ดี ในช่วงปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย คำว่า “ราษฎร” ไม่ได้มีเพียงความหมายธรรมดา ทว่า คำดังกล่าวได้กลายเป็นภาษาทางการเมืองอย่างเข้มข้น โดยสอดแทรกความคิดและจิตสำนึกที่ก้าวหน้าของชาวบ้าน รวมถึงการแบ่งแยกราษฎรเป็นชนชั้นโดยไม่นับรวมกลุ่มเจ้านายเข้าไปด้วย หลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นนัยความหมายของราษฎรตามนัยนี้ ปรากฏชัดเจนในคำประกาศของคณะราษฎร[23]

ดังนี้ นัยของคำว่า “ราษฎร” นั้นจึงมีความมุ่งหมายในลักษณะเดียวกันกับคำว่า “Citoyenne” (ซีตัวแยน) โดยในภาษาไทยนิยมแปลว่า “พลเมือง” ซึ่งปรากฏในคำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 (Déclaration des droits de l’homme et du citoyen) ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส[24] โดยนัยของคำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมืองดังกล่าว พยายามนำเสนอภาพของพลเมืองในฐานะผู้ทรงสิทธิทางการเมืองต่างๆ

เช่นเดียวกันกับคำว่า “ราษฎร” ในประกาศคณะราษฎรที่มีคำๆ นี้มากถึง 41 แห่ง ซึ่งทำให้คำว่าราษฎรนี้มีนัยที่พิเศษ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเนื้อหาตามประกาศคณะราษฎรทั้งฉบับแล้วจะเห็นได้ว่า คำว่าราษฎรนั้นมาพร้อมๆ กับนัยของผู้มีสิทธิมากกว่าหน้าที่[25] ดังเช่นตามหลัก 6 ประการที่ระบุว่า

“3. ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

4. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)

5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น”[26]

ผลของการเปลี่ยนแปลงบทบาทของราษฎรในฐานะผู้มีสิทธิแล้วจะเห็นได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมใหม่ๆ ของรัฐบาลคณะราษฎร ตัวอย่างที่สำคัญเช่น การปฏิรูประบบภาษีใหม่ โดยยกเลิกการเก็บเงินรัชชูการที่มีการเก็บมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2462 โดยเก็บจากค่าราชการจากชายฉกรรจ์ (อายุตั้งแต่ 18-60 ปี) ทุกคนซึ่งนัยของเงินดังกล่าวเป็นการเก็บจากการที่บุคคลมีสถานะเป็นผู้ใต้ปกครอง โดยไม่ได้คำนึงถึงความสามารถของบุคคลในการจ่ายเงินดังกล่าวได้ และเมื่อไม่สามารถจ่ายเงินดังกล่าวได้จะถูกนำไปบังคับใช้เกณฑ์แรงงาน[27] การยกเลิกการเก็บเงินรัชชูปการนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างวัฒนธรรมใหม่ภายใต้แนวคิดเรื่องสิทธิและความเสมอภาค

กล่าวโดยสรุป ภารกิจหนึ่งที่คณะราษฎรได้ริเริ่มสร้างคือ การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฒนธรรมโดยการสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาทดแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพื้นที่ของราษฎร ทั้งในด้านของความเป็นสาธารณะ การสร้างอุดมการณ์ของสิทธิและเสรีภาพ และความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ผ่านการปรากฏของวัฒนธรรมในหลายลักษณะเพื่อให้วัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทย  อย่างไรก็ดี ภารกิจดังกล่าวนั้นค่อยๆ ถูกลบล้างลงในปัจจุบัน และเริ่มเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย สัญลักษณ์ของรัฐธรรมนูญและอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่อยู่ในวัฒนธรรมค่อยๆ ถูกเปลี่ยนไป

หมายเหตุ รูปแบบการอ้างอิง การสะกด และอักขรคงไว้ตามต้นฉบับ


เชิงอรรถ

[1] ฆัสรา ขมะวรรณ, “แนวคิดของเรย์มอนด์ วิลเลียมส์ ในวัฒนธรรมศึกษาและการวิเคราะห์วัฒนธรรมบริโภค,” (วิทยานิพนธ์สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาบัณฑิต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์), 13-14.

[2] ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นอนิจจังของสังคม, พิมพ์ครั้งที่ 10 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สายธาร, 2552), 64-65.

[3] ปรีดี หงษ์สต้น, สยามมหกรรม: การเมืองวัฒธนรรมกับการช่วงชิงความเป็นสาธารณะ, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2562), 10-12.

[4] ชาตรี ประกิตนนทการ, การเมืองและสังคมในศิลปะสถาปัตยกรรมสยามสมัยใหม่ ไทยประยุกต์ ชาตินิยม, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2566), 296-297; ชาตรี ประกิตนนทการ, ศิลปะ-สถาปัตยกรรม สัญลักษณ์ทางการเมืองในเชิงอุดมการณ์, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2563), 13.

[5] เพิ่งอ้าง, 18.

[6] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 319.

[7] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 19.

[8] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 208-210.

[9] ธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล, “วัดธรรมนูญ พานรัฐธรรมนูญ พุทธศิลป์ไทยในยุคการปกครองระบอบประชาธิปไตย กับวัด แหล่งกระจายความคิดที่กว้างขวางที่สุด,” [Online] The Cloud, 9 ธันวาคม 2563, สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://readthecloud.co/constitution-on-phan-waen-fah-in-thai-temple/.

[10] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “รัฐนาฏกรรมของพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในความเปลี่ยนแปลงของสังคม,” [Online] สถาบันปรีดี พนมยงค์, 10 พฤษภาคม 2567, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2024/05/1954.

[11] ชนาวุธ บริรักษ์, ความทรงจำใต้อำนาจ: รัฐ ราชวงศ์ พลเมือง และการเมืองบนหน้าปฏิทิน, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2565), 42-49.

[12] สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, “กำเนิด ‘วันจักรี’ หรือมี ‘วันชาติ’ ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือไม่?,” (2550) นิตยสารศิลปวัฒนธรรม 28(6), 94: 94-110.

[13] ชนาวุธ บริรักษ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 11, 54-55.

[14] ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ, สืบค้นจาก https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/1110471.pdf.

[15] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, “รัฐนาฏกรรมในงานวันชาติ พ.ศ. 2482-2484,” (2567) นิตยสารศิลปวัฒนธรรม, 45(8), 80: 89-90.

[16] เพิ่งอ้าง, 90.

[17] ชนาวุธ บริรักษ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 11, 60.

[18] ปรีดี หงษ์สต้น, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 85.

[19] ชาตรี ประกิตนนทการ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 3, 226.

[20] สำนักราชบัณฑิตยสภา, “ราษฎร,” [Online] สำนักราชบัณฑิตยสภา, 6 มกราคม 2557, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก http://legacy.orst.go.th/?knowledges=ราษฎร-๖-มกราคม-๒๕๕๗.

[21] ดู พระราชกำหนดใหม่ มาตรา 9; ราชบัณฑิตยสถาน, กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, เล่ม 2 , (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550), 714.

[22] ศราวุฒิ วิสาพรม, “ฝูงชนในเหตุการณ์ปฏิวัติสยาม 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475,” (2557) นิตยสารศิลปวัฒนธรรม 35(8) 88: 93.

[23] เพิ่งอ้าง, 93-95.

[24] ดู คำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 ฉบับแปลภาษาไทย โดย ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล, ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล, “คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ. 1789 (Déclaration des droits de l’homme et du citoyen),” [Online] มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.), 19 มีนาคม 2562, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://thaivolunteer.org/คำประกาศว่าด้วยสิทธิ/.

[25] นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ความคิด ความรู้ และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475, พิมพ์ครั้งที่ 3, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2560), 182 อ้างใน ศราวุฒิ วิสาพรม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 22, 96.

[26] สถาบันปรีดี พนมยงค์, “ประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1,” [Online] สถาบันปรีดี พนมยงค์, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/libraries/1583202126.

[27] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “เงินรัชชูปการ ภาษีซึ่งเก็บจากความเป็นราษฎร,” [Online] สถาบันปรีดี พนมยงค์, 26 ตุลาคม 2563, สืบค้นเมื่อ 17 มิถุนายน 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2020/10/470.

PRIDI Interview : ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ : สว. 2567 เปลี่ยนสว. เปลี่ยนประเทศ

[:th]

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
สวัสดีครับ วันนี้ PRIDI Interview เราอยู่กับพี่เป๋า ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ แห่ง Ilaw ( โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน) นะครับ ก็วันนี้เรามาคุยกันเรื่องในวาระที่วันที่ 11 พฤษภาคมนี้ สว. (สมาชิกวุฒิสภา) ชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดลงนะครับ PRIDI Interview เราก็เลยชวนพี่เป๋ามาคุยนะครับ ว่ามีมุมมองยังไงบ้างเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง สว. ใหม่ในครั้งนี้นะครับ ก็สวัสดีนะครับพี่เป๋าครับ

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
สวัสดีครับ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ได้เห็นตัวแคมเปญที่ Ilaw กำลังทำเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับการสมัครสว.ปี 67 ก็เลยอยากจะชวนพี่เป๋ามาเล่าให้ฟังหน่อย เกี่ยวกับว่าตอนนี้ Ilaw ทำอะไรเกี่ยวกับโครงการนี้อยู่บ้างในแคมเปญนี้

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ก็เรากำลังจะมีสว. ชุดใหม่นะครับ ที่มาจากกระบวนการคัดเลือกแบบใหม่ เราตั้งชื่อเล่นมันสั้นๆ ว่า กระบวนการแบ่งกลุ่มอาชีพและเลือกกันเองในหมู่ผู้สมัคร อันนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เพราะว่าถ้าประชาชนไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในครั้งนี้ เราก็กลัวว่าเราจะได้สว. ชุดต่อไปที่มีลักษณะวงเล็บนิสัยไม่ต่างจากสว. ชุดที่ผ่านมาแล้วก็เขาก็จะเป็นคนของใคร เป็นคนของกลุ่มการเมือง เป็นคนที่เรียกว่าถูกล็อคมา มี mandate มีใบสั่งมาชัดเจนว่าให้เขาทำอะไรนะครับ ซึ่งเราไม่ได้อยากเห็นสว. ชุดต่อไปเป็นอย่างนั้น และนี่เป็นโอกาสเดียวที่เราจะเปลี่ยนมัน คือเราอยู่กับสว. ชุดเดิม 5 ปีเปลี่ยนมันไม่ได้เลย เสนอแก้รัฐธรรมนูญไปกี่ครั้งเขาก็ไม่ยอมให้แก้ แต่ว่าเราก็ไม่อยากอยู่กับสว. หน้าตาแบบเดิมอีก 5 ปี ดังนั้นเราจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในตั้งแต่ตอนนี้ ในกระบวนการเลือกสว. ชุดใหม่

สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คนที่มีสิทธิ์เลือกไม่ใช่ประชาชนทั่วไป ไม่ใช่การเลือกตั้งที่คนอย่างเราเดินไปออกเสียงได้ แต่คนที่ยังมีสิทธิ์ออกเสียงคือ คนที่ไปสมัครเข้าร่วมกระบวนการเท่านั้น แล้วก็ขั้นตอนก็ยุ่งยากมีเงื่อนไขเยอะที่คนจะสมัครได้ต้องอายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องเคยทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งมา 10 ปี ต้องสังกัดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ได้ แล้วก็ต้องไม่เป็นข้าราชการ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เคยติดคุกพ้นโทษไม่เกิน 10 ปี คือเงื่อนไขมันเยอะ แต่เราก็เชื่อว่าคนที่มีใจอยากมีส่วนร่วมในการตัดสินอนาคตประเทศ และคุณสมบัติถึงก็มีหลายสิบล้านนะครับ

เราจึงอยากเชิญชวนทุกท่านไปสมัคร ไปสมัครสว. รอบนี้ไม่ได้แปลว่าเราอยากเป็นสว. หรือไม่ได้แปลว่าเราสมัครเพื่อเราอยากจะเข้าสู่อำนาจอยากจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์ อยากไปนั่งใส่สูทอยู่ในห้องประชุม การสมัครนั้นมีความหมายก็คือการสมัครเพื่อโหวตเป็นอย่างน้อย เพราะถ้าไม่สมัคร นั่งอยู่บ้านไม่ว่าคุณจะเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะโหวตนะครับ แต่ถ้าคุณอยากมีส่วนร่วมตัดสินว่าใครจะมาเป็นสว. ชุดต่อไป โอกาสเดียวก็คือต้องสมัครเข้าร่วมกระบวนการแล้วจะมีสิทธิ์โหวต

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
เท่าที่ได้ดูในตัวในโบรชัวร์นี้มาครับ ทำให้เห็นภาพอย่างหนึ่งคือ การเลือกสว. ครั้งนี้เอง ตัวระบบเองก็ค่อนข้างจะซับซ้อน แล้วก็เท่าที่ได้ยินจากข่าวมาคนก็ค่อนข้างจะบ่นเยอะว่าไม่เข้าใจ ผมเข้าใจว่าระบบนี้ออกแบบมาให้มีการโหวตใน 3 ระดับ คือ ในกลุ่มของอาชีพในระดับอำเภอ จังหวัด แล้วก็ประเทศ แต่ว่าอันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระบบของการโหวตในครั้งนี้ มันแตกต่างจากที่ผ่านๆ มายังไง

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
เราไม่เคยมีการเลือกสว. แบบนี้มาก่อน ที่ใกล้เคียงบ้างก็คือที่เกิดขึ้น ทดลองทำในปี 61 แต่ตอนนั้นไม่มีโหวตไขว้ อันนี้พิเศษมากนะครับ คือคนที่เขาออกแบบระบบนี้เขาคิดอย่างเดียวว่า ทำยังไงก็ได้ให้ล็อคผลไม่ได้ จัดตั้งไม่ได้ กลุ่มอิทธิพล กลุ่มการเมืองไม่สามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะได้เป็น เขาก็เลยออกแบบระบบให้มันพึ่งดวงค่อนข้างสูง มีการจับสลากเยอะมากนะครับ

หลักการก็คือว่าเราจะต้องเลือกกันเองในกลุ่มอาชีพก่อน แล้วคนที่ได้รับเลือกคะแนนสูงในกลุ่มอาชีพเดียวกันต้องไปจับสลาก เพื่อไปจับสลากเพื่อไปแบ่งสายกับกลุ่มอาชีพอื่นๆ ในสายหนึ่งอาจจะมี 5 กลุ่มและกลุ่มนี้ก็จะต้องไปโหวตกลุ่มอื่นๆ เช่น ชาวนาอาจจะอยู่สายร่วมกับคุณหมอ นักกฎหมาย นักวิทยาศาสตร์ และกลุ่มนักกีฬา สมมติชาวนาเขาจะต้องเอาคะแนนของตัวเองไปโหวตให้กับนักกฎหมาย ให้กับคุณหมอ ให้กับนักวิทยาศาสตร์ และให้กับกลุ่มนักกีฬา อันนี้มันมาจากการจับสลาก มันก็พอจะบอกได้ว่ามันล็อคยากนะครับ คือสมมตินักกฎหมายคนนึงอยากจะเป็นสว. มาก อาจจะซื้อเสียงในหมู่นักกฎหมายได้ แต่คุณซื้อชาวนาไม่ได้ คุณซื้อนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แล้วคุณก็ไม่รู้ด้วยว่าชาวนากับนักวิทยาศาสตร์จะจับสลากมาเจอคุณหรือเปล่า

เสียงที่คุณซื้อสมมติคุณซื้อนะ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง สมมติคุณซื้อก็ไม่รู้ว่าคนที่คุณจ่ายตังค์ให้เขา เขาจะได้จับสลากมาโหวตคุณหรือเปล่า นี่คือกลไกมันออกแบบมาแบบนี้ แต่ผลเสียของการที่กลไกออกแบบมาแบบนี้ก็คือทำให้สุดท้ายใครเลือกสว. นักกฎหมายที่ได้เป็นสว. ถูกเลือกโดยนักกฎหมายขั้นต้น แต่สุดท้ายจะถูกตัดสินโดยกลุ่มอื่นๆ เลยใครก็ไม่รู้ที่จับสลากมา แล้วชาวนาจะไปรู้ได้ไงว่าในนักกฎหมายจะต้องเลือกใคร นักกีฬาจะไปรู้ได้ยังไงว่านักกฎหมายใครดี นักกีฬาจะเลือกจากอะไร ก็เลือกมั่ว เรียนตรงๆ ดวงมาแล้วก็กามั่ว ก็ดูว่าใครเลขสวย Lucky Number เลข 87 มันเขียนยาก ถ้าใครได้หมายเลข 87 มันได้ยากหน่อย ใครได้หมายเลข 1 มันเขียนง่าย เขียนๆ มา 1 อย่างนี้ คือมันมีดวงอยู่ในกติกาค่อนข้างสูง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ทีนี้ถามต่อนิดนึงครับ พอดีเมื่อสักครู่นี้พอพี่เป๋าเริ่มพูดว่ามันมีระบบโหวตไขว้ซึ่งมันเป็นตัวตัดสินเลยว่าใครจะได้เป็น ระบบนี้เท่าที่ลองฟังดูก็เริ่มคิดว่าจริงๆ คือมันอาจจะทำให้แก้ปัญหาเรื่องการโกงจริงๆ อย่างที่ผู้ร่างเขาหวังดี แต่ว่าในความเป็นจริงเรื่องคนโกงมันอาจจะมีปัญหาอื่นแทนหรือเปล่า เช่น ถ้าใครเป็นคนที่มีชื่อเสียงหน่อยก็อาจจะได้รับโอกาสมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเรารู้แหละว่าคนนี้หน้าตาแบบนี้ เคยออกทีวีบ่อยๆ เป็นทนายความผู้มีชื่อเสียง หรือว่าเป็นคุณหมอนักออกข่าวคนหนึ่งอะไรอย่างนี้มีโอกาส เปิดโอกาสหรือเปล่า

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
มีโอกาสครับ ระบบนี้เอื้อกับคนมีชื่อเสียง แต่ว่ามันต้องมีชื่อเสียงระดับประเทศเลย พี่เบิร์ด ธงไชยนะ สมมติจะเป็นนักร้อง คุณต้องแบบเป็นเบิร์ด ธงไชย เป็นเสก โลโซ เป็นตูน Bodyslam นะ สมมติคุณเป็นแบบเป็นวงกลางๆ วงหนึ่ง ที่มียอด Views ในเพลง 10,000,000 Views ซึ่งมันดังแล้วนะ คุณเข้าไปเลือกระดับประเทศแล้วคุณต้องคาดหมายให้ชาวนา ชาวสวน คุณครู ชาติพันธุ์มาเลือกนักร้อง เขาไม่รู้จักนะ เพราะฉะนั้นมันต้องดังมากจริงๆ แล้วก็โอเคยอมรับว่าระบบนี้คนมีชื่อเสียงระดับประเทศมีผล แต่ผมคิดว่าวิธีแก้อีกอย่างหนึ่งของระบบนี้ก็คือว่าคุณต้องทำตัวเองให้มีชื่อเสียงนะครับ ก็คือคนที่คิดว่าลงสมัครแล้วอยากจะได้ ถ้าคุณอยู่เงียบๆ แล้วคุณใช้วิธีไปล็อคผล ไปจัดตั้ง ไปซื้อเสียงมา คุณไม่ได้หรอกอันนี้พูดด้วยความหวังดีกับคนที่จิตใจไม่บริสุทธิ์ คุณไม่มีทางชนะหรอกเพราะว่าสุดท้ายคนที่มาเลือกคุณเป็นใครก็ไม่รู้ คุณจัดตั้งไม่ได้

ดังนั้นวิธีที่ดีกว่าสำหรับคนที่อยากจะเป็น คือคุณต้องประกาศตัวเองแล้วทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง ให้คนที่เขาจะโหวตคุณเขาอาจจะไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนก็ได้แต่คุณต้องทำให้เขารู้จักตั้งแต่วันนี้ว่าคุณคือตัวจริง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ทีนี้ถามต่อคือผมไม่แน่ใจว่าอย่างเคสสว. เขาให้เราสามารถหาเสียงได้เหมือนเราเลือกส.ส. หรือเปล่า คือเท่าที่ได้คุยกับคนมาเหมือนเขาบอกว่าในใบสมัครเขาให้แสดงพื้นที่ประสบการณ์มาประมาณ 5 บรรทัดว่าเรามีคุณสมบัติอะไรอย่างนี้ มันดูน้อยมากแล้วเหมือนเราตัดสินคนจากหน้ากระดาษ A4 แผ่นเดียว เหมือนสมัครงานเลยอะไรอย่างนี้

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
การเขียนแนะนำตัว 5 บรรทัดไม่มีระเบียบข้อไหนบอกว่าจะเขียนอะไรก็ได้ จะเขียนอะไรไม่ได้ ดังนั้นแปลว่าถ้าคุณเขียนลงไปในนั้นว่า ฉันตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไปทำอะไร ผมไม่เห็นระเบียบข้อไหนที่กกต. บอกว่าจะต้องตัดออก ไม่เห็นนะ ที่คนกลัวกว่านั้นก็คือว่าโพสต์ Facebook ได้ไหม ให้สัมภาษณ์ได้ไหม ผมตอบคำถามอย่างนี้ในวันที่เราคุยกันวันนี้นะ ไม่มีกฎหมายห้าม กฎหมายไม่ออก ไม่มี ทำได้ 100% อยากทำอะไรทำไปเลย แต่จะมีระเบียบออกมาว่าข้อจำกัดจะเป็นยังไงบ้าง แต่วันนี้ยังไม่ออกและมันยังไม่บังคับใช้ ดังนั้นวันนี้ทำได้ แต่ไม่แน่ใจวันที่ท่านผู้ชมชมมันอาจจะมีออกมาแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปวดหัวมาก เพราะว่าทำไมคุณไม่บอกล่วงหน้า มันควรจะแน่นอนกว่านี้ คุณมีเวลาตั้ง 4-5 ปีในการเตรียมระเบียบ อันนี้คุณประกาศออกมาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วเลยให้คนมันรู้ว่าถ้าคนจะลงสมัครรอบนี้มันทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ มาบอกใกล้ๆ มันก็เครียดไปหมดครับ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ทีนี้อาจจะถามต่อ คือเห็นว่าเขามีการแบ่งกลุ่มค่อนข้างจะย่อยมากแล้วจริงๆ ในแต่ละกลุ่มมันก็ควรจะ Represent กลุ่มต่างๆ ในสังคม แต่ทีนี้เท่าที่เห็นในการแบ่งกลุ่มย่อยมันก็มีปัญหาหลายอย่าง เช่น กลุ่มบางประเภทแบ่งแล้วมันอาจจะไม่เหมาะสม มีสัดส่วนของกลุ่มนายจ้างมากกว่ากลุ่มลูกจ้าง กลุ่มพวกประกอบวิชาชีพอิสระก็จำกัดเฉพาะบางกลุ่ม แต่เราก็จะไม่เห็นคนบางกลุ่มเลยที่เขาอาจจะเป็นอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ หรือแม้แต่กระทั่งการใช้กลุ่มอาชีพเป็นตัวหลักในการเลือกก็อาจจะมีปัญหาในบางพื้นที่ซึ่งมันไม่มีอาชีพแบบนั้นเลย ในลักษณะแบบนี้ อันนี้มันเป็นปัญหาของระบบเลือกตั้งที่ออกแบบมาไว้หรือเปล่า

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ใช่ครับ มันผิดตั้งแต่คิดว่าเราจะเลือกตัวแทนของประเทศโดยการแบ่งกลุ่มอาชีพแล้ว มันมีคนตั้ง 60 กว่าล้านคน มันคงมีอาชีพเป็นล้านนะ ที่มันจัดกรุ๊ป 20 กรุ๊ปไม่ได้หรอกนะครับ ตัวอย่างเช่น เรามีกลุ่มเกษตรกร มี 2 กลุ่ม คือ มีกลุ่มทำนา ทำไร่อยู่ด้วยกัน แล้วก็กลุ่มทำสวน ประมง เลี้ยงสัตว์อยู่ด้วยกัน มีประชาชนมาถามผมว่า เขาทำฟาร์มเห็ดเขาลงอะไร ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ผมเลยบอกให้เขาลง SME ผมไม่รู้ว่าเค้าทำนา ทำไร่ หรือทำสวนอะไร แล้วก็กกต. ก็เหมือนจะดี คือเขารู้แหละ เขาคิดไม่ออกหรอกว่ามันมีอาชีพอะไรบ้าง เขาจะมีกลุ่มที่เรียกว่ากลุ่มอื่นๆ นะครับ

กลุ่มอื่นๆ ก็คือให้อาชีพอะไรก็ได้มาสมัครนะ ต่อให้คุณเป็นนักกฎหมายมีกลุ่มกฎหมาย ต่อให้คุณเป็นครูมีกลุ่มการศึกษาคุณก็สมัครกลุ่มอื่นๆ ได้ ดังนั้นกลุ่มอื่นๆ เป็นพื้นที่อันตรายที่สุด อันตรายสองอย่าง

หนึ่ง คือ คนที่อยากเป็นสว. แล้วอยากจัดตั้งเพื่อนมาเลือกตัวเอง แต่เพื่อนมันทำคนละอาชีพ มันก็เอาทุกคนไปอื่นๆ ด้วยกันนี่คือพื้นที่อันตราย

สอง คือ สมมติไม่มีคนแบบนั้น มันไม่มีคนทุจริต มันคือคนที่ทำอาชีพทุกอย่างที่มันไม่เข้ากลุ่มใดเลยมาสมัคร เช่น ฟาร์มเห็ดหรืออะไรก็แล้วแต่มาลงด้วยกัน คำถามก็คือว่าคุณจะให้เขาเลือกกันเองไปทำไม เขาเลือกกันเองเค้าเลือกจากอะไร ในเมื่อเขาทำทุกอย่างมันไม่เหมือนกัน มันไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันเลย มันไม่มีทางจะรู้จักหรือว่ามีความเชี่ยวชาญหรือเข้าใจอะไรกันนะ แต่เขาก็ต้องเลือกกันเองนะครับ เพราะว่ามันผิดระบบนี้มันไม่ใช่ละ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
นอกจากเรื่องนี้มันจะมีประเด็นอื่นๆ เช่น พอเรากำหนดให้มีกลุ่มเฉพาะบางกลุ่ม เช่น กลุ่มตามอาชีพ ถ้าสมมติคนๆ หนึ่งสวมบทบาทมากกว่าหนึ่งบทบาท มันมีอาชีพคนสารพัดความสามารถอยู่อย่างอาชีพทหาร สมมติผมเป็นทหาร ผมก็เป็นกลุ่มข้าราชการก็อาจจะเข้าการปกครอง ความมั่นคง แต่ถ้าผมเป็นนายแพทย์ทหาร ผมไปเข้ากลุ่มแพทย์ได้ด้วยใช่ไหม แล้วถ้าผมเป็นแพทย์ทหารแล้วผมอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎที่เป็นมหาวิทยาลัยด้วย ผมไปลงการศึกษาได้ด้วยใช่ไหม

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ถูกต้องครับ ถ้าคุณสอนด้วยนะ คุณก็ไปลงได้ด้วย

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
แสดงว่าเราสามารถเลือกได้ว่าเรามีโอกาสที่จะลงกลุ่มไหนก็อาจจะชนะหรือเปล่า

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ถูกต้อง แล้วถ้าคุณอายุ 60 ปีขึ้นไป คุณยังกลุ่มผู้สูงอายุได้ ถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณก็ลงกลุ่มผู้หญิงได้ แล้วถ้าคุณเป็นทั้งหมดทั้งปวงนี้ คุณยังลงกลุ่มอื่นๆ ได้ด้วย

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ท้ายที่สุดมันก็กลับมาว่า แล้วการที่เราเปิดช่องขนาดนี้มัน Represent อะไรใคร ได้ไหมจริงๆ

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ไม่ได้ ก็สิ่งที่กังวลที่สุดก็คือกังวลว่าสนามนี้ โอเคสุดท้ายถ้าประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรนะ สุดท้ายมันจะได้ตัวแทน ได้คนที่ผ่านระบบมา ต่อให้เขาสุจริตเลย เขาไม่ได้จัดตั้งไม่ได้ซื้อเสียงเลย เขาไม่ได้เป็นตัวแทนอะไรเลย เขาไม่ได้เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพ เพราะว่าสุดท้ายแล้วเขาถูกเลือกโดยกลุ่มอื่นที่จับสลากมานะ ต่อให้กลุ่มนั้นนะ ทั้งอาชีพของคุณนะ ชื่นชอบยกย่องนับถือคุณขนาดไหน คุณจะเป็นสว. ได้คุณต้องถูกเลือกโดยอาชีพอื่นๆ ที่จับสลากมา แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของพื้นที่นะครับ เพราะว่าแม้ว่าคุณจะเป็นที่นับหน้าถือตาในอำเภอหรือจังหวัด สุดท้ายคุณต้องผ่านการเลือกระดับประเทศ ดังนั้นเขาไม่ได้เป็นตัวแทนอะไร

ก็ไม่รู้ว่าสว. ระบบนี้ได้ตัวแทนอะไรนะครับ แต่เราคิดอีกหน่อยก็คือคิดว่า แต่ถ้าประชาชนที่ไปเลือกเป็นประชาชนธรรมดา เจตจำนงเสรี free will อิสระ คือโอเคส่วนหนึ่งที่สมัครเข้าไป เขาสมัครไปเพราะว่าเพื่อนขอให้สมัครเพื่อไปเลือกเพื่อน อันนี้คือเสียงจัดตั้ง ขออนุญาตเสียงจัดตั้งไม่ผิดกฎหมายนะ ถ้าสมมติผมกับคุณทำอาชีพเดียวกัน ผมบอกว่า “เฮ้ยๆ ลงสมัครกับกูหน่อย ไปเลือกกูหน่อย” อย่างนี้ไม่ผิดกฎหมายนะ ไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่ถ้าจ่ายตังค์ “เฮ้ย เดี๋ยวกูจ่ายตังค์ให้” อันนี้ผิดละ ดังนั้นคนจำนวนหนึ่งคือเสียงจัดตั้ง เสียงจัดตั้งคุณจัดตั้งให้ตายเหอะ คุณก็ต้องไปจับสลากเลือกไขว้อยู่ดีนะครับ แต่เอาเป็นว่าถ้าเรามีประชาชนเจตจำนงอิสระเสรีมากกว่าเสียงจัดตั้ง สมมติว่าจัดตั้งกันซัก 100,000 คน แล้วมีประชาชนเจตจำนงอิสระเสรีอีก 200,000 นะครับ ที่เดินเข้าไปโดยคุณไม่มีเป้าหมายอะไร คุณไม่ได้รู้ว่าคุณต้องเลือกใครเท่านั้น คุณไปถึงคุณอ่านประวัติ คุณศึกษาทำการบ้านว่าในกลุ่มนี้ในคนที่คุณมีสิทธิ์โหวตใครดีที่สุดแล้วคุณโหวตนะครับ แบบนี้ผมคิดว่าโอเคสุดท้ายอย่างน้อยผลลัพธ์ออกมาคนนั้นจะเป็นตัวแทนของประชาชน จะเป็นตัวแทนของคน 300,000 จะเป็นตัวแทนของคนจำนวนมากๆ ที่เข้าไปเลือกนะครับ ก็ยังมีจุดเชื่อมโยงอะไรบ้าง

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
ซึ่งก็อาจจะดีกว่าระบบที่กำลังจะเริ่มใช้ในวันที่ 11 พฤษภาคม

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
เราจึงต้องรณรงค์ให้สมัครเพื่อโหวตกันเยอะๆ ที่สุดครับ

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
คือเข้าใจว่าในแคมเปญรอบนี้ Ilaw มีการทำเว็บไซต์ขึ้นมา ลองเล่นมาเมื่อวานชอบมาก มี Data อะไรน่าสนใจเยอะมาก เข้าใจว่าอันนี้คือได้เราได้ข้อมูลมาจากผู้ที่ไปตั้งใจจะสมัครถูกไหมครับ แล้วเขาเอามาเผยแพร่ให้กับเรา ทีนี้พอได้ไปลองดูแล้วในแคมเปญนี้นอกจากจะได้เห็น information ที่เป็นของผู้สมัครแต่ละคน และสิ่งที่เราได้เห็นต่อก็คือเราได้เห็นมุมมอง วิสัยทัศน์ ทัศนคติ ซึ่งอันนี้อาจจะไม่ได้อยู่ใน 5 บรรทัดตอนกรอกเพราะว่าไม่พอ แต่ว่าอันหนึ่งที่น่าสนใจคือมุมมองของคนที่เป็นผู้สมัครแต่ละคนค่อนข้างมีความหลากหลายมาก

ทั้งคนกลุ่มคนที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือคนที่อยากจะทำความเปลี่ยนแปลง เพราะว่าในส่วนต่างๆ ก็มีเหมือน hint ให้ว่าแบบประเด็นทางสังคมอย่างนี้เราสนใจอะไรบ้าง สว. คนนี้สนใจอะไรบ้าง ถามพี่เป๋าในส่วนนี้หน่อย ตัวเว็บไซต์ในแคมเปญนี้เข้าใจว่าเบื้องต้นตอนนี้เว็บไซต์เสร็จแล้ว ใช้งานแล้ว แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนถ้ากฎของกกต. ออกมา แต่ว่าอยากรู้ว่าตัวเว็บไซต์นี้ผู้ใช้งานจะได้อะไรจากสิ่งนี้บ้าง

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
คือว่าใครที่กำลังรู้สึกว่าสนใจ สมัครดีไหมและไม่แน่ใจว่าตัวเองสมัครได้หรือเปล่า คุณสมบัติพอหรือเปล่านะครับ เข้าไปที่เว็บไซต์จะมีฟังก์ชันสำหรับการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนนะครับ สมมติคุณตรวจแล้วคุณผ่านก็จะมีให้ว่าคุณลงกลุ่มอะไรได้บ้าง อำเภออะไรได้บ้างนะครับ ทีนี้คำถามต่อไปก็คือคนก็จะสงสัยว่า แล้วฉันจะลงที่ไหนดี คนหนึ่งอาจจะลงได้ซัก 5 อำเภอ ลงไว้ซัก 5 กลุ่มอาชีพนะครับ ก็มีทางเลือก 25 แบบ

ก็เป็นการตั้งใจที่จะ Hack ระบบของกกต. ที่ออกแบบมา ที่เอาทุกคนคือระบบการเลือกกกต. คือเอาทุกคนเข้าห้องปิด ยึดมือถือ ห้ามคุยกัน คือไม่ได้ห้ามคุยแบบใครคุยแล้วไปตีมือ แต่ว่าไม่ให้ล็อบบี้ ไม่ให้แนะนำตัว ไม่ให้ประกาศนโยบาย ไม่ให้ประกาศอะไรเลย และอ่าน 5 บรรทัดละไปโหวต นี่คือที่กกต. ต้องการ เราต้องการให้มันคล้ายกับการเลือกตั้งมากที่สุด คือ คนจำนวนมากเป็นล้านๆ มีส่วนร่วมได้ ทำการบ้านก่อนได้ ตัดสินใจก่อนได้ แล้วก็ไปโหวตเพราะว่าเจตจำนงของตัวเองจริงๆ นี่คือสิ่งที่เราอยากจะเห็นครับ

เป้าหมายของเรานั้นชัดเจนอยู่แล้วครับเต้ย เราต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยสสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) ที่เป็นตัวแทนของประชาชนจากการเลือกตั้ง 100% โดยตรงนะครับ นี่คือเป้าหมายอยู่แล้ว ถ้าวันนั้นมันมีจริง ประเทศไทยไม่เคยมีนะครับ ประเทศไทยไม่เคยมีสสร. จากการเลือกตั้ง และไม่เคยมีรัฐธรรมนูญจากประชาชนโดยแท้ ถ้ามีวันนั้นได้ซึ่งมันก็จะได้อยู่แต่ไม่ได้ซักที เราจะว่ากันใหม่ทั้งระบบเลือกตั้งส.ส. ทั้งระบบเลือกสว. หรือจะมีสว.ไหม เรื่องอื่นๆ สิทธิเสรีภาพของประชาชน พรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญนะครับ ประกาศคำสั่งคสช. มาตรฐานจริยธรรม ยุทธศาสตร์ชาติ ทุกอย่างจะว่ากันใหม่ ก็อยากจะเห็นวันนั้นอยู่ ไม่รู้ว่าจะไปได้ไหม แต่ถ้าปี 2567 ได้สว. ไม่ถึง 67 คน ยังไม่ได้

เขมภัทร ทฤษฎิคุณ :
อยากจะให้พี่เป๋าเล่าให้คนทางบ้านฟัง แม้ว่ารอบนี้เราจะไม่ได้เป็นคนไปเลือกสว. โดยตรง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกสว. โดยตรง แต่อยากให้ฝากความสำคัญของสว. ไว้หน่อยว่าทำไมเราต้องสนใจคนกลุ่มนี้ เพราะว่าอะไร

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
สว. จะเป็นคนบอกว่าเราจะได้แก้รัฐธรรมนูญไหม และจะได้เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ไหมนะครับ สว.ชุดต่อไปจะเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 5 จาก 9 คน จะเลือก กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) 5 จาก 7 คน จะเลือกผู้ตรวจการแผ่นดินทุกคนนะครับ จะเลือกกรรมการสิทธิ์ (กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) 5 จาก 7 คน คือองค์กรอิรสะทั้งหลายจะต้องเลือกใหม่อยู่แล้วโดยสว. ชุดต่อไป ถ้าเรารู้สึกว่าองค์กรเหล่านี้ทำงานแปลกๆ ที่ผ่านมา แล้วเราอยากจะได้คุณภาพจากพวกเขามากกว่านี้ เราก็ต้องมีสว. ที่ดีกว่านี้ กระบวนการนี้ดีไม่ดีสำคัญกว่าเลือก ส.ส. อีก ถ้าเรื่องเลือก ส.ส. คือทั้งบ้านทั้งเมืองตื่นเต้น กันเดินขบวนสนุกมากนะครับ ในปี 2566 สำคัญไหม สำคัญมากนะครับ แต่ว่าเป็นไงล่ะเลือก ส.ส. ไปเลือกสุดท้ายมีใครมาขัดแข้งขัดขา ส.ส. มากกว่าครึ่งเอาแก้รัฐธรรมนูญ ส.ส. มากกว่าครึ่งเอาพิธาเป็นนายก สว. เขาไม่เอาอะ มันไปไม่ได้นะครับ

ดังนั้นภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ สว. สำคัญกว่าส.ส. อีก ดังนั้นพลังอะไรที่เคยสนใจการเลือกตั้ง 2566 ต้องสนใจเรื่องนี้นะครับ แล้วก็กติกาตอนนี้แก้ไม่ทัน มันจำกัดที่อายุ 40 ปีขึ้นไปไม่เป็นไร ใครน้อยกว่า 40 ภารกิจมีอีกอย่างที่สำคัญมาก คือเราทำแพลตฟอร์ม senate 67 มาเพื่ออยากให้การเลือกสว. เข้าใกล้การเลือกตั้งมากที่สุด คนมีส่วนร่วมมากที่สุด นี่เป็นสิ่งที่เราคิดได้ดีที่สุดเท่าที่เราจะคิดได้ ก็ต้องยอมรับว่าพ่อๆ แม่ๆ ลุงๆ ป้าๆ จำนวนมาก ใช้ไม่เป็นนะครับ คือโอเคพี่ๆ อายุ 40 ใช้เป็นแต่ว่าลุงๆ ป้าๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ไปเลือกตั้งวันจริงเดินเข้าคูหาเอาปากกากากบาททำเป็น แต่วันที่จะมาใช้งานตรวจสอบคุณสมบัติ มาประกาศตัว มาดูผู้สมัครคนอื่นอะดูไม่เป็น น้องๆ ช่วยหน่อยนะครับ นี่เป็นภารกิจเลยของคนรุ่นใหม่ เปิดคอม senate67.com เจอป้านั่งแล้วเปิดเชิญชวนเขา ตรวจสอบคุณสมบัติ สมัครได้ ป้าสมัครหน่อย สมัครที่ไหนได้ เว็บบอกแล้ว สมัครที่ไหนดีมีผู้สมัครคนไหนให้ดูบ้าง พาป้าดูแล้วก็พาป้าไปเข้าคูหาให้ถูกนะครับ นี่เป็นภารกิจของพวกเราครับ

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ :
ทุกท่านครับเรารู้ว่าสว. ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ยังมีความสำคัญมากขนาดไหนนะครับ และถ้าเราไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับกระบวนการเลือกสว. ชุดต่อไปในปี 2567 มันจะกลายเป็นพื้นที่ของคนกลุ่มเล็กๆ เฉพาะคนที่มีอำนาจ มีเครือข่าย มีเวลา มีเงิน มีทรัพยากร เราไม่ได้อยากเห็นแบบนั้น เราอยากเห็นสว. ชุดต่อไปมาจากประชาชน มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนมากที่สุด สิ่งที่ทุกท่านทำได้คือไปสมัครครับผม สมัครเข้าร่วมกระบวนการ สมัครเพื่อจะเป็นสว. เองก็ได้หรืออย่างน้อยสมัครเพื่อท่านจะได้มีสิทธิ์ออกเสียงโหวตก็ได้ หรือสมัครเพื่อท่านจะได้ไปนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วไปจับตากระบวนการว่ามันถูกต้องโปร่งใสสุจริตเป็นธรรมหรือไม่อย่างไรก็สำคัญไม่แพ้กัน

หลายปีที่ผ่านมากระบวนการประชาธิปไตยฝากความหวังไว้มากกับคนรุ่นใหม่กับน้องๆ นักเรียน นิสิตนักศึกษาว่าจะโตมาเป็นกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศและประชาธิปไตยต่อไป แต่สำหรับสนามสำคัญในปี 2567 เราฝากความหวังกับน้องๆ ได้ไม่มากเพราะว่าถ้าอายุไม่ถึงสมัครไม่ได้ ปี 2567 จึงเป็นปีสำคัญที่พี่ๆ อาๆ น้าๆ ลุงๆ ป้าๆ พ่อๆ แม่ๆ ต้องทำภารกิจนี้คือการสมัครเข้าไปโหวตแล้วเลือกคนที่จะเดินหน้าประชาธิปไตยเดินหน้าประเทศต่อไปให้เป็นของประชาชนได้ครับ

ผู้สัมภาษณ์ : เขมภัทร ทฤษฎิคุณ

วันที่ 11 เมษายน 2567

ณ อาคาร All Rise

โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (Ilaw)

[:]