Field Trip with อ.แล

วันนี้ได้มีโอกาสไปเดินลงพื้นที่กับศาสตราภิชาน แล ดิลกวิทยรัตน์ ในย่านเยาวราช-สำเพ็ง-ราชวงศ์ การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนวิชาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยของหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จุดเริ่มต้นในการเดินครั้งนี้ อ.แล มีความตั้งใจที่อยากจะให้เห็นพื้นที่พร้อมๆ กับย้อนทำความเข้าใจการก่อตัวของพื้นที่สำคัญของการก่อตัวทุนนิยมกรุงเทพ ซึ่งพื้นที่นี้ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อมาในอีกหลายๆ ปีในฐานะย่านการค้าสำคัญ รวมถึงยังเป็นพื้นที่สำคัญในทางการเมืองหลายๆ เรื่อง

จุดเริ่มต้นของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้เริ่มจากซอยแปลงนามที่เชื่อมระหว่างถนน (ตรอกป่าช้าหมาเน่า) ที่เชื่อมระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนเยาวราช ก่อนจะเดินออกจากซอยแปลงนามเลาะไปตามถนนเจริญกรุงจนมาถึงแยกเสือป่าตามเส้นทางนี้จะเห็นสถานที่สำคัญคือ วัดเล่งเน่ยยี่หรือวัดมังกรกมลาวาสแล้วจึงข้ามถนนกลับมาเพื่อเดินเลาะไปตามถนนราชวงศ์แล้วจึงมาหยุดที่หมายแรกของการเดินลงพื้นที่ในครั้งนี้คือ วัดโผ เพื๊อก (จั่วโผเพื๊อก) หรือพระราชทานนาม วัดกุศลสมาคร

วัดกุศลสมาครเป็นวัดพุทธมหายานฝ่ายอันนัมนิกายหรือญวนนิกาย ในส่วนนี้ อ.แล ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ส่วนใหญ่คนมักเข้าใจว่าเยาวราชเป็นชุมชนคนจีน แต่หากพิจารณาแล้วในพื้นที่เรียกว่า เยาวราชมีวัดจีนใหญ่เพียงแค่ 1 แห่งเท่านั้นคือ วัดเล่งเน่ยยี่เท่านั้น (จริงๆ มีวัดจีนขนาดเล็กอีกวัดคือ วัดย่งฮกยี่) แต่กลับมีวัดญวนถึง 3 แห่ง คือ วัดโผ เพื๊อก วัดตื้อเต๊ (จั่วตื้อเต๊) และวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะว่า เยาวราชเดิมไม่ใช่แค่ย่านที่คนจีนอยู่ แต่เป็นย่านที่มีทั้งคนญวณและคนจีนอยู่ด้วยกัน

การเข้ามาอยู่ของคนญวณและคนจีนในพื้นที่เริ่มต้นมาจากการสร้างพระบรมมหาราชวัง ซึ่งฝั่งขวาของพระราชวังเดิมฝั่งธนบุรีเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนคนจีนและญวณ โดยคนญวณอาศัยอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่า ท่าเตียน ซึ่งก็เป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งว่ามาจากชื่อเมืองห่าเตียน (พุทไทมาศ) ซึ่งคนญวณได้อพยพมาอยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งเคยเป็นที่พักของพระยาราชาเศรษฐี ญวน (ม่อซื่อหลิน) หรือหมักเทียนตื๊อ ก่อนที่ต่อมาจะมีการโยกย้านคนจีนและคนญวนมาอยู่ในพื้นที่เยาวราช-สำเพ็ง

วัดโผเพื๊อกเป็นหนึ่งในวัดเก่าและเป็นวัดเริ่มต้นของคณะสงฆ์อันนัมนิกายในประเทศไทย โดยวัดอันนัมนิกายแห่งแรงในประเทศไทยตั้งอยู่ตรงพื้นที่ตลาดน้อยมีชื่อว่า วัดคั้นเยิง (จั่วคั้นเยิง) หรือพระราชทานนาม วัดอุภัยราชบำรุง หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อวัดญวนตลาดน้อย

อ.แล ได้เล่าให้ฟังว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นวัดอันนัมนิกาย แต่คนที่มาทำบุญส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเป็นวัดพุทธมหายานเหมือนกัน และอีกส่วนหนึ่งก็คือ เจ้าคณะอันนัมนิกายในยุคหลังๆ ไม่ใช่คนญวนที่เดินทางมาจากเวียดนามอีกแล้วแต่เป็นลูกหลานคนญวนหรือคนจีนที่บวชเรียนในประเทศไทย ส่วนหนึ่งก็เพราะภายหลังจากสงครามอันนามสยามยุทธในช่วงปลายรัชกาลที่ 2 ถึงรัชกาลที่ 3 ทำให้คนญวนเข้ามาในน้อยลง

แม้ว่าจะเป็นวัดของอันนัมนิกาย แต่ก็เป็นวัดพุทธมหายานลักษณะพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ภายในวัดก็ไม่ได้แตกต่างจากวัดพุทธมหายานอื่นมากเท่าใด จุดที่อาจจะแตกต่างกันบ้างคือ วัดการวางพระพุทธรูปแบบวัดพุทธมหายานส่วนใหญ่ เช่น วัดเล่งเน่ยยี่ที่มีพระพุทธรูปสามองค์เรียงกันคือ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศรีศากยมุนีพุทธะ และพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต แต่วัดโผเฟื๊อกมีพระพุทธรูปประธานเพียงแค่องค์เดียว

ความน่าสนใจของวัดอันนัมนิกายก็คือ วัดมักจะมีชื่อเขียนด้วย 3 ภาษาคือ ภาษาจีนโดยใช้ตัวอักษรจีนฮั่น ภาษาเวียนดนาม (จื๋อโกว๊กหงือ) และภาษาไทย ซึ่งเป็นนามพระราชทานที่แปลมาจากภาษาจีนและภาษาเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากมีการตั้งสมณศักดิ์ให้กับพระจีนนิกายและอันนัมนิกายในสมัยรัชกาลที่ 5 (โดยก่อนหน้านี้ การดูแลพระสงฆ์ทั้งสองนิกายอยู่ภายใต้กรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา) แม้ในสมัยรัชกาลที่ 4 จะมีการให้พระทั้งสองนิกายเข้าร่วมพิธีสงฆ์ในราชสำนัก

หลังจากเดินออกจากวัดโผเฟื๊อกแล้วคณะของเราได้เดินต่อไปตามถนนราชวงศ์ โดยสองข้างทางนี้ถูกเรียกว่าเป็นย่านย่อยว่า สำเพ็ง ก่อนเลี้ยวเข้าซอยผลิตผลหรือซอยซุนยัดเซ็น ความสำคัญของซอยนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย 2 เรื่องคือ เรื่องแรกคือ ซอยนี้ถูกจดจำในฐานะเป็นที่ๆ ซุนยัดเซ็นมาระดมทุนตอนมาประเทศไทยเพื่อไปนำไปใช้ในการปฏิวัติซินไฮ่ (แม้ว่า อ.แล จะบอกว่า ภาพตอนซุนยัดเซ็นมาระดมทุนจะเป็นภาพตอนอยู่ริมถนนเยาวราชก็ตาม) และเรื่องที่สองคือ ซอยนี้เป็นที่ตั้งของวัดตื้อเต๊ หรือพระราชทานนาม วัดโลกานุเคราะห์

วัดตื้อเต๊ มีความสำคัญต่อการเมืองไทยพอๆ กับเรื่องเล่าที่ว่า ซุนยัดเซ็นเคยมาระดมทุนที่เยาวราช เนื่องจากวัดนี้เป็นวัดที่เมื่อโฮจิมินห์เดินทางมาประเทศไทยเพื่อมาก่อตั้งขบวนการคอมมิวนิสต์ และได้มาเจอเจ้าอาวาสวัดตื้อเต๊ก่อนจะเดินทางไปสมทบกับกลุ่มจัดตั้งที่จังหวัดพิจิตร การเดินทางมาที่วัดนี้ของโฮจิมินห์ป็นการมาพบปะกับสหายผู้รักชาติ และเป็นแกนนำที่ติดต่อสื่อสารกับคนเวียดนามในประเทศไทย

วัดตื้อเต๊ในปัจจุบันพื้นที่บางส่วนถูกนไปใช้เป็นพื้นที่เก็บของร้านค้าด้วย ตอนเดินดูในวัดจึงมีทั้งหลวงจีนและผู้ค้าต่างๆ เดินสวนกันไปมา

หลังจากเดินออกจากวัดตื้อเต๊แล้ว อ.แล ได้นำพวกเราเดินไปตามถนนราชวงศ์ต่อ เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ท่าน้ำราชวงศ์ ตลอดสองข้างทางถนนราชวงศ์คือ ย่านสำเพ็ง ซึ่งปัจจุบันเป็นย่านขายสินค้าปลีก-ส่ง แต่ก็ยังคงมีธุรกิจสำคัญๆ ที่เติบโตมาจากย่านนี้ เช่น บริษัท ยูไนเต็ด ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ UFM และบริษัท ศรีกรุงวัฒนา จำกัด ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าเหล็ก เป็นต้น

ก่อนจะเกินต่อไปจนถึงท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนคณะเรานั่งพักดื่มชากาแฟแถวนั้น พลางอธิบายเกี่ยวกับความแตกระหว่างคนจีนกับญวนในประเทศไทย สิ่งสำคัญที่แตกต่างระหว่างคนจีนกับญวนก็คือ วัฒนธรรม คนจีนยังคงรักษาแบบแผนของวัฒนธรรมไว้ ตรงกันข้ามกับคนญวน ซึ่งถูกกลืนและปรับเปลี่ยนไปกับคนไทยทั่วๆ ไป เช่นเดียวกันกับเชื้อชาติอื่นๆ ส่วนคนจีนยังคงรักษาวัฒนธรรมไว้ได้ แต่เป็นการรักษาไว้ในเชิงรูปแบบ แม้ว่าจะใช้ภาษาและคำเรียกในลักษณะเดิม แต่ความคิดและความรู้สึกนั้นแตกต่างออกไปแล้ว

ที่ท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้ชวนให้เราจินตนาการนึกภาพอดีตของแม่น้ำเจ้าพระยาในฐานะเป็นท่าเรือการค้า การทำการค้าทางไกลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนตั้งกรุงเทพ แต่ภายหลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น การนำเข้าแรงงานคนจีนเพื่อมาทำงานเป็นกุลี-จับกังในการแบกหามสินค้าหรือเข็นสินค้าไปตามห้างร้านต่างๆ หรือที่ในบริเวณนั้นเรียกว่า กงซีล่ง (โกดังเก็บสินค้าของบริษัท, ห้าง, ร้าน) ตรงถนนทรงวาด

อ.แล ได้อธิบายลักษณะสำคัญของทุนนิยมคือ การขูดรีดแรงงาน เพื่อเอาส่วนเกินมาสร้างเป็นผลกำไร สิ่งนี้จึงทำให้แรงงานต้องทำงานและพักพิงอยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ทำงานเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง แต่สภาพความเป็นอยู่ของแรงงานแถวนั้นไม่ค่อยมีคุณภาพ รวมถึงพื้นที่มีความหนาแน่น ทำให้แรงงานจีนมักจะเสียชีวิตจากโรคติดต่อ แบบวัณโรค

การค้าทางไกลของไทยในอดีตอยู่ภายใต้กรมพระคลัง โดยแบ่งออกเป็นกรมท่าซ้ายและกรมท่าขวา (หันหน้าออกสู่ปากน้ำ) กรมท่าซ้ายจะทำการค้ากับประเทศจีน เวียดนาม และโอกินาวา (ริวกิว) โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี ส่วนกรมท่าขวาจะทำการค้ากับหัวเมืองมลายู อินเดีย อิหร่าน และยุโรป อยู่ภายใต้การดูแลของพระจุฬาราชมนตรี ซึ่งเกี่ยวพันกับตระกูลบุนนาค

ตำแหน่งพระยาโชฎึกราชเศรษฐีนี้ โดยส่วนใหญ่ผู้ดำรงตำแหน่งจะเป็นคนจีน ทำให้ในเวลาต่อมาเมื่อคนจีนเหล่านี้เข้ามารับราชการและได้รับพระราชทานนามสกุลจึงพยายามนำชื่อตำแหน่งไปใช้ในนามสกุล อาทิ โชติกเสถียร โชติกสถิตย์ โชติกวาณิชย์

ตรงข้ามกับท่าน้ำราชวงศ์เยื้องๆ กันจะเห็นล้ง 1919 ซึ่งอยู่ข้างๆ กับบ้านตระกูลหวั่งหลี ซึ่งเป็นตระกูลนักธุรกิจที่มีความสำคัญของประเทศไทยในช่วงหนึ่ง ตัวอาคารล้ง 1919 เดิมเป็นพื้นที่เรียกว่า ฮวย จุ่ง ล้ง ซึ่งเป็นตึกแถวที่ทำขึ้นมาในผังรูปตัว U เพื่อใช้เป็นที่พักของคนงาน

เยื้องๆ ไปทางฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางสะพานพุทธ (สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) เป็นย่าน (กุฎีจีน) ของชุมชนคนโปรตุเกส โดยมีโบสถ์ซางตาครู้สเป็นศูนย์กลาง แม้ว่าต่อมาคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นจะกลายเป็นคนจีนส่วนใหญ่ก็ตาม (ส่วนตรงข้ามของโบสถ์ซางตาครู้สก็คือ โบสถ์กาลหว่าร์หรือโบสถ์แม่พระลูกประคำ ซึ่งเป็นพวกโปรตุเกสและญวนอพยพจากอยุธยาที่นับถือคริสตศาสนา และไม่ยอมรับอำนาจมิสซังโปรตุเกสที่มาภายหลัง) นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เล่าเกร็ดการมูเตลูเกี่ยวกับสะพานพุทธกับดวงเมืองให้ฟัง

เมื่อเดินย้อนกลับจากท่าน้ำราชวงศ์ อ.แล ได้พาพวกเราเดินย้อนกลับไปทางถนนทรงวาด ซึ่งมีที่มาจากการที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขีดเส้นวาดถนนลงบนแผนที่เพื่อลดความแออัดของพื้นที่ในย่านสำเพ็งหลังจากเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่

ที่หัวมุมของถนนทรงวาดมีตึกเก่าที่เรียกว่า ตึกแขก ซึ่งอาคารเป็นศิลปะแบบชิโนโปรตุกีสหรือสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ซึ่งเป็นลักษณะอาคารที่มีความนิยมทำในช่วงรัชกาลที่ 5 ต่อจนถึงช่วงปลายรัชกาลที่ 6 โดยอาศัยลักษณะนี้มักจะเป็นงานก่อสร้างของคหบดีที่มั่งคั่งในยุคนั้น

ถนนทรงวาดมีความสำคัญในฐานะพื้นที่ตั้งของกงซีล่ง ซึ่งเป็นลักษณะของโกดังร้านค้าต่างๆ ที่เมื่อมีการนำสินค้าขึ้นมาจากเรือแล้วจะมีการนำมาส่งตามร้านต่างๆ เพื่อขาย ปัจจุบันร้านค้าในลักษณะนี้ยังมีอยู่ แต่สินค้าที่ขายโดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสินค้าเกษตรกรรม แม้ว่าย่านนี้จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างโดยเป็นย่านท่องเที่ยวที่เริ่มพัฒนาใหม่

นอกจากห้างร้านแล้ว ถนนทรงวาดยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โรงเรียนเผ่ยอิง ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2459 โดยพ่อค้าชาวจีนคนสำคัญ 5 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ พระอนุวัติราชนิยม (ฮง เตชะวณิช) หรือ ยี่กอฮง (แต้หงี่ฮง) ซึ่งเป็นคหบดีผู้มั่งคั่งจากกิจการโรงบ่อน (ต่อมายี่กอฮงยังได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการพนันและโชคลาภ โดยมีศาลเจ้าอยู่บนสถานีตำรวจพลับพลาชัย)

โรงเรียนเผยอิงนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า โรงเรียนผลิตเจ้าสัว เนื่องจากศิษย์เก่าหลายคนที่จบจากโรงเรียนนี้เป็นเจ้าสัวคนสำคัญ อาทิ คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ ผู้ก่อตั้งธนาคารศรีนคร คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทย เบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คุณอนันต์ อัศวโภคิน ประธานและกรรมการผู้จัดการ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ คุณเทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) และคุณธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น

ในพื้นที่เดียวกันกับโรงเรียนเผยอิงยังมีศาลเจ้าเล่าปูนเถ้ากงอีกด้วย อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่เยาวราชนี้มีวัดจีนไม่กี่แห่ง แต่มีศาลเจ้าค่อนข้างเยอะ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนจีนส่วนใหญ่นับถือขงจื๊อมากกว่า นอกจากนี้ อ.แล ยังได้เสริมว่า คนจีนนั้นนับถือปูนเถ้ากงมากก็จริง แต่ยังน้อยกว่าซำปอกงหรือเจิ้งเหอ เพราะในแง่หนึ่งคนจีนโพ้นทะเลมองว่าเจิ้งเหอมีความเก่งกาดสามารถนำขบวนยุทธนาวีขนาดใหญ่เดินทางข้ามผ่านหลายทวีปได้ ดังจะเห็นได้ว่ามีศาลเจ้าบูชาซำปอกองหลายที่ แต่ที่สำคัญก็คือที่วัดพนัญเชิง และวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยมีการเข้ามาประเมินและให้มาตรฐานกับศาลเจ้าว่าเป็นศาลเจ้ามาตรฐาน หน้าที่นี้เป็นไปตามกฎเสนาบดีว่าด้วยกุศลสถานศาลเจ้า ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยดูแล

ข้างๆ โรงเรียนเผยอิงเป็นที่ตั้งของตรอกโรงโคม ซึ่งคำว่า โรงโคมนี้มีที่มาจากโคมเขียวหรือก็คือซ่องโสเภณี สิ่งนี้สะท้อนว่าย่านเยาวราช-สำเพ็งเป็นย่านกิจกรรมด้านความบันเทิง เพราะเป็นแหล่งรวมทั้งบ่อนการพนันและที่ค้าประเวณี

ถัดจากโรงเรียนเผยอิงมาจะพบกับมัสยิดหลวงโกชาอิศหาก ซึ่งตั้งขึ้นตามชื่อหลวงโกชาอิศหาก (เกิด บินอับดุลลาห์) ขุนนางมุสลิมเชื้อสายมลายู ความน่าสนใจของมัสยิดดังกล่าวคือ เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่กลางชุมชนคนจีนและญวน อ.แล ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า หลวงโกชาอิศหากนี้ทำงานเป็นล่ามแปลภาษาในกรมท่าขวา โดยทำหน้าที่แปลภาษาโปรตุเกสเป็นภาษามลายูแล้วค่อยแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งสะท้อนภาพของภาษาต่างประเทศที่ใช้ทำการค้ากับตะวันตกก่อนการเข้ามามีบทบาทของภาษาอังกฤษ ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง

ด้านหน้าของมัสยิดฝั่งที่ติดกับถนนทรงวาดนั้นเป็นตึกแถวเรียงติดกัน อ.แล เล่าให้ฟังว่าเดิมทางเข้านั้นเข้าจากอีกฝั่งหนึ่ง จนต่อมามีการตัดถนนทรงวาดจึงมีการทะลุตึกแถวเดิมออกหนึ่งห้องเพื่อทำทางเข้ามัสยิด ส่วนทางเข้าเดิมในปัจจุบันเป็นกุโบร์หรือสุสาน

เดินต่อเนื่องมาตามถนนทรงวาดเรื่อยๆ จะเจอกับตรอกสะพานญวน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ในย่านนี้เป็นย่านที่เคยมีคนญวนอาศัยอยู่เยอะเช่นกัน แม้ว่าในปัจจุบันเมื่อมองไปแล้วจะไม่เห็นสะพานแล้วก็ตาม

อีกหนึ่งจุดสำคัญของถนนทรงวาดคือ ถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของบริษัท เจียไต๋ จํากัด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรเครือเจริญโภคภัณฑ์ในเวลาต่อมา เดิมกิจกรรมของบริษัท เจียไต๋ จำกัด ก็เหมือนกับกงซีล่งอื่นๆ แถวนี้คือ เป็นร้านค้าขายสินค้าการเกษตรก่อนจะขยายตัวออกไปทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและการเกษตรอื่นๆ ในเวลาต่อมา

นอกจากบริษัท เจียไต๋ จำกัดแล้วแถวนั้นยังเป็นที่ตั้งของวัดเกาะหรือวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ซึ่งเป็นวัดเก่าสำคัญในย่านนี้ และแถวๆ นี้ยังมีที่ตั้งของโรงพิมพ์วัดเกาะ ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ราษฎรแรกๆ ที่ผลิตหนังสือวรรณกรรมภาษาไทยฉบับราษฎร

เมื่อเดินออกมาจากถนนทรงวาดก็จะย้อนกลับมาจนถึงถนนเยาวราช ซึ่งหัวมุมของถนนจะเห็นสถานที่เคยเป็นโรงหนังเฉลิมบุรี ซึ่งเคยเป็นโรงหนังที่สร้างขึ้นไล่เลี่ยกับโรงหนังเฉลิมกรุง (ปัจจุบันโรงหนังเฉลิมกรุงยังอยู่) เยาวราชเริ่มเป็นย่านที่มีร้านอาหารแบบที่พอจะเห็นเค้าในปัจจุบันก็เมื่อกรุงเทพมีชีวิตกลางคืนเกิดขึ้น

การมาถึงของไฟฟ้าและความบันเทิงยามกลางคืนได้ทำให้เยาวราชกลายเป็นย่านสำคัญของชีวิตกลางคืน ร้านอาหารต่างๆ อาทิ สีฟ้าภัตราคาร และหยาดฟ้าภัตราคาร (ห้อยเทียนเหลา) ก็เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ อ.แล เล่าว่ายังเด็กร้านอาหารพวกนี้เริ่มมีมากขึ้นและส่วนใหญ่คนที่มาทานอาหารจะเป็นพวกผู้ดี ข้าราชการ และนายทหารและตำรวจ ที่มากินกัน และส่วนใหญ่อาหารที่เสิร์ฟก็จะเป็นจานเล็กๆ เพราะเขาอยากให้กินหลากหลาย

การเดินลงพื้นที่ของเรามาจบลงที่ถนนแปลงนาม ตรงวัดโห่ยคั้น (จั่วโห่ยคั้น) หรือพระราชทานนาม วัดมงคลสมาคม หรือเรียกกันว่า วัดญวนซอยแปลงนาม ซึ่งเป็นวัดญวนเก่าแก่ และอาจจะเรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุด เพราะเดิมวัดนี้เคยตั้งอยู่ตรงถนนพาหุรัด ซึ่งเมื่อมีพระประสงค์จะสร้างถนนเป็นเส้นทางคมนาคมสมัยใหม่จึงทรงพระกรุณาพระราชทานที่ดินและทรัพย์สินเพื่อสร้างวัดขึ้นใหม่ วัดโห่ยคั้นเป็นวัดขนาดเล็กค่อนข้างเงียบๆ ปัจจุบันวัดนี้เป็นที่รู้จักในฐานะที่จอดรถและที่ขายขนมจีบลูกละบาทของแป๊ะเซี๊ยะ

นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย ภายใต้อุดมการณ์ชาตินิยมและความมั่นคง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ประชาธิปไตยต้องการทั้งนิติรัฐและนิติธรรมที่เป็นเสมือนเสาหลักค้ำยันซึ่งกันและกัน เพื่อการรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำกัดอำนาจรัฐ และยึดถือประโยชน์มหาชนเป็นใหญ่

ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นิติรัฐนิติและนิติธรรมไทยได้พัฒนาขึ้นเป็นรัฐชาติแบบสัญชาติไทย ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การล่าอาณานิคม และการปรับสังคมไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลกภายใต้การนำของสถาบันกษัตริย์ แต่รัฐชาติ (nation state) แบบใหม่ ดังเช่นแบบชาติตะวันตก กลับให้อำนาจไว้ที่ส่วนกลางคือ กรุงเทพฯ ผิดจากอดีตที่กระจายอยู่รอบนอก

ในบทความนี้จึงจะมาทำความเข้าใจพัฒนาการของนิติรัฐนิติธรรมภายใต้อุดมการณ์แบบไทยบางประการ ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากนิติรัฐนิติธรรมสากล

นิติรัฐ (Legal state) และนิติธรรม (Rule of law)[1] เป็นถ้อยคำทางเทคนิค (Technical term)

ทางนิติศาสตร์ในฐานะหลักการหรือระบอบการปกครองซึ่งเรียกให้การใช้อำนาจของรัฐจะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายและความยุติธรรม กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐตลอดจนบุคคลที่ได้รับมอบหมายอำนาจรัฐจะต้องผูกพันตนกับกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย ภายใต้หลักประกันการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง[2]

ทั้งนี้ หลักการดังกล่าวนี้เป็นหัวใจสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยถึงขนาดกล่าวได้ว่า “การไม่มีประชาธิปไตย ไม่มีนิติรัฐนิติธรรม” ฉันใดฉันนั้น “การไม่มีนิติรัฐนิติธรรม ก็ไม่มีประชาธิปไตย” เพราะประชาธิปไตยและนิติรัฐนิติธรรมต่างเป็นเสมือนเสาหลักค้ำยันซึ่งกันและกันหากมีเสาต้นใดหักโค่นลงไป เสาอีกต้นหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะดำรงคงอยู่ด้วยตัวของมันเองได้ วัตถุประสงค์หลักที่ถูกต้องตรงกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐนิติธรรมคือ การรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยการเข้าไปจำกัดอำนาจรัฐ ยึดถือประโยชน์มหาชนเป็นใหญ่[3]

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 หลักนิติรัฐนิติธรรมถูกพูดถึงมากขึ้นในสังคมไทยโดยนักกฎหมาย นักการเมือง ตลอดจนนักวิชาการและผู้สนใจด้านรัฐธรรมนูญในฐานะอุดมคติของหลักการแห่งการปกครองที่ดีและพึงปรารถนา[4] ความสำคัญของนิติรัฐนิติธรรมได้รับการยอมรับถึงที่สุดเมื่อหลักการดังกล่าวถูกนำมาบัญญัติเอาไว้ถาวรในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ว่า

“…การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม[5]

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลักการนิติธรรมปรากฏในรัฐธรรมนูญไทย ก่อนหน้านี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ได้มีการระบุถึงคำว่า “นิติธรรม (นิติรัฐ)” เอาไว้ในเช่นกันในอารัมภบทของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นบันทึกเจตนารมณ์ของการยกร่างและสถานการณ์ของสังคมในเวลานั้นความว่า

“แม้หลายภาคส่วนจะได้ใช้ความพยายามแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าวแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล กลับมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนถึงขั้นเข้าปะทะกันซึ่งอาจมีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ นับว่าเป็นภยันตรายใหญ่หลวงต่อระบอบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของประเทศ จำเป็นต้องกำหนดกลไกทางปกครองที่เหมาะสมแก่สถานการณ์เพื่อใช้ไปพลางก่อน โดยคำนึงถึงหลักนิติธรรมตามประเพณีการปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

อารัมภบทดังกล่าวนั้นดูเหมือนจะมีความย้อนแย้งบางประการที่น่าสนใจ กล่าวคือ นิติรัฐนิติธรรมในอารัมภบทดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเหตุในการอธิบายถึงความจำเป็นของการรัฐประหารในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2549 และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาองค์กรที่ควรจะต้องทำหน้าที่พิทักษ์นิติรัฐนิติธรรมแบบศาลรัฐธรรมนูญ[6] กลับละเลยต่อการรักษานิติรัฐนิติธรรม แต่กลับมุ่งใช้อำนาจที่ได้รับตามรัฐธรรมนูญในการเป็นปรปักษ์กับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมถึงตีความกฎหมายอำเภอใจและทำให้ผลทางกฎหมายคาดเคลื่อนไป

ดังนี้ การที่นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติในไทยถูกใช้เป็นเหตุอ้างในการรัฐประหาร และการที่องค์กรพิทักษ์รักษานิติรัฐนิติธรรมกลายมาเป็นผู้มุ่งทำลายนิติรัฐนิติธรรมเสียเองสิ่งนี้มีความน่าสนใจ และควรค่าแก่การศึกษาถึงบริบทของนิติรัฐนิติธรรมในไทยที่แตกต่างจากบริบทสากลที่กล่าวมาข้างต้น โดยในกรณีนี้ผู้เขียนจะขอเล่าถึงกรณีศึกษาของการออกกฎหมายฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า พระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491

บทความนี้จะเริ่มต้นจากการอธิบายประเด็นเรื่องความชอบธรรมแห่งนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยก่อนเพื่อให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจบริบทของคุณค่าในความชอบธรรมของนิติรัฐนิติธรรมไทย ก่อนจะต่อด้วยการอธิบายเรื่องการยอมรับให้ออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อวัตถุประสงค์ของความมั่นคงของชาติ และกลับมาที่สภาพปัจจุบันคือ การสืบสาน (รักษา) และต่อยอดนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย

ความชอบธรรมแห่งนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย

ภายหลังจากการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เจตนารมณ์ของคณะราษฎรในครั้งนั้นคือ ต้องการให้เกิดสิทธิเสมอกันและให้ราษฎรทุกคนมีเสรีภาพที่มีความเป็นอิสระ[7] โดยให้รัฐธรรมนูญเป็นที่มาและกรอบของการใช้อำนาจของรัฐในการปกครองประเทศ[8]

ในลักษณะเสมือนว่าประเทศไทยได้มีการสถาปนาหลักนิติรัฐนิติธรรมขึ้นในประเทศไทย โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ  อย่างไรก็ดี รัฐไทยไม่ได้เป็นเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2475 พร้อมๆ กันกับการสถาปนาการปกครองแบบใหม่โดยคณะราษฎร แต่มีความเป็นมาก่อนหน้านั้น กล่าวเฉพาะในช่วงเวลาของการปกครองภายใต้ราชวงศ์จักรีคือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2325

ตลอดช่วงระยะเวลา 150 ปี ประเทศไทย (สยามในขณะนั้น) เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมโดยตรงของประเทศตะวันตก แต่ความผูกพันตามสนธิสัญญาเบาว์ริงนั้นก็ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะกึ่งอาณานิคม กล่าวคือ ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการปกครองและเศรษฐกิจเพื่อให้ตอบสนองต่อการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

การปรับตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมโลกดำเนินการไปภายใต้การนำของสถาบันกษัตริย์นี้ อำนาจส่วนใหญ่ตกอยู่กับชนชั้นนำไทยคือ สถาบันกษัตริย์ คณะสงฆ์ และระบบราชการที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในส่วนของกองทัพและข้าราชการพลเรือน[9] โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการฝ่ายปกครอง ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานของรัฐชาติ (Nation state) ใหม่แบบชาติตะวันตกที่มีการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางคือ กรุงเทพฯ แตกต่างจากในอดีตที่อำนาจกระจายอยู่รอบนอก[10] ที่เมื่อยิ่งห่างไกลจากกรุงเทพฯ อำนาจของรัฐกรุงเทพฯ ก็จะเบาบางลง ประเทศราชและหัวเมืองชั้นนอกมีอิสรภาพในการปกครองตนเอง[11]

อย่างไรก็ดี ชนชั้นนำไทยไม่ได้ดำเนินการตามแบบตะวันตกทุกประการ ในทางตรงกันข้ามชนชั้นนำมีแนวทางที่เลือกรับเลือกทำตามแบบอย่างตะวันตก โดยชนชั้นนำสยามมีแนวโน้มจะแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน ระหว่างวัตถุกับจิตวิญญาณ ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของขุนนางและปราชญ์คนสำคัญของประเทศไทยคือ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ซึ่งได้เขียนหนังสือแสดงกิจจานุกิจขึ้นในปี พ.ศ. 2410 โดยหนังสือเล่มนี้ได้ยอมรับความรู้วิทยาศาสตร์ที่รับมาจากมิชชันนารีชาวตะวันตกที่เผยแพร่ในสยาม แต่ก็มีการแสดงความเห็นโต้แย้งปรัชญาของศาสนาคริสต์ และอธิบายความเหนือกว่าของพระพุทธศาสนาในการเชิงปรัชญาทางศาสนา ทำให้เกิดการแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วนคือ ทางโลกและทางธรรมหรือจิตใจ โดยความรู้แบบตะวันตกเป็นความรู้ทางโลก วิทยาการและวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกช่วยให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ความรู้แบบพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทยเป็นความรู้ทางธรรมที่ตอบสนองต่อความหมายและคุณค่าของชีวิตได้มากกว่าในฐานะของกรอบทางศีลธรรม ซึ่งอยู่เหนือกว่าเรื่องทางโลก[12]

ไม่เพียงแต่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์เท่านั้นที่คิดเช่นนี้ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีความคิดเห็นไปในลักษณะเดียวกัน ดังปรากฏตามพระราชดำรัสที่มีไปถึงนักเรียนไทยที่ได้ไปศึกษาในต่างประเทศว่า

“ให้พึงนึกในใจว่าเราไม่ได้มาเรียนจะเปนฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะมาเปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง[13]

พระราชดำรัสดังกล่าวแสดงให้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีทรรศนะที่แบ่งความรู้ออกเป็น 2 ส่วนคือ ความรู้แบบตะวันตก และความรู้แบบไทย และการทรงเน้นย้ำว่า การเป็นคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง จึงเป็นการสะท้อนว่า ความเป็นไทยนั้นดีกว่าและอยู่เหนือกว่าความเป็นฝรั่งเพียงแต่คนไทยจะต้องเรียนรู้ความรู้ของตะวันตกที่เป็นความก้าวหน้าภายนอกเพื่อมาปรับใช้

ดังนี้ ทรรศนะว่าความเป็นแบบอย่างตะวันตกเป็นเรื่องในทางภายนอก ส่วนในเรื่องภายในจิตใจชนชั้นนำไทยกลับมาองว่า คุณค่าแบบไทยดั้งเดิมนั้นสูงส่งและดีงามกว่า ทำให้ยังคงลักษณะแบบแผนในเชิงวัฒนธรรมแบบเดิมเอาไว้เป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามแนวทางแบบตะวันตก โดยแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในหมู่ชนชั้นนำเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดไปสู่ระบบราชการที่สร้างขึ้นมาจากการปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย และตกทอดต่อมาถึงช่วงภายหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม

สภาพดังกล่าวนี้ทำให้เวลากล่าวอ้างความชอบธรรมในสังคมไทยนั้นชนชั้นในระบบราชการของไทยจึงมักกล่าวอ้างคุณค่าบางประการที่จากจารีตในระบอบการปกครองเดิมมาเป็นส่วนหนึ่งพร้อมๆ กับความชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ แนวคิดเรื่องความชอบธรรมของสามารถจำแนกได้เป็น 2 แนวทางคือ แนวคิดดั้งเดิมซึ่งพัฒนามาอย่างยาวนานพร้อมๆ กันการปกครองดั้งเดิมที่กลายมาเป็นรากฐานของสังคมไทย และแนวคิดสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งยังคงไม่ตั้งมั่นเพียงพอในสังคมไทย เพราะถูกขัดขวางด้วยกระบวนการรัฐประหารและกลุ่มชนชั้นนำไทยที่ต้องการรักษาอำนาจเอาไว้[14]

แนวคิดเรื่องความชอบธรรมแบบดั้งเดิมก็คือ แนวคิดเรื่องความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของความชอบธรรมดังกล่าวในฐานะตัวแทนของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งแนวคิดนี้ถูกอธิบายว่าเชื่อมโยงกับคุณค่าของความเป็นไทยบนวิถีคิดแบบพุทธศาสนาว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระมหาบุรุษผู้นำพามวลมนุษย์[15] ในขณะที่ความชอบธรรมใหม่ที่ถูกสถาปนาขึ้นมาคือ แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางและการสร้างกลไกการควบคุมอำนาจรัฐแบบหลักนิติรัฐนิติธรรมเพื่อป้องกันและคุ้มครองสิทธิของประชาชนจากการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวถูกรับมาในฐานะของความรู้จากตะวันตก[16]

ความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดนี้จึงทำให้กลายเป็นแนวคิดดั้งเดิมนี้เป็นแกนหลักของสังคมไทย ในขณะเดียวกันแนวคิดแบบประชาธิปไตยถูกใช้ในลักษณะเป็นเพียงแค่กรอบคิดหนึ่งๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อระงับหรือปิดปากและสร้างความชอบธรรมให้การกระทำใดๆ ที่ขับเคลื่อนแนวคิดแบบดั้งเดิม[17] สิ่งนี้คือต้นเค้าของแนวคิดที่เรียกว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ[18] ซึ่งกลายมาเป็นการสร้างระบบประชาธิปไตยเฉพาะบริบทของไทยที่ถูกอธิบายให้แตกต่างจากประชาธิปไตยสากล โดยพยายามขับเคลื่อนคุณค่าเก่ากับคุณค่าใหม่ไปด้วยกัน ในลักษณะที่คุณค่าเก่าถูกทำให้มีความสำคัญ และทำให้ยอมรับสถานะของประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์หรือเป็นเพียงแค่เปลือกที่ซ่อนรูปเผด็จการไว้ให้แนบเนียนเท่านั้น[19]

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับนิติรัฐนิติธรรมของประเทศไทยเช่นเดียวกัน สภาวะของนิติรัฐนิติธรรมที่ต้องโอบรับแนวคิดดั้งเดิมและคุณค่าเก่าเข้ามาทำให้เกิดการยอมรับนิติรัฐนิติธรรมที่ยอมรับว่า ความมั่นคงของชาติ (ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์) เป็นข้อยกเว้นใหญ่ของการคุ้มครองสิทธิของประชาชน สิ่งนี้นำไปสู่การเรียกของนักวิชาการว่า นิติรัฐอภิสิทธิ์-ราชนิติธรรม ดังจะกล่าวถึงต่อไป

การยอมรับให้ออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อวัตถุประสงค์ของความมั่นคงของชาติ

ดังกล่าวมาแล้วว่า หลักการของประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นนิติรัฐและนิติธรรมถือเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาและคุ้มครองระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคง ซึ่งรวมถึงการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ไม่ให้ถูกผู้ทรงอำนาจรัฐนำอำนาจดังกล่าวมาใช้ในการบีบคั้นหรือกลั่นแกล้ง

หนึ่งในหลักการย่อยที่สำคัญของหลักนิติรัฐและนิติธรรมก็คือ หลักการกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษกับบุคคล กล่าวคือ รัฐห้ามตรากฎหมายย้อนหลังไปเพื่อบังคับใช้เป็นโทษกับบุคคลทั้งในการลงโทษหรือจำกัดสิทธิที่บุคคลเคยมี ผลของหลักการนี้จึงเป็นการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากอำนาจรัฐ และผูกพันการใช้อำนาจรัฐไว้เฉพาะกับกฎหมายที่มีอยู่ในเวลานั้น อำนาจรัฐจึงมีความชอบธรรมที่จะนำไปบังคับใช้กับประชาชน[20] ดังนี้โดยหลักการแล้วรัฐบาลที่ปกครองโดยนิติรัฐนิติธรรมและเป็นประชาธิปไตยจึงไม่สามารถที่จะออกกฎหมายย้อนหลังมาลงโทษกับบุคคลได้

อย่างไรก็ดี ในกรณีของประเทศไทยนั้นแตกต่างออกไป นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยที่สร้างขึ้นมาในบริบทเฉพาะของสังคมไทยที่ยอมให้เกิดการละเมิดนิติรัฐนิติธรรมโดยทั่วไปได้ หากการละเมิดนิติรัฐนิติธรรมนั้นกระทำไปเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างของการออกกฎหมายมาให้มีผลย้อนหลังเป็นโทษกับประชาชนคือ กรณีของพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 ซึ่งเสนอโดยรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ ภายหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อใช้กับการขยายระยะเวลาคุมขังจำเลยในคดีปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล โดยให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอต่อศาลในการควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างที่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้นก็ให้ศาลมีอำนาจสั่งขังผู้ต้องหาหลายๆ ครั้งติดกันแต่ครั้งหนึ่งไม่เกิน 30 วัน และรวมกันไม่เกิน 180 วัน[21]

ผลของกฎหมายฉบับนี้คือ การขยายอำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องหา ซึ่งยังไม่ใช่บุคคลที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความผิด ให้ถูกคุมขังต่อไปเกินกว่าระยะเวลาปกติที่กฎหมายกำหนดไว้คือ 48 ชั่วโมง เว้นแต่ศาลจะร้องขอให้ศาลพิจารณาสั่งขัง ซึ่งอาจสั่งขังคราวหนึ่งไม่เกิน 15 วัน รวมกันไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งหากเกินระยะเวลา ดังกล่าวศาลต้องออกหมายปล่อยผู้ต้องหา[22] จึงเท่ากับเป็นการออกกฎหมายมาเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องหาและขัดต่อหลักการนิติรัฐนิติธรรม

ทั้งนี้ กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยเคยมีการตรากฎหมายให้มีผลย้อนหลังโดยมีผลเป็นโทษกับบุคคล ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้เคยมีการตราพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เพื่อมาดำเนินการจับกุมและฟ้องร้อง จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตผู้นำทางการทหารและการเมืองกับพวก ในข้อหาอาชญากรสงคราม[23] 

อย่างไรก็ดี ศาลยุติธรรมโดยศาลฎีกาทำหน้าที่ศาลอาชญากรสงครามได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 เฉพาะที่บัญญัติย้อนหลังให้การกระทำก่อนวันใช้กฎหมายเป็นความผิดนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ จอมพล ป. พิบูลสงครามกับพวก จึงได้รับการปล่อยตัวพ้นข้อหา[24] 

ดังนี้ หากสถาบันการเมืองไทยดำเนินการตามบรรทัดฐานในลักษณะเดียวก็ควรจะต้องหลีกเลี่ยงการตรากฎหมายฉบับนี้หรือทำให้พระราชบัญญัติฉบับนี้ตกเป็นโมฆะ แต่สถาบันการเมืองไทยกลับทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะในเชิงข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ การตรากฎหมายฉบับนี้เป็นไปสอดคล้องกับข้อยกเว้นสำคัญของนิติรัฐนิติธรรมไทยที่อนุญาตให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายกับกรณีของความมั่นคงของชาติ ซึ่งสะท้อนภาพของนิติรัฐอภิสิทธิ์-ราชนิติธรรม

นิติรัฐอภิสิทธิ์: ภายสะท้อนความไม่ลงหลักปักฐานของนิติรัฐที่แท้จริง

นิติรัฐอภิสิทธิ์เป็นคำที่ ธงชัย วินิจจะกูล นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของไทยหยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบาย สภาวะที่ระบบกฎหมายให้อภิสิทธิ์แก่รัฐใช้อำนาจละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและทรัพย์สินเอกชนได้ด้วยข้ออ้างเพื่อประโยชน์สาธารณะ[25] โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์สาธารณะนั้นคือความมั่นคงของชาติ

หากพิจารณาในชั้นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 ในพฤฒสภา (ขณะนั้นใช้วุฒิสภาแทนสภาผู้แทนราษฎร) จะพบว่าทรรศนะของรัฐบาลนั้นไม่ได้มีความสนใจต่อประเด็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องขังแต่อย่างใด ดังปรากฏตามคำชี้แจงของ พล.ท. หลวงสิงหนาดโยธารักษ์ (ชิต มั่นศิลป์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยความว่า

“…เมื่อรัฐบาลนี้ได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ได้ถือว่ากรณีนี้เป็นกรณีสำคัญซึ่งควรจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ จึ่งได้เร่งรัดทำการสอบสวน ทั้งทำการจับกุมคุมขังบุคคลที่อยู่ในข่ายสงสัยว่าสมคบกันลอบปลงพระชนม์และเริ่มดำเนินการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามลำดับ แต่โดยพฤติการณ์ในกรณีนี้ได้ถูกปล่อยปละละเลยมาแต่ต้นดังกล่าวแล้ว จึ่งเป็นการพ้นวิสัยที่พนักงานสอบสวนจะกระทำการสอบสวนให้เสร็จสิ้นได้ภายในกำหนดเวลาที่จะขังผู้ต้องหาไว้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะพฤติการณ์ณืเหล่านั้นกระทำให้เกิดความยุ่งยากและลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการสอบสวนเนิ่นนานไปกว่าปกติ จึ่งจะปิดสำนวนการสอบสวนได้ และในบัดนี้ กรณีก็ได้คลี่คลายกระจ่างขึ้นมาแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ รัฐบาลนี้จึงถือว่ากรณีนี้มีความสำคัญเป็นิย่างยิ่งในอันที่จะต้องดำเนินการสอบสวนให้ได้ความจริงโดยกระจ่างและให้ได้ตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามโทษานุโทษ เมื่อกรณีมีความสำคัญเป็นพิเศษเช่นนี้ ประกอบทั้งพฤติการณ์ที่เป็นมายุ่งยากลึกลับซับซ้อนเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนต้องตกอยู่ในฐานะที่จะต้องทำการสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับกรณีปกติไม่ได้ จึ่งจำต้องขอขยายเวลาขังผู้ต้องหาออกไปเป็นกรณีพิเศษฉะเพาะเรื่อง เพื่อให้ผลของคดีเป็นไปโดยสมบูรณ์…[26]”

ในทางตรงกันข้ามนักนิติศาสตร์คนสำคัญที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการประชุมแบบพฤฒสภา อาทิ พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ (สิทธิ จุณณานนท์) ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (อดีตอธิบดีกรมอัยการ เทียบอัยการสูงสุด และเคยเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) กลับไม่ได้แสดงความเห็นที่จะคัดค้านเรื่องนี้ในฐานะนักนิติศาสตร์ ทั้งๆ ที่การตรากฎหมายให้มีผลย้อนหลังเคยถูกพิจารณาโดยศาลฎีกาเมื่อปี พ.ศ. 2489

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐไทยยอมรับให้การยกเว้นกฎหมายเพื่อความมั่นคงแห่งชาติกลายมาเป็นอภิสิทธิ์มากกว่า รัฐสามารถที่จะงดใช้กฎหมายและกระบวนการตุลาการตามปกติได้หากสถานการณ์นั้นเป็นสถานการณ์พิเศษ โดยต้องเลือกความมั่นคงของชาติเหนือสิ่งอื่นใด[27]

ราชนิติธรรม: ภาพสะท้อนความบกพร่องขององค์กรตุลาการไทย

ในลักษณะเดียวกันกับนิติรัฐอภิสิทธิ์ องค์กรตุลาการไทยก็มีความบกพร่องในลักษณะเดียวกัน โดยอยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ‘ราชนิติธรรม’ ซึ่งเป็นคำที่ ธงชัย วินิจจะกูล หยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบาย สภาวะที่กษัตริย์เป็นหลักสูงสุดของกฎหมายและความยุติธรรม มิใช่รัฐธรรมนูญหรือรัฐสภาดังที่ถือกันเป็นบรรทัดฐานทางสากล[28]  ทั้งนี้ ด้วยสถาบันกษัตริย์ไทยเติบโตและมีความชอบธรรมผ่านการอธิบายบนพื้นฐานของพระพุทธศาสนา ธรรมะและศาสนาซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อความคิดที่ถ่ายทอดในวิธีคิดของวงการตุลาการไทย

บทบาทของผู้พิพากษาและตุลาการไทยจึงวางตัวไว้ในฐานะของผู้มีบทบาทในการชี้กรรม โดยไม่ถือว่าตนนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับโจทก์หรือจำเลย แต่พิจารณาว่าผู้กระทำความผิดพลาดนั้นได้สร้างบาปสร้างกรรมขึ้นเอง และต้องรับผลแห่งกรรมนั้นด้วยตัวเอง ผู้พิพากษาและตุลาการจึงเป็นคนชี้กรรมเท่านั้น[29] สิ่งนี้ทำให้ผู้พิพากษาหรือตุลาการไทยละเลยต่อเรื่องอื่นๆ หรือการคำนึงถึงคุณค่าของความยุติธรรมหรือการรักษาสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

นอกจากนี้ การที่สถาบันตุลาการที่เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแนบแน่นในฐานะผู้พิพากษาของพระเจ้าอยู่หัว ทำให้สถาบันตุลาการวางตัวว่าอยู่ข้างผู้มีอำนาจโดยตลอด กล่าวคือ สถาบันตุลาการไม่เคยปฏิเสธผลทางกฎหมายของการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต่างๆ อาทิ การรัฐประหาร[30]

ในคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้ ผู้พิพากษาองค์คณะในศาลฎีกาทั้งสามคนคือ พระยาธรรมบัณฑิตสิทธิ์ศฤงคาร (ธรรมบัณฑิต บุณยะปานะ, บุญจ๋วน บุญยะปานะ) พระนาถปรีชา (เอี่ยม นิติพน) และพระนนทปัญญา (โต มกรานนท์) ได้พิจารณาคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พ.ศ. 2491 เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ เช่นเดียวกันกับพระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พ.ศ. 2488 ศาลกลับวินิจฉัยว่า การที่พนักงานอัยการได้ฟ้องผู้ต้องหาเป็นความผิดแล้วและศาลได้สั่งขังในระหว่างสอบสวน และต่อมาศาลสั่งประทับรับฟ้องไว้แล้ว ดังนี้ ย่อมไม่เป็นประโยชน์หรือผลแก่คดีของผู้ต้องหาอย่างใดที่จะวินิจฉัยว่า กฎหมายที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาเสีย[31]

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ศาลละเลยต่อการพิจารณาประเด็นว่าการควบคุมตัวที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อรักษาหลักการของนิติรัฐนิติธรรม หรือเพียงแค่ดำเนินการให้สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนๆ ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า สถาบันตุลาการยังเลือกวางตนไว้โดยไม่ลงหลักปักฐานกับนิติรัฐนิติธรรม แต่การเลือกที่จะยืนอยู่ข้างผู้มีอำนาจคือ คณะรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลในเวลานั้น

สรุปแล้วสังคมไทยยังคงสืบสาน (รักษา) และต่อยอดนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย

กระบวนการตราพระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 และคำพิพากษาของศาลนั้นได้สะท้อนให้เห็นว่า นิติรัฐนิติธรรมที่เป็นสากลนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย ดังเช่นที่ ธงชัย วินิจจะกูล ได้อธิบายเรียกสภาพของรัฐไทยที่เรียกนิติรัฐอภิสิทธิ์-ราชนิติธรรมว่าเป็นเสมือนนิติรัฐนิติธรรมแบบสากลนั้นเป็นการอำพรางนิติศาสตร์แบบอำนาจนิยมให้ดูน่าเชื่อถือด้วยกฎหมายและธรรมะ[32] ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของนิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทย สิ่งนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยหรือข้อกำหนดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมหนึ่งๆ ที่กลายมาเป็นประเพณีทางการปกครองและการเมืองของสังคมไทย[33]

การที่สถาวะนิติรัฐนิติธรรมไทยไม่ใช่นิติรัฐนิติธรรมสากลนั้นทำให้สถานการณ์ของการใช้อำนาจรัฐเข้ามารุกล้ำสิทธิและเสรีภาพของประชาชนยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันองค์กรตุลาการไทยนั้นก็เพิกเฉยต่อการคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนด้วยเพราะองค์กรตุลาการนั้นยืนหยัดอยู่ในข้างเดียวกันกับฝ่ายอำนาจนิยม ทำให้สถานการณ์ของการใช้อำนาจเพื่อคุกคามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอ

ดังจะเห็นได้ว่า ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมานี้ ขบวนการยุติธรรมไทยเริ่มสั่นคลอนลงในเรื่องของความน่าเชื่อถือ รัฐได้ผลิตซ้ำและอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือในการคุกคามและทำลายขั้วตรงข้ามทางการเมือง ผ่านการตีความกฎหมายและการออกกฎหมายมากคุกคาม โดยอ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐ อาทิ การเลื่อนกฎหมายซ้อมทรมานและอุ้มหาย การอนุมัติต่ออายุการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการยอมรับให้บทบัญญัติของกฎหมายอาญาฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นเครื่องมือสำคัญในการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่เป็นขั้วตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งเป็นการขยายช่องว่างของข้อยกเว้นนิติรัฐนิติธรรมให้กว้างขวางเสมือนความเป็นปกติ

สภาวะที่นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยดำรงอยู่นี้ อาจจะเป็นโจทย์สำคัญของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสังคมไทยจะเดินหน้าต่อไป จะสะสางความไม่เป็นธรรมอย่างไรในสังคม และจะทำอย่างไรให้นิติรัฐนิติธรรมสัญชาติไทยกลายเป็นนิติรัฐนิติธรรมแบบสากลที่กลับมาคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้อย่าแท้จริง


เชิงอรรถ

[1] ในบทความนี้ผู้เขียนไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเด็นที่มาของหลักการหรือความแตกต่างของหลักนิติรัฐและนิติธรรม แต่เน้นการอธิบายหลักนิติรัฐและนิติธรรมในฐานะกรอบของการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ เนื่องจากในทรรศนะของผู้เขียนเห็นว่า นักกฎหมายไทยให้ความสนใจกับถ้อยคำและเนื้อหาความแตกต่างของหลักการจนละเลยคุณค่าที่แท้จริงของหลักการทั้งสองว่า สิ่งนี้ไม่เคยลงหลักปักฐานในสังคมไทย.

[2] วรเจตน์ ภาคีรัตน์, คำสอนว่าด้วยรัฐและหลักกฎหมายมหาชน, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อ่านกฎหมาย, 2564) 257.

[3] พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, “ปฏิรูปประเทศไทยด้วยแนวคิดประชานิติศาสตร์,” Pub-Law Net, 24 เมษายน 2554 สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก http://www.public-law.net/publaw/view.aspx?id=1580.

[4] เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง, “นิติธรรมไทย: เฟื่องฟู และล้มเหลว” ใน นิติรัฐนิติธรรม: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเปรียบเทียบ, (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2567), X.

[5] มาตรา 3 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. รัฐธรรมนูญฉบับนี้ผู้ร่างจงใจใช้คำว่า “นิติธรรม” ซึ่งในชั้นของการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญได้มีการถกเถียงถึงที่มาในเชิงถ้อยคำของรัฐธรรมนูญ. ดู สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, “เอกสารรายงานการประชุมทางวิชาการ เนื่องในวาระศาลรัฐธรรมนูญครบรอบ 20 ปี (เอกสารภายใน),” การประชุมในวันที่ 9-10 เมษายน 2561 ณ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย, 14 อ้างใน กล้า สมุทวณิช, “ศาลรัฐธรรมนูญกับการแปลความหมาย สร้าง และบังคับใช้หลักนิติธรรมไทย,” ใน นิติรัฐนิติธรรม: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเปรียบเทียบ, (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์, 2567), 182.

[6] ธีระ สุธีวรางกูร, “รายงานฉบับสมบูรณ์ศาลรัฐธรรมนูญกับการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหลังประกาศใช้,” (รายงานวิจัยเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมงานวิจัย คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563), 118; อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558), 27.

[7] สถาบันปรีดี พนมยงค์, “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/libraries/1583202126.

[8] เพิ่งอ้าง และ ดู เจตนารมณ์ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475.

[9] Björn Dressel, “When Notions of Legitimacy Conflict: The Case of Thailand,” 2010 Politics & Policy 38 (3) 445: 447.

[10] บรรจง ตันตยานนท์, “ปัญหาการรวมชาติในสมัยรัชกาลพระบาสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว,” ใน การเมือง-การปกครองไทยสมัยใหม่: รวมงานวิจัยทางประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2522), 27-28. การปกครองของไทยก่อนทศวรรษที่ 2440 (ตามปี พ.ศ.) มีลักษณะเป็นการปกครองแบบจารีตตามคติจักรพรรดิราชที่ไม่มีเขตแดนของรัฐที่ชัดเจน และผู้อยู่ใต้ปกครองปรับเปลี่ยนไปตามขอบเขตแห่งพระเดชานุภาพของกษัตริย์ผู้ปกครองสูงสุดเสมือนพระจักรพรรดิราชในพระพุทธศาสนา. ดู อเนก มากอนันต์, จักรพรรดิราช: คติอำนาจเบื้องหลังชนชั้นนำไทย, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2561), 3-9.

[11] สมชาย ปรีชาศิลปกุล, นิติศาสตร์ไทยเชิงวิพากษ์, (กรุงเทพฯ: วิญญูชน, 2549), 19-20.

[12] ธงชัย วินิจจะกูล, เมื่อสยามพลิกผัน ว่าด้วยกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่, (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), 31-37.

[13] ดู พระราชดำรัสตอบพวกนักเรียนในกรุงเทพฯ ที่พลับพลาท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 11 มกราคม ร.ศ. 116 ใน กรมศิลปากร, พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, (กรุงเพทฯ: โรงพิมพ์สามมิตร, 2513), 31.

[14] Björn Dressel, supra note 9, 449.

[15] ตามอัคคัญญสูตรแนวคิดในพระพุทธศาสนาสนับสนุนให้กษัตริย์มีสถานะเป็นผู้เป็นใหญ่เพื่อเข้าแก้ไขความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ อบรมสั่งสอนธรรม และระงับความขัดแย้งของมนุษย์ในสังคม ดู มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เล่ม 11, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2539), 96-99. ในขณะเดียวกันชนชั้นนำในสังคมไทยยอมรับว่า นิติรัฐนิติธรรมในสังคมไทยมาจากหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน อาทิ หลักทศพิธราชธรรมหรือหลักจักรวรรดิวัตร 12 ประการ ซึ่งหลักการเหล่านี้เป็นหลักธรรมของผู้ปกครอง.

[16] ดังจะเห็นได้ว่า คณะราษฎรพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่สร้างความหมายของชาติเข้าแทนที่สถาบันกษัตริย์และทำให้รัฐธรรมนูญกลายเป็นศูนย์กลางของระบอบการปกครอง แต่กระบวนการสร้างวัฒนธรรมใหม่นี้ทำได้ไม่ต่อเนื่องเพราะสถานการณ์ทางการเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและถูกตัดตอนจากการรัฐประหาร.

[17] Björn Dressel, supra note 9, 455.

[18] ดู เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “ประชาธิปไตย: ประชาธิปไตยสมบูรณ์ และประชาธิปไตยแบบมีส่วนขยายต่างๆ (ตอนจบ)” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 3 ตุลาคม 2566, สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2023/10/1700.

[19] เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง, อ้างแล้ว เชิงอรรถ 4, XXII-XXIII.

[20] ณัฐพงษ์ โปษกะบุตร, “หลักกฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง (Ex Post Facto Law),” ใน รพี’50 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, (กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, 2550), 27.

[21] พระราชบัญญัติกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีที่ต้องหาว่าปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล พ.ศ. 2491 มาตรา 3.

[22] ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87.

[23] ธโนชัย ปรพัฒนชาญ, “อาชญากรสงคราม,” ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า, สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=อาชญากรสงคราม.

[24] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2489.

[25] ธงชัย วินิจจะกูล, “ปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 17 วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2563 นิติรัฐอภิสิทธิ์และราชนิติธรรม ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของ Rule by Law แบบไทย,” Way, 9 มีนาคม 2563, สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://waymagazine.org/thongchai-winichakul-rule-by-law/.

[26] รายงานการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2/วันที่ 15 มกราคม 2491.

[27] ธงชัย วินิจจะกูล, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 25.

[28] เพิ่งอ้าง.

[29] ธานินทร์ กรัยวิเชียร, “จริยธรรมของนักกฎหมาย,” ใน รวมคำบรรยายหลักวิชาชีพนักกฎหมาย, (กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2548), 235.

[30] กฤตพล วิภาวีกุล, “ระบบกฎหมายและสถาบันตุลาการในนิติรัฐอภิสิทธิ์ ตอนที่ 2,” สมติ, 6 สิงหาคม 2564, สืบค้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 สืบค้นจาก https://www.sm-thaipublishing.com/content/9914/nitirat-law-2.

[31] คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2491.

[32] ธงชัย วินิจจะกูล, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 25.

[33] นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และรูปการจิตสำนึก, พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุงเทพฯ: มติชน 2557), 115.

ทุน นิยาม: การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขคอร์รัปชันเพียงพอหรือไม่

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ แนวหน้า

เรามีวิธีการแก้ไขคอร์รัปชันด้วยการเพิ่มโทษให้รุนแรงหรือไม่? เป็นคำถามที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับการคอร์รัปชันปรากฏที่หน้าสื่อต่างๆ คำถามข้างต้นฟังแล้วน่าจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ดี เพราะการเพิ่มโทษน่าจะสร้างความยำเกรงและทำให้คนไม่กล้าที่จะคอร์รัปชัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ

แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ในปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับการคอร์รัปชันมากกว่า 11 ฉบับ ครอบคลุมทั้งในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง การฮั้วประมูล การตรวจสอบการร่ำรวยผิดปกติ การใช้อำนาจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งน่าจะครอบคลุมและรับมือเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน รวมถึงน่าจะสร้างความยำเกรงให้คนไม่กล้าคอร์รัปชัน แต่ในความเป็นจริงเราก็ยังพบว่าการคอร์รัปชันเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ เช่น กรณีของเสาไฟกินนรี จึงทำให้เกิดคำถามใหม่ขึ้นมาว่า การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขคอร์รัปชันเพียงพอหรือไม่

ก่อนที่จะไปตอบคำถามดังกล่าว อาจจะต้องเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจบทบาทของกฎหมายกับการคอร์รัปชันเสียก่อน กฎหมายมีหน้าที่สำคัญในการแก้ไขคอร์รัปชันมี 2 เรื่อง คือ การให้ความหมายของการคอร์รัปชัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าการกระทำในลักษณะใดบ้างที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคอร์รัปชัน ตัวอย่างเช่นในกฎหมายของ ป.ป.ช. กำหนดความหมายของทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งให้ความหมายสื่อไปถึงการทำหรือไม่ทำหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อให้ตัวเองหรือบุคคลหนึ่งได้ผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ตามกฎหมาย หรือคำว่า ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งสื่อไปถึงการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ(คู่สมรสและบุตรผู้เยาว์) มีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ ทั้งหมดนี้กฎหมายต้องมีการกำหนดนิยามเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า อะไรคือคอร์รัปชัน

เรื่องที่สองที่กฎหมายเข้ามาทำหน้าที่คือ การปราบปรามการคอร์รัปชัน โดยกำหนดบทลงโทษเมื่อมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น การปรับหรือการจำคุก การลงโทษทางวินัยของข้าราชการ การใช้กฎหมายในแบบนี้ทำให้ประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน 11 ฉบับดังกล่าวมาแล้ว และแต่ละฉบับก็มีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงไว้แล้วเช่นกัน

กลับมาที่คำถามของเราว่า เพียงเท่านี้น่าจะพอแล้วหรือไม่ที่จะจัดการกับปัญหาการคอร์รัปชันตรงนี้ผู้เขียนขอชวนผู้อ่านลองพิจารณาและตอบคำถามดังกล่าวในแง่มุมต่างๆ ตามสถานการณ์ดังต่อไปนี้เพื่อลองตอบคำถามดังกล่าวด้วยตัวเอง

สถานการณ์แรก สมมุติว่าผู้อ่านเป็นคนต่างชาติและต้องการจะขอวีซ่ามาประเทศไทย โดยยื่นขอวีซ่าผ่านทางตัวแทนเอกชนที่พิจารณาวีซ่าแทนรัฐบาลไทย ในกรณีนี้หากตัวแทนเอกชนดังกล่าวเรียกเงินเพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกเป็นพิเศษโดยที่ไม่ได้มีการกำหนดเรื่องนี้ไว้เลย กรณีแบบนี้จะถือว่าเป็นการคอร์รัปชันหรือไม่ คำตอบของเรื่องนี้ก็คือ อาจจะเป็นการคอร์รัปชัน แต่ไม่ใช่การคอร์รัปชันตามกฎหมายไทย

สาเหตุก็คือ ปัจจุบันมุมมองเกี่ยวกับเรื่องการคอร์รัปชันตามกฎหมายไทยยังยึดโยงอยู่กับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นหลัก ทว่า ในปัจจุบันภารกิจหลายอย่างของรัฐได้ถูกถ่ายโอนไปให้เอกชนช่วยทำเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น การที่กฎหมายกำหนดนิยามของคอร์รัปชันไว้เฉพาะการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐก็อาจจะไม่ครอบคลุม

สถานการณ์ที่สอง สมมุติว่าผู้อ่านเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและต้องการตั้งบุคคลใกล้ชิดเพื่อเข้ามาทำงานการเมืองร่วมด้วย กรณีเช่นนี้จะถือว่าเป็นการคอร์รัปชันหรือไม่ ปัญหาของการคอร์รัปชันในประเทศไทยคือ การยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ในทางทรัพย์สินมากกว่าจะสนใจพฤติกรรมการคอร์รัปชันทางสังคม ซึ่งมีความซับซ้อนกว่า และเป็นรูปแบบหนึ่งของการได้รับประโยชน์จากการใช้อำนาจรัฐ

สถานการณ์ที่สาม สมมุติว่าผู้อ่านเป็นนักการเมืองที่ต้องการทำนโยบายอะไรสักอย่างเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายธุรกิจ กฎหมายจะครอบคลุมไปถึงหรือไม่ เพราะในปัจจุบันเรื่องใดจะเป็นการคอร์รัปชันต้องมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นฐานความผิดที่ชัดเจน

ทั้งสามสถานการณ์ข้างต้นกำลังบอกกับเราว่า กฎหมายมีข้อจำกัดในการนำไปปรับใช้กับพฤติกรรมของการคอร์รัปชันที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นพลวัต แต่กฎหมายทันทีที่มีการกำหนดนิยามหรือฐานความผิดไปแล้ว คำนิยามหรือฐานความผิดดังกล่าวก็จะเป็นอยู่ไปอย่างนั้นตลอดเวลาจนกว่าจะถูกยกเลิกหรือแก้ไข

นอกจากปัญหาในเรื่องการกำหนดนิยามหรือฐานความผิดแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แม้ว่าจะมีเจตนาดีที่จะให้มีกฎหมายหลายๆ ฉบับเข้ามาจัดการเรื่องการคอร์รัปชัน แต่ในทางปฏิบัติการมีกฎหมายหลายฉบับก็ไม่ใช่เรื่องดี เนื่องจากวัตถุประสงค์สำคัญของกฎหมายคือการทำหน้าที่เป็นจุดโฟกัสให้คนรับรู้ว่า สิ่งใดควรทำและสิ่งใดไม่ควรทำ แต่การมีกฎหมายหลายฉบับนั้นทำให้เกิดสถานการณ์หลุดโฟกัส เพราะทุกเรื่องกลายเป็นล้วนมีความสำคัญทั้งหมด ในขณะเดียวกันการมีกฎหมายหลายฉบับก็ทำให้พฤติกรรมบางอย่างหลุดพ้นไปจากเรื่องที่ควรจะให้ความสำคัญ เนื่องจากในการกำหนดฐานความผิดมีความละเอียดมาก แต่พฤติกรรมการคอร์รัปชันนั้นสามารถเลื่อนไหลไปตามบริบทของสภาพสังคม

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของกฎหมายก็คือ กฎหมายสร้างแรงจูงใจให้เกิดการคอร์รัปชันทั้งกับคนให้สินบนและคนรับสินบน กล่าวคือ กฎหมายหลายฉบับใช้วิธีการออกใบอนุญาต ซึ่งมีผลทำให้เกิดการผูกขาดหรือกีดกันคนให้เข้ามาประกอบธุรกิจยาก กฎหมายในลักษณะนี้สร้างแรงจูงใจให้เอกชนอาจจะให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการกีดกันคู่แข่งของตนให้ไม่สามารถเข้ามาขายสินค้าและบริการแข่งกับตนได้ ในขณะเดียวกันกฎหมายแบบนี้ก็สร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในการเรียกรับสินบนเพื่ออำนวยความสะดวกได้เช่นกัน

จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้ได้บอกเรากลายๆ ว่าการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขคอร์รัปชันอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะในตัวกฎหมายเองก็มีปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขคอร์รัปชันได้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ความสามารถตรวจสอบการกระทำ
ความผิด และความสามารถในการนำบุคคลมาลงโทษ

แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขคอร์รัปชันจะไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป การคอร์รัปชันยังคงเป็นพฤติกรรมที่ควรจะต้องถูกลงโทษอยู่ เพียงแต่กฎหมายควรจะต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริบทของการคอร์รัปชันมากขึ้น รวมถึงควรจะต้องมีการให้ความสำคัญกับมาตรการเชิงป้องกันมากขึ้น

การแก้ไขในเรื่องผู้เขียนขอเสนอแนะมาตรการ 3 ปรับ ได้แก่

ปรับที่ 1 ปรับมุมมองเกี่ยวกับพฤติกรรมการคอร์รัปชันให้กว้างขึ้น การแก้ไขนิยามการคอร์รัปชันอาจจะไม่ได้จำเป็นมาก เพราะการมีคำนิยามที่มีความชัดเจนยังมีความจำเป็นสำหรับการลงโทษพฤติกรรมคอร์รัปชัน แต่สิ่งที่ควรจะต้องปรับเปลี่ยนคือมุมมองเกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกว่าคอร์รัปชันให้ครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมคอร์รัปชันอื่นๆ อาทิ การคอร์รัปชันทางสังคม การคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นโดยเอกชนที่ทำหน้าที่แทนรัฐ โดยภาครัฐอาจจะต้องปรับกลยุทธ์โดยพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการคอร์รัปชันทางสังคมหรือการนำเอกชนมารับผิด

ปรับที่ 2 ปรับลดกฎหมายที่ไม่จำเป็น ดังที่กล่าวมาแล้วว่ากฎหมายนั้นอาจจะสร้างแรงจูงใจให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐและเอกชนในการร่วมมือกันคอร์รัปชันได้ ในขณะเดียวกันกฎหมายก็อาจจะนำมาสู่การสร้างจุดโฟกัสหลายจุด ทำให้การตรวจสอบการกระทำความผิดถูกทุ่มเทไปที่จุดสำคัญๆ

ปรับที่ 3 ปรับแรงจูงใจในกฎหมาย กฎหมายควรทำหน้าที่ออกแบบแรงจูงใจที่เหมาะสมสำหรับการคอร์รัปชัน ในปัจจุบันกฎหมายยังกำหนดความผิดสำหรับการให้สินบนหรือเรียกรับสินบน ทำให้เกิดปัญหาว่า ในการคอร์รัปชันบางครั้งผู้ให้สินบนอาจจะไม่ต้องการจะให้สินบน แต่ต้องการมีหลักฐานเพื่อเอาผิดก็จะมีปัญหาว่าบุคคลนั้นอาจจะมีความผิดไปด้วย เพราะกฎหมายมุ่งเอาผิดทั้งคนให้และคนรับ ทำให้คนให้สินบนมีแรงจูงใจเช่นเดียวกับคนรับ และเลือกปกปิดข้อมูลมากกว่าจะดำเนินคดี

ท้ายที่สุดอีกเรื่องที่มีความสำคัญคือ ภาครัฐควรร่วมมือกับประชาชนให้มากที่สุด โดยเริ่มต้นจากการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้นำไปสู่การช่วยกันสอดส่องการคอร์รัปชัน เพราะการจะบังคับกฎหมายเกี่ยวกับการคอร์รัปชันการรวบรวมพยานหลักฐานก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน การที่ภาครัฐจะมีข้อมูลพอจะดำเนินการได้ด้วยศักยภาพของภาครัฐอาจจะไม่เพียงพอ การเปิดเผยข้อมูลจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะดึงประชาชนมาร่วมมือ

อีกครั้งกับงบฯ กลาง เมื่อประเทศไทยใช้งบกลางเป็นเสมือนสิ่งจำเป็น

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 ล่าช้ามาจากกรอบเวลาปกติค่อนข้างมากเนื่องจากช่วงของการเสนองบประมาณนั้นต่อเนื่องจากช่วงการเลือกตั้ง ทำให้ในท้ายที่สุด พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 มาถูกเสนอในช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา และเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับงบประมาณในครั้งนี้ มีหลายเรื่อง อาทิ การตั้งรายการชดเชยเงินคงคลังไว้ในจำนวนที่ค่อนข้างสูง การตั้งงบประมาณของบางหน่วยงานที่ไม่ค่อยมีรายละเอียด และที่มีการถกเถียงบ่อยครั้งคือ การตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากปีนี้รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางไว้ 6.06 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้เกิดปัญหาว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลจึงเลือกตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางไว้สูง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับรายการใช้จ่ายอื่นๆ แล้ว งบประมาณรายจ่ายงบกลางมากเป็นอันดับ 3 ดังปรากฏตามภาพ

งบประมาณรายจ่ายงบกลางคืออะไร

งบกลางหรืองบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลตั้งขึ้นสำหรับรายจ่ายที่ไม่ได้เป็นรายจ่ายเฉพาะของหน่วยรับงบประมาณ อาทิ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ, ค่าใช้จ่ายเพื่อชดใช้เงินทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน, ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ, เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ, และเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง

นอกจากนี้ งบประมาณรายจ่ายงบกลางอาจจะเป็นการตั้งรายการสำรองสำหรับการนำไปใช้จ่ายในฐานะเป็นเงินสำรองจ่ายของรัฐบาล อาทิ เงินสำรอง เงินสมทบ และเงินชดเชยของข้าราชการ หรือเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

วัตถุประสงค์ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางจึงมีขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาลในการใช้งบประมาณได้คล่องตัวในการดำเนินนโยบาย และสามารถจัดการแก้ไขปัญหาตามสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันต่อเหตุการณ์ หรือสาเหตุที่มาจากความไม่แน่นอนของรายจ่ายในอนาคต[1]

ทั้งนี้ในประเทศที่ปกครองในระบอบเสรีประชาธิปไตย (รวมถึงไทย) จะมอบอำนาจสูงสุดทางการคลังให้เป็นการตัดสินใจของรัฐสภาในฐานะผู้แทนของประชาชนการกำหนดงบประมาณใดๆ จึงต้องสะท้อนต่อความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชน[2] ในทางหลักการจึงกำหนดสิ่งที่เรียกว่า “งบประมาณต้องเฉพาะเจาะจง” กล่าวคือ การกำหนดให้งบประมาณต้องมีการระบุรายละเอียดของการใช้จ่ายให้ชัดเจนเพื่อควบคุมมิให้รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนในรูปของงบประมาณรายจ่ายไปใช้จ่ายโดยไม่มีเหตุอันสมควร[3] และระบุแน่นอนว่ารัฐบาลเอางบประมาณไปใช้เพื่อการใด โดยเสนอกรอบวงเงินงบประมาณและเรื่องที่จะนำงบประมาณนั้นไปใช้ต่อรัฐสภาเพื่อขออนุมัติ

ดังนี้ การมีอยู่ของงบประมารายจ่ายงบกลางจึงเป็นข้อยกเว้นของหลักการงบประมาณต้องเฉพาะเจาะจง โดยยินยอมรัฐบาลตั้งงบประมาณไว้เพื่อสถานการณ์เฉพาะเรื่องโดยไม่กำหนดเป้าหมายหรือวงเงินค่าใช้จ่ายไว้ล่วงหน้าเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุอันไม่แน่นอน

เมื่องบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นข้อยกเว้นของการตั้งงบประมาณทั่วๆ ไปแล้ว รัฐบาลก็ควรจะต้องงบประมาณส่วนนี้เท่าที่จำเป็นเสมือนเงินติดกระเป๋าเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจำเป็น เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางไม่สามารถระบุรายละเอียดหรือแผนของการใช้จ่าย และหน่วยรับงบประมาณลงไปได้อย่างชัดเจนผิดกับงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ รัฐสภาทำได้แต่เพียงการอนุมัติกรอบวงเงินของการใช้จ่ายเท่านั้น แต่ไม่อาจทราบรายละเอียดของการใช้จ่ายได้เลยจนกว่าจะมีการใช้จ่ายจริงเกิดขึ้นว่า งบประมาณดังกล่าวได้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยหน่วยงานใด การใช้จ่ายงบประมาณงบกลางจึงเป็นการปล่อยให้ฝ่ายรัฐบาลใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวตามดุลยพินิจของตน ดังคำที่คนทั่วไปเรียกกันว่า “ตีเช็คเปล่า”[4] ในลักษณะนี้จะเห็นได้ว่าลักษณะของงบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่เป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น (lesser evil)

ในทางปฏิบัติของงบประมาณไทย

งบประมาณรายจ่ายงบกลางของประเทศไทยนั้นสวนทางกับการเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็น แต่เป็นความจำเป็นอันชั่วร้าย กล่าวคือ ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมารัฐบาลต่างๆ มีแนวโน้มที่จะตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มสูงขึ้นดังปรากฏตามภาพ อ้างอิงจากเอกสารวิชาการของสำนักงบประมาณรัฐสภาในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566 โดยพบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีการจัดสรรงบกลางไป 4.96 ล้านล้านบาท คิดเป็นเฉลี่ย 4.96 แสนล้านบาทต่อปี[5]

ส่วนหนึ่งก็เพราะรายจ่ายที่อยู่ในวงเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลางเพิ่มขึ้น โดยอันดับต้นๆ นั้นอยู่ในรายการที่รัฐจำเป็นต้องจ่ายคือ เงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ 2.24 ล้านล้านบาท คิดเป็น 45.24% หรือเฉลี่ย 2.24 แสนล้านบาทต่อปี (คำนวณจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2566)[6] โดยในปีนี้รัฐบาลตั้งเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญไว้ 3.29 แสนล้านบาทโดยเป็นเงินจำนวนกว่ากึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายงบกลาง

ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธได้ถึงความจำเป็นในการตั้งงบประมาณได้ รวมถึงเป็นภาพสะท้อนของการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ค่อยๆ มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จึงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น

แต่งบประมาณรายจ่ายงบกลางที่น่าจะมีปัญหามากที่สุดก็คือ งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณรายการนี้แตกต่างจากงบประมาณรายจ่ายงบกลางประเภทอื่นๆ คือ วัตถุประสงค์ของการใช้จ่าย กล่าวคือ แม้ว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็น จะถูกกำหนดว่าต้องใช้เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉินหรือจำเป็น แต่กรณีของความฉุกเฉินและจำเป็นนี้คืออะไร ผิดกับกรณีของเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ที่มีความชัดเจนในแง่ของวัตถุประสงค์ เพียงแต่ไม่ชัดเจนในกลุ่มเป้าหมายผู้รับว่ามีกี่คน

เมื่อพิจารณาแนวโน้มในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นของประเทศไทยจะพบว่า นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นต้นมาจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีแนวโน้มจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในช่วงปี 6 ปีหลังจำนวนเงินจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เว้นแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้มากเพื่อรับมือกับปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

แต่ในความเป็นจริงจะไม่ได้มีการเบิกจ่ายเต็มจำนวนที่ตั้งไว้ โดยสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะการตั้งงบประมาณของประเทศไทยไม่ค่อยมีพื้นที่เหลือสำหรับการนำงบประมาณไปใช้ในเรื่องที่จำเป็นและไม่อาจคาดหมายได้ ทำให้การรัฐบาลขาดความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนการใช้งบประมาณไปกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม

ไม่เพียงเท่านั้นการตั้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้สูง หากตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นมากเกินไป ย่อมเสียโอกาสในการตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยรับงบประมาณอื่นที่มีรายการค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนแน่นอนอยู่แล้ว[7] ทำให้รายการสำคัญๆ ที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายอาจจะไม่ได้ถูกนำไปใช้จ่ายจริง

นอกจากนี้ ในเรื่องของการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองหรือฉุกเฉิน จากข้อสังเกตของสำนักงบประมาณของรัฐสภาพบว่า[8] รัฐบาลที่ผ่านมา (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564) มีพฤติกรรมที่จะใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล โดยนำเงินงบประมาณส่วนนี้ไปใช้ 3 เรื่อง ได้แก่

  1. การใช้จ่ายเพื่อแก้ไข ป้องกัน บรรเทาความเสียหายจากสถานการณ์ต่างๆ โดยมีสัดส่วนการใช้จ่ายทั้งสิ้นร้อยละ 53.5 ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ได้แก่ การฟื้นฟูเยียวยา ป้องกันภัยพิบัติ พัฒนาด้านการเกษตร รวมถึงแก้ไขปัญหาและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
  2. การใช้จ่ายเพื่อนโยบายของรัฐบาลร้อยละ 25.26 ของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 อาทิ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงเด็กแรกเกิด โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เช่น โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการชิม ช้อป ใช้
  3. การใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานที่เป็นภารกิจประจำของหน่วยรับงบประมาณ เช่น การดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เป็นต้น

ดังจะเห็นได้ว่า บางรายการงบประมาณรัฐบาลสามารถตั้งงบประมาณรายการงบประมาณให้กับหน่วยรับงบประมาณปกติได้ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเผื่อไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉิน

นอกจากนี้ พบว่าในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รัฐบาลโอนงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณต่างๆ มาไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองหรือฉุกเฉินเพื่อมาดำเนินการใช้จ่ายเพื่อแก้ไข เยียวยา และลดผลกระทบจากโควิด-19[9] ซึ่งในความเป็นจริงรัฐบาลอาจจะตั้งงบประมาณส่วนนี้ไว้เป็นในแผนงานหรือโครงการของกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยรับงบประมาณที่มีอำนาจในการเบิกจ่ายรองรับกับสถานการณ์โควิด-19 โดยที่รัฐสภาและประชาชนสามารถทราบแผนการใช้จ่ายได้ แต่รัฐบาลกลับเลือกที่จะตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นแทน

จะควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางอย่างไร

ดังกล่าวมาแล้วว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ไม่ได้จำเป็นถึงขนาดต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้เป็นจำนวนมาก ในทางหลักการรัฐบาลควรจะใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางเสมือนกับเงินติดกระเป๋าในกรณีฉุกเฉิน เพราะในทางหลักการปฏิเสธไม่ได้ว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางนั้นมีข้อเสียที่ทำให้เกิดความยากในการติดตามและตรวจสอบความใช้จ่ายโดยรัฐสภาในฐานะผู้แทนของประชาชน รวมถึงเราไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าการเบิกจ่ายดังกล่าวจะทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนเมื่อเทียบกับงบประมาณที่มีการใช้จ่ายไปหรือไม่

ในทางหลักการจึงมีความพยายามควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางเอาไว้ โดยกำหนดกรอบในการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางเอาไว้  อย่างไรก็ดี กรอบในการดำเนินการในปัจจุบันนั้นยังคงไม่ครอบคลุมและทำให้เกิดช่องว่างในการควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ดังนี้

เรื่องที่หนึ่ง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นที่ไม่อาจจัดสรรหรือไม่สมควรจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบได้โดยตรง[10] ซึ่งสะท้อนหลักการว่างบประมาณรายจ่ายงบกลางควรมีเท่าที่จำเป็น  นอกจากนี้ ภายใต้พระราชบัญญัตินี้ยังให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดกรอบวงเงินของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ไม่เกินร้อยละ 2 แต่ไม่เกินร้อยละ 3.5 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี[11]

อย่างไรก็ดี การกำหนดสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้นในทางปฏิบัติไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก เนื่องจากการปรับเปลี่ยนเพดานสัดส่วนดังกล่าวสามารถทำได้โดยคณะกรรมการการเงินการคลังของรัฐที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นรองประธาน ทำให้ในทางปฏิบัติรัฐบาลมีดุลพินิจในการปรับสัดส่วนดังกล่าวได้ตามอำเภอใจ ดังเช่นในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ปรับเพดานสัดส่วนเงินสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นใหม่

เรื่องที่สอง พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ประกอบกับระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้กำหนดเรื่องวิธีการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง โดยกำหนดให้หน่วยงานที่มีความต้องการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางให้แสดงเหตุผลความจำเป็นและรายละเอียดและจำนวนงบประมาณที่จะขอใช้ และยื่นคำขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง พร้อมกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเพื่อขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะในส่วนของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นนั้น ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 แต่ระเบียบดังกล่าวนั้นก็เพียงแต่กำหนดกรอบของเรื่องที่จะเบิกจ่ายไว้เพียงกว้างๆ ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของกฎหมายไทยที่มีปัญหาในการตีความว่า “ความจำเป็นเร่งด่วน” ซึ่งเป็นเหตุในการใช้จ่ายนั้นคืออะไร[12]

ลักษณะดังกล่าวสะท้อนความไม่เพียงพอของรายละเอียดของเรื่องที่จะขอเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการสำรองฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ควรจะมีเงื่อนไขที่ชัดเจนกำกับว่าเรื่องใดคือเงื่อนไขที่จำเป็นบ้าง เพื่อปิดไม่ให้รัฐบาลนำโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลมาแทรกไว้ในงบประมาณส่วนนี้ ทั้งที่รัฐบาลสามารถตั้งรายการงบประมาณในส่วนนี้ได้ในรายการและแผนงานปกติ[13]

นอกจากนี้ กรอบดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในเชิงรายละเอียดที่เพียงพอ กฎหมายควรกำหนดกรอบในการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนโดยควรแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยรับงบประมาณที่ดำเนินการ แผนงาน โครงการ กิจกรรม หรือมาตรการ วงเงินงบประมาณที่จะนำไปใช้จ่าย วัตถุประสงค์และความจำเป็นเร่งด่วนของการใช้จ่ายงบประมาณ แผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และผลสัมฤทธิ์ที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อแสดงถึงความพร้อมความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบการดำเนินการและการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวได้[14]

กล่าวโดยสรุป งบประมาณรายจ่ายงบกลางยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบริหารประเทศ แต่ปัญหาของการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวเป็นเรื่องที่ควรจะต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมีประสิทธิภาพ


เชิงอรรถ

[1] อัญชลี ทองอุ่น, “ปัญหาการใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของประเทศไทย,” (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565), 34-35 และ 39.

[2] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “มหากาพย์งบประมาณรายจ่ายงบกลาง: วิธีคิดและมุมมองต่อความเหมาะสม,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 20 สิงหาคม 2564, สืบค้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2567, สืบค้นจาก https://pridi.or.th/th/content/2021/08/802#_ftn1.

[3] สุปรียา แก้วละเอียด, กฎหมายการคลัง: ภาคงบประมาณแผ่นดิน (วิญญูชน 2563), 240.

[4] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[5] วนิยดา ชูชาย, “งบประมาณรายจ่ายงบกลางของไทย: การจัดสรรและการบริหารงบประมาณ,” สำนักงบประมาณของรัฐสภา, 35.

[6] เพิ่งอ้าง, 38.

[7] สิทธิกร นิพภยะ, “งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น,” เศรษฐสาร, 31 ตุลาคม 2562, สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567, สืบค้นจาก https://setthasarn.econ.tu.ac.th/blog/detail/33#:~:text=งบประมาณรายจ่ายงบกลาง%20เป็น,หน่วยรับงบประมาณได้โดยตรง.

[8] วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 74-75.

[9] วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 74.

[10] มาตรา 22 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561.

[11] ประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่างๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2563.

[12] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 2.

[13] ดู วนิยดา ชูชาย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, 84.

[14] เพิ่งอ้าง, 83-84.

ความสำคัญของเงินคงคลังในประเทศไทย และระบบการคลังไทย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้จะเริ่มต้นช้ากว่าที่ผ่านมา เนื่องจากขั้นตอนและกระบวนการเสนองบประมาณอยู่ระหว่างลอยต่อของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลทำให้งบประมาณประจำปีที่ควรจะต้องมีการเสนอและผ่านออกมาก่อนสิ้นเดือนกันยายนล่วงเลยมาจนเพิ่งจะเข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี แม้งบประมาณจะยังไม่ผ่านออกมาก็ไม่ได้หมายความว่า ประเทศชาติจะไม่มีงบประมาณที่เปรียบเสมือนน้ำมันในการขับเคลื่อนการทำงานของประเทศ เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ให้รัฐบาลใช้งบประมาณของปีที่แล้วไปพลางก่อนได้  นอกจากนี้ หากจำเป็นจริงๆ ประเทศยังมีสิ่งที่เรียกว่า “เงินคงคลัง” ที่อาจจะนำมาใช้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับการบริหารประเทศของรัฐบาลได้

ทว่า “อันว่าเงินคงคลังสำคัญไฉน” เพราะในการจัดทำงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2567 นี้รัฐบาลได้ตั้งรายการงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังเป็นจำนวน 118,361,130,500 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.4 ของวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ทั้งหมด (3,480,000,000,000 บาท)

ในบทความนี้ ผู้เขียนจึงขออธิบายความรู้โดยสังเขปเกี่ยวกับ “เงินคงคลัง” ในแง่ของความหมาย ความสำคัญ การนำเงินคงคลังมาใช้ และปัญหาของการนำเงินคงคลังมาใช้

เงินคงคลังคืออะไร : ความหมายและความสำคัญ

ในทางตำรานั้นได้อธิบายว่า ในอดีตเงินคงคลังหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Treasury Reserve” ซึ่งเป็นเงินเหลือจ่ายจากการใช้จ่ายของรัฐบาลในแต่ละปี และเนื่องจากภารกิจของรัฐบาลในอดีตมีไม่มากทำให้มีแนวคิดว่า ยิ่งมีเงินคงคลังมากเท่าใดก็ยิ่งดี เงินคงคลังจึงมีสถานะเป็นเงินสะสมของรัฐบาลที่เหลือจากการใช้งบประมาณรายจ่ายในปีก่อนๆ สะสมไว้เพื่อเป็นเงินสำรองเพื่อใช้จ่ายยามจำเป็น[1] แต่ในปัจจุบันการอธิบายเงินคงคลังในลักษณะนี้ไม่ได้รับความนิยมแล้ว เนื่องจากรัฐส่วนใหญ่ในปัจจุบันลดความสำคัญเกี่ยวกับการสะสมเงินเหลือจ่ายไว้เป็นเงินสำรอง[2]

“เงินคงคลัง” ในปัจจุบันอยู่ในฐานะเป็น Treasury Balance โดยหมายถึงเงินที่รัฐบาลมีอยู่และใช้หมุนเวียนจ่ายอยู่ทุกวัน[3] ซึ่งเป็นการอธิบายเงินคงคลังในฐานะการบริหารเงินสด (และสิ่งที่ใกล้เคียงเงินสด) ที่รัฐมีไว้ใช้จ่ายในการดำเนินงานของรัฐ โดยเป็นตัวเลขของปริมาณเงินที่รัฐบาลมีอยู่ในคลัง ณ ขณะใดขณะหนึ่ง[4]

เงินคงคลัง

ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปี = เงินคงคลังเมื่อต้นปี + รายได้ของรัฐบาล + เงินกู้ของรัฐบาล + รายรับเงินนอกงบประมาณ – รายจ่ายเงินในงบประมาณ – รายจ่ายเงินนอกงบประมาณ

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (2555)

ส่วนประกอบของเงินคงคลังประกอบไปด้วยเงินสดและสิ่งที่ใกล้เคียงเงินสด ได้แก่ (1) เงินคงคลัง ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย (2) เงินสด ณ สำนักงานคลังจังหวัด/อำเภอ (3) ธนบัตร/เหรียญกษาปณ์ ณ กรมธนารักษ์ (4) เงินคงคลังระหว่างทาง (5) เงินฝากที่ธนาคารกรุงไทย[5] ซึ่งเป็นรายการตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นเงินรายได้แผ่นที่รัฐบาลรับไว้โดยไม่มีข้อผูกพันที่ต้องจ่าย และเงินที่รัฐบาลรับไว้โดยมีข้อผูกพันต้องจ่าย[6]

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเงินคงคลัง

ดังกล่าวมาแล้วว่า “เงินคงคลัง” คือ ปริมาณเงินสด (และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน) ที่รัฐบาลถืออยู่ในเวลาหนึ่ง  ฉะนั้น เงินคงคลังจึงไม่ได้สะท้อนถึงความมั่นคงทางการคลังของประเทศ การมีเงินคงคลังมากจึงไม่ได้สะท้อนว่า ประเทศไทยมีความมั่นคงทางการคลังมากเช่นกัน นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เคยกล่าวว่า “…สมมติว่าอยากให้มีเงินคงคลังเยอะๆ ก็ไปกู้มาเยอะๆ…”[7] สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเงินคงคลัง

ในอดีตที่ผ่านมาอาจจะมีข่าวคราวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ว่า นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทยจะนำตัวเลขเงินคงคลังมาแถลงให้สื่อมวลชนทราบ หรือนำมากล่าวอ้างในโอกาสต่างๆ ในเชิงว่าเสถียรภาพของการคลังประเทศชาติกำลังดีเพราะมีเงินเก็บสะสมไว้มาก เพื่อใช้เป็นเงินสำรองที่ใช้ในยามจำเป็น

เนื่องจากเงินคงคลังที่อยู่ในฐานะเงินออม (เงินคงคลังเมื่อต้นปี) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินคลังทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ตั้งข้อสังเกตว่าการอธิบายในลักษณะนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เนื่องจากระดับของเงินคงคลังขึ้นอยู่กับการรับจ่ายเงินของรัฐบาล

ในขณะเดียวกันเสถียรภาพทางการคลังของรัฐบาล แต่ควรพิจารณาถึงข้อผูกพันในการจ่ายเงินของรัฐบาลด้วย[8] ว่าในเวลานั้นมีภาระผูกพันในลักษณะใดบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะนำไปสู่การขาดดุลทางการคลังของประเทศจากการก่อหนี้สาธารณะในสัดส่วนที่สูงจากการกู้เงินไปใช้ในเรื่องที่ไม่จำเป็น ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางการคลังที่แท้จริง

เราจะใช้เงินคงคลังในบริบทไหน : การนำเงินคงคลังมาใช้

ความสำคัญของเงินคงคลัง คือ การทำหน้าที่เป็นบัญชีการเงินของรัฐบาล[9] โดยทำหน้าที่เป็นบัญชีเงินขาข้าและบัญชีเงินขาจ่ายตามที่กฎหมายกำหนดในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม พระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พระราชกำหนดเฉพาะที่ออกตามกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ[10] โดยการนำเงินคงคลังไปใช้สามารถเอาไปใช้ได้ใน 5 ลักษณะ ดังนี้[11]

  1. รายการจ่ายที่มีการอนุญาตให้จ่ายเงินได้แล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่เงินที่ตั้งไว้มีจำนวนไม่พอจ่าย หรือพฤติการณ์เกิดขึ้นให้มีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว
  2. รายการจ่ายตามกฎหมายกำหนดให้ต้องจ่ายเงินเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายนั้นๆ และมีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว
  3. รายการจ่ายตามข้อผูกพันกับรัฐบาลต่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่กระทำให้ต้องจ่ายเงินและมีความจำเป็นต้องจ่ายโดยเร็ว
  4. รายการจ่ายเพื่อซื้อคืนหรือไถ่ถอนพันธบัตรของรัฐบาล หรือตราสารเงินกู้ของกระทรวงการคลัง หรือชำระหนี้ตามสัญญากู้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้กู้ ตามจำนวนที่รัฐบาลเห็นสมควร
  5. รายการจ่ายเพื่อซื้อเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรของรัฐบาลต่างประเทศหรือหลักทรัพย์ที่มั่นคงในต่างประเทศที่ไม่ใช่หุ้น ในสกุลเงินตราที่ต้องชำระหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และในวงเงินไม่เกินจำนวนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการชำระหนี้เมื่อถึงกำหนด

จากลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเงินคงคลังทำหน้าที่เป็นตัวช่วยสร้างสภาพคล่องทางการคลังให้กับรัฐบาลในการทำกิจกรรมทางการคลังต่างๆ โดยนำเงินจากบัญชีเงินคงคลังมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย[12] หรือกำหนดให้ใช้ไปพลางก่อนระหว่างที่ยังไม่มีงบประมาณรายจ่ายประจำปีในรายการที่รัฐบาลต้องการดำเนินการ[13]

ตามกฎหมายกำหนดให้เมื่อมีการจ่ายเงินทั้ง 5 รายการดังกล่าวไปแล้วจะต้องตั้งเงินรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่าย หรือกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีถัดไป[14]

ปัญหาของการนำเงินคงคลังมาใช้

ปัญหาของการนำเงินคงคลังมาใช้นั้นไม่ได้อยู่ที่ว่า ระดับเงินคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่แบบแต่ก่อน แต่ปัญหาสำคัญของการนำเงินคงคลังไปใช้อยู่ที่การใช้ในสถานการณ์ที่จริงๆ แล้วควรจะครอบคลุมอยู่ในรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี ดังเช่นในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 ก็คือ การตั้งรายการชดใช้เงินคงคลังจำนวน 118,361,130,500 บาท

ในความเป็นจริงเงินคงคลังเป็นเงินที่ช่วยเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายของรัฐบาลในกรณีที่เงินงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอจะเอาไปใช้กับเรื่องที่รัฐบาลจะทำ ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า ในกรณีที่รัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงหรือจัดสรรงบประมาณไม่ตรงกับความต้องการใช้งบประมาณ ทำให้รัฐบาลต้องนำเงินคงคลังมาใช้แทน

ซึ่งในกรณีของรายการชดใช้เงินคงคลังในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2567 นี้ถูกเอาไปชดใช้เงินเดือนบุคลากรและบำเหน็จบำนาญ ทั้งๆ ที่งบประมาณส่วนนี้รัฐบาลน่าจะสามารถคาดหมายปริมาณของเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ แต่กลายเป็นว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลที่แล้วตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง จึงทำให้ต้องนำเงินคงคลังมาใช้เพื่อจ่ายไปพลางก่อนแล้วจึงค่อยมาจ่ายคืนในภายหลัง[15]

สภาพปัญหานี้ทำให้เกิดเรื่องตามมา 2 ประการ คือ ประการแรก ตัวเลขค่าใช้จ่าย (เงินเดือนบุคลากรและบำเหน็จบำนาญ) ของการใช้จ่ายจริงของรัฐบาลไม่ถูกรับรู้ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ ประการที่สองการต้องคอยตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดเชยเงินคงคลังทำให้เกิดข้อจำกัดในการตั้งงบประมาณ และทำให้รัฐบาลมีพื้นที่ในการนำงบประมาณไปใช้จำกัดลง (รายการชดใช้เงินคงคลังมากเป็นอันดับ 3 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี)

สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นซ้ำได้เช่นกัน เนื่องจากการจัดทำงบประมาณของประเทศไทยในปัจจุบันมีข้อจำกัดค่อนข้างมากเนื่องจากในวงเงินงบประมาณของประเทศจำนวน 3,480,000,000,000 บาท รัฐบาลต้องนำงบประมาณไปใช้กับรายการใช้จ่ายที่มีลักษณะเป็นการใช้จ่ายตามสิทธิ ค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพัน และค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐาน ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายประจำที่รัฐบาลต้องจ่าย ทำให้รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านงบประมาณสำหรับการดำเนินนโยบายของตัวเอง ทำให้รัฐบาลอาจจะตั้งงบประมาณไว้ต้องตั้งงบประมาณไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อให้มีการตั้งรายการเอาไว้ในงบประมาณแล้วนำเงินคงคลังมาใช้ในส่วนที่ขาดไป

กล่าวโดยสรุป เงินคงคลังนั้นไม่ได้เท่ากับเงินสำรองของประเทศ แต่หมายถึงเงินสด (และสิ่งที่คล้ายคลึงกัน) ในมือของรัฐบาล การใช้จ่ายเงินคงคลังจึงไม่เท่ากับการนำเงินสำรองของประเทศออกมาใช้ แต่เป็นการจ่ายเงินตามปกติในการบริหารราชการของรัฐบาล การนำเสนอข้อมูลโดยเอาตัวเลขของสัดส่วนเงินคงคลังออกมานำเสนอเพื่อแสดงความมั่นคงทางการคลังจึงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง


เชิงอรรถ

[1] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, “เงินคงคลัง,” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ชวนชื่น นิติทัณฑ์ประภาศ, (กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟันนี่พับบลิชชิ่ง, 2533), 91.

[2] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, “อันว่าเงินคงคลังนั้นเป็นฉันใด,” (2548) วารสารการงบประมาณ 2 (5) 7:9.

[3] เพิ่งอ้าง, 14.

[4] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, เงินคงคลังในระบบเศรษฐกิจไทย, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2528), 7.

[5] พรชัย ฐีระเวช, “โครงการวิจัยเรื่อง การศึกษาระดับเงินคงคลังที่เหมาะสม,” (รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์เสนอต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง, 2555), 34.

[6] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 95.

[7] เอกพล บรรลือ, “เงินคงคลังที่หายไปสะท้อนอะไร?,” The Momentum, 7 กุมภาพันธ์ 2560 [Online], เข้าถึงเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2567, เข้าถึงจาก https://themomentum.co/เงินคงคลังที่หายไปสะท้/.

[8] อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, 86 และ 97.

[9] รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 4, 32.

[10] ณัฐพงศ์ พันธุ์ไชย, “เงินคงคลัง,” สภาผู้แทนราษฎร [Online], เข้าถึงเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2567, เข้าถึงจาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=29451.

[11] มาตรา 7 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[12] มาตรา 7 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[13] มาตรา 6 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[14] มาตรา 6 และมาตรา 7 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491.

[15] ThaiPBS, “ศิริกัญญาเปิดใต้พรมงบฯ รัฐบาลเศรษฐาหลายเรื่องต้องจ่าย แต่ไม่ได้ตั้งงบฯ,” ThaiPBS 4 มกราคม 2567 [Online], เข้าถึงเมื่อ 4 มกราคม 2567, เข้าถึงจาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/335614.

ลดอุปสรรค ผลักดัน ร่าง ก.ม.ประชาชนผ่านสภาฯ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง ปิยพร ประสงค์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ นักวิจัยอาุวโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจำนวน 4 ฉบับที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติรับหลักการเมื่อไม่นานมานี้ หนึ่งในสี่ฉบับนั้นมีร่าง พ.ร.บ.ที่ภาคประชาชนเป็นผู้เสนอ นำโดยคุณอรรณว์ ชุมาพร นักกิจกรรมเพื่อความหลากหลายทางเพศจากเครือข่ายภาคีสีรุ้งและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 11,611 คน

การรับหลักการนี้เป็นก้าวสำคัญของความสำเร็จในการออกกฎหมายที่มาจากความต้องการประชาชนตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญฯรับรองไว้ อย่างไรก็ตามหากย้อนไปในสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ผ่านมา แม้จะมีกฎหมายที่เสนอโดยประชาชนกว่า 86 ฉบับแต่ผ่านการพิจารณาของสภาฯเพียง 1 ฉบับเท่านั้นนั่นคือ ร่าง พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่…) พ.ศ.. ร่างนี้มีความคล้ายกับร่างสมรสเท่าเทียมในแง่ที่มีร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีเสนอควบคู่กันมาด้วย จึงได้รับความสนใจและผ่านสภาฯ มาได้

จำนวนของร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณานี้ สะท้อนความเป็นจริงที่ว่ากระบวนการและขั้นตอนของการเสนอกฎหมายโดยประชาชนยังคงมีอุปสรรค แม้ว่า “หัวใจ” ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะให้ความสำคัญกับ “ประชาชน” ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยจึงมีการออกแบบกระบวนการต่างๆให้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้นแล้วก็ตาม

เช่นที่ผ่านมา รัฐไทยพยายามเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในออกกฎหมายอย่างการเปิดให้ประชาชนเสนอกฎหมายและการรับฟังความคิดเห็น เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงร่างกฎหมายที่ประชาชนได้ร่วมกันเสนอกลับผ่านออกมาเป็นกฎหมายน้อยมากเมื่อเทียบกับกฎหมายของคณะรัฐมนตรี โดยอุปสรรคที่ทำให้ร่างกฎหมายของประชาชนผ่านสภาจำนวนน้อยมี 2 ปัจจัย   

ปัจจัยแรกคือ “นโยบาย” ที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่าให้ประชาชนสามารถเสนอกฎหมายบางเรื่องเท่านั้น ถ้านอกเหนือไปจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้จะถูกปัดตก และหากเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินถ้านายกรัฐมนตรีไม่รับรองก็ไม่สามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ รวมไปถึงในกรณีที่ร่างกฎหมายที่ไม่ตรงกับนโยบายที่รัฐบาลต้องการผลักดันก็อาจทำให้ไม่ผ่านการโหวตในสภาฯ

ตัวอย่างกรณีนี้ เช่น พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งคสช.ที่กระทบสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงแทรกแซงกฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ป่าไม้ และผังเมืองในช่วงที่คสช.เข้ามาบริหารประเทศซึ่งถ้ากฎหมายฉบับนี้ผ่านจะทำให้เกิดการทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของคสช.ใหม่    

หนทางที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้อง “รื้อ” กระบวนทัศน์ใหม่ในระดับนโยบายและแก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนเข้าไปมีพื้นที่ในกระบวนการออกกฎหมายมากขึ้น   

อุปสรรคอีกปัจจัยหนึ่ง คือกระบวนการเสนอและกลั่นกรองกฎหมายเข้าสู่สภาฯในชั้นของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าในปัจจุบันสำนักงานฯจะพยายามอำนวยความสะดวกโดยทำระบบการเข้าชื่อเสนอกฎหมายรองรับประชาชนเอาไว้ แต่การใช้งานในปัจจุบันยังเป็นเพียงการติดตามสถานะของการเสนอกฎหมายมากกว่า ในขณะที่ประชาชนยังคงต้องรวบรวมรายชื่อเพื่อทำแบบฟอร์มเอกสารเสนอต่อสำนักงานฯเช่นเดิม

ดังนั้น ควรมีการพัฒนาระบบให้อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริงและระบบดังกล่าวควรทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงผู้ที่มีความสนใจในประเด็นคล้ายๆกันให้เข้ามาลงชื่อเพื่อสนับสนุนให้ร่างกฎหมายดังกล่าวไปถึงผู้แทนของประชาชนได้

อีกปัญหาหนึ่งของการเสนอกฎหมายคือ ประชาชนบางส่วนอาจมีข้อจำกัดด้านความรู้และไม่เข้าใจความซับซ้อนของกฎหมายแต่มีความคิดความต้องการที่จะเสนอหรือแก้ไขกฎหมาย ซึ่งแตกต่างกับรัฐบาลที่มีฝ่ายกฎหมายและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นนักกฎหมายคอยยกร่างและพัฒนากฎหมายให้ก่อนเสนอสู่สภาฯ

อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้โดยสำนักงานฯมีหน้าที่ช่วยยกร่างกฎหมายให้กับประชาชนภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด แต่ก็ยังไม่สะดวกเท่าที่ควรเนื่องจากประชาชนต้องยื่นคำขอพร้อมเอกสารประกอบด้วยตนเองผ่านไปรษณีย์หรืออีเมล ได้แก่ ร่างกฎหมาย บันทึกหลักการ และเหตุผล และบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างกฎหมาย

เทียบกับกรณีของสิงคโปร์มีการจัดทำระบบการเสนอกฎหมายให้อยู่ในรูปแบบที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ตั้งแต่ขั้นตอนการเสนอแนวคิดเสมือนการตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ดจุดประกายให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำปัญหานี้ไปร่างหรือแก้ไขกฎหมาย และดึงประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในขั้นตอนต่อๆไป ผ่านการรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้ได้ร่างกฎหมายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากที่สุด

ดังนั้น สำนักงานเลขาการสภาฯ จึงควรปรับบทบาทมาเป็นคนกลางในการเป็นแพลตฟอร์มให้คนมาร่วมกันลงชื่อเสนอกฎหมายและทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการช่วยคิดช่วยทำให้ร่างกฎหมายเกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเริ่มเสนอแนะแนวคิดโดยที่ยังไม่ต้องมีร่างกฎหมายหรือเริ่มรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมาย

ส่วนกระบวนการกลั่นกรองและตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของร่างกฎหมายที่มีอยู่เดิมของไทยนั้น ก็เพื่อส่งให้ประธานสภาฯ พิจารณาเพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของสภาฯ แต่กระบวนการกลั่นกรองกฎหมายนี้ไม่มีกรอบเวลาดำเนินการที่ชัดเจน รวมไปถึงกลไกสภาฯที่ทำงานตามสมัยประชุมของรัฐสภาซึ่งมีวาระประชุมหลายเรื่องต้องพิจารณาทำให้กฎหมายบางฉบับต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะได้เข้าสู่การพิจารณา

ร่างกฎหมายที่รอนานที่สุดคือร่าง พ.ร.บ.สหกรณ์ ซึ่งเสนอตั้งแต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 1,291 วันกว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ หรือในกรณีร่างกฎหมายที่เสนอภายในสมัยของสภาฯ ชุดที่ผ่านมาคือ ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยก็ใช้เวลากว่า 909 วันในการรอพิจารณา

การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรมีการปรับขั้นตอนการกลั่นกรองให้ชัดเจนว่า กฎหมายฉบับหนึ่งจะมีกรอบเวลาในการกลั่นกรองนานเพียงใด และควรจะต้องมีการกำหนดโควตาให้ชัดเจนว่า ร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอควรมีสัดส่วนในการเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ใกล้เคียงกับร่างของคณะรัฐมนตรีและส.ส.เพื่อให้ร่างกฎหมายของประชาชนไม่ตกไปเมื่อพ้นอายุของสภาฯ

สิ่งสำคัญที่ต้องรัฐต้องลงมือทำคือ การรื้อกระบวนทัศน์แบบเดิมที่ยังจำกัดบทบาทของประชาชนในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเสนอกฎหมายและปรับกระบวนการเสนอกฎหมายของประชาชนให้สะดวก โดยมีขั้นตอนกระบวนการที่ชัดเจนใช้ระยะเวลาที่น้อยลงเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง

จะช่วยแรงงานยุคใหม่ รัฐควรต้องปรับตัว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

“ธุรกิจแพลตฟอร์ม” เป็นการประกอบธุรกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากการประกอบธุรกิจที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากสั่งสมและพัฒนาเทคโนโลยีหลายด้านๆ เข้าด้วยกัน วัตถุประสงค์ของการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มคือ การเข้ามาแก้ไขปัญหาพื้นฐานในชีวิตประจำวันของมนุษย์ให้สะดวกสบายมากขึ้น อาทิ การเดินทาง โดยเข้ามาช่วยเติมเต็มและแก้ไขปัญหาการเข้าถึงรถโดยสารสาธารณะหรือการไม่มียานยนต์ขับขี่ส่วนตัว หรือการส่งอาหาร ซึ่งแต่เดิมไม่ใช่ทุกร้านอาหารจะมีบริการส่งอาหาร

อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนำมาสู่ปัญหาใหม่ๆ ในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน ด้วยลักษณะของธุรกิจแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานและความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีอดีต ทำให้กรอบทางกฎหมายที่เคยใช้ในการคุ้มครองแรงงานอาจจะไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ในขณะเดียวกันแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มก็ได้รับผลกระทบจากการมีอำนาจทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าสู่กระบวนการต่อรองกับธุรกิจแพลตฟอร์มได้เหมือนกับแรงงานในอดีต

มิเพียงเท่านี้บทบาทของรัฐในการเข้ามาแทรกแซงเพื่อที่จะช่วยเหลือและรักษาประโยชน์ของแรงงานกลุ่มนี้ทำได้จำกัด เพราะลักษณะของธุรกิจที่ซับซ้อนและมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้รัฐไม่สามารถที่จะตามธุรกิจแพลตฟอร์มเหล่านี้ทันและสร้างมาตรการเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิของแรงงานแพลตฟอร์มได้

บทความนี้ต้องการจะนำเสนอรายละเอียดของสภาพปัญหาดังกล่าว โดยมุ่งเน้นไปที่แรงงานในแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นหลัก พร้อมทั้งให้แนวทางแก้ไขปัญหาเบื้องต้นกับรัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ลักษณะธุรกิจที่ผิดแปลกจากอดีต

ในอดีตเวลาเราต้องการสั่งพิซซ่าจากร้าน เราอาจจะโทรศัพท์ไปที่ Call Center โดยตรง (ถ้าไม่ได้สั่งที่ร้าน) และร้านพิซซ่าก็จะให้พนักงานขับรถมาส่งอาหาร ลักษณะของการขายสินค้าจึงเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างร้านอาหารกับผู้บริโภคโดยตรง ยอดขายและความสามารถในการส่งสินค้าขึ้นอยู่กับโปรโมชันและศักยภาพในการส่งสินค้าของร้านอาหารโดยตรง

แต่ลักษณะของการประกอบธุรกิจนั้นได้เปลี่ยนไปเมื่อธุรกิจแพลตฟอร์มมาถึง แพลตฟอร์มเข้ามาทำหน้าที่เป็นบุคคลที่สาม ในการจับคู่ความต้องการระหว่างผู้บริโภคและ Partner ซึ่งได้แก่ ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร สภาพดังกล่าวทำให้เกิดความสัมพันธ์ 3 ฝ่ายระหว่างผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหาร

ทั้ง 3 ฝ่ายนี้ถูกเชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มเข้ามาเป็นตัวกลางในการจับคู่ธุรกรรม กล่าวให้ง่ายขึ้นคือ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดการความต้องกลางของผู้บริโภคสินค้า ร้านอาหารในการขายของ และคนขับรถส่งอาหารในการหารายได้จากการทำงาน

สิ่งนี้ทำให้เกิดสภาพการดำเนินธุรกิจแพลตฟอร์มแตกต่างจากอดีตที่โดยทั่วไปแล้วเป็นตลาดด้านเดียว (Single-sided Market) กล่าวคือเป็นตลาดระหว่างผู้บริโภคกับผู้ขายสินค้า แต่ในกรณีของแพลตฟอร์มที่มีทั้งผู้บริโภค ร้านอาหาร และคนขับรถส่งอาหารลักษณะของตลาดการประกอบธุรกิจจึงกลายเป็นตลาดหลายด้าน (Multi-sided Market) ด้วยกัน เป็นความสัมพันธ์หลายคู่ที่เชื่อมโยงกันโดยมีแพลตฟอร์มอยู่ตรงกลางของความสัมพันธ์เหล่านั้น ดังปรากฏตามภาพประกอบข้างท้ายนี้

ที่มา: FourWeekMBA

ความสัมพันธ์แบบตลาดหลายด้านนี้ ได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของอำนาจทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากอำนาจทางเศรษฐกิจแบบเดิมคือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

อำนาจแพลตฟอร์มเหนือการควบคุมแบบเดิม

อำนาจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแบบเดิมในอดีตคือ การมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกรรมหลายฝ่ายในตลาดหลายด้านทำให้แพลตฟอร์มเกิดอำนาจใหม่คือ อำนาจของแพลตฟอร์ม

การเกิดขึ้นของอำนาจแพลตฟอร์มนี้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่

ประการแรก ผลกระทบเชิงเครือข่าย (Network effect) ที่เกิดจากความสัมพันธ์หลายฝ่ายบนธุรกรรมแพลตฟอร์ม เมื่อแพลตฟอร์มสามารถดึงเอาผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมเข้ามาอยู่ภายใต้ระบบนิเวศเดียวกัน ทำให้ลักษณะการทำงานของตลาดแพลตฟอร์มแตกต่างธุรกิจดั้งเดิมโดยเป็นตลาดหลายด้าน (Muti-sided market) ตลาดแต่ละด้านจะส่งผลเชื่อมโยงระหว่างกันและกัน กล่าวคือ เมื่อตลาดด้านผู้บริโภคเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ตลาดด้านผู้ขายสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะทำให้เกิดความอยากขายสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในส่วนของตลาดด้านคนขับรถส่งอาหารก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกันจากการเล็งเห็นว่ามีงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้เรียกว่าผลกระทบเชิงเครือข่ายที่เกิดจากผลกระทบในตลาดหนึ่งไปสู่อีกตลาดหนึ่ง

ประการที่สอง ความสามารถในการสกัดกั้น ควบคุม และวิเคราะห์ข้อมูล โดยความสามารถนี้เกิดขึ้นมาจากการสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าปกติ ซึ่งในอดีตการเก็บข้อมูลเพื่อรู้จักตัวผู้บริโภคกระทำผ่านการสำรวจความต้องการทางการตลาด แต่การที่แพลตฟอร์มสามารถเก็บรวบรวมคนจำนวนมาก และเก็บข้อมูลได้ในระดับพฤติกรรมแบบ Real time ทำให้แพลตฟอร์มมีศักยภาพในการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้วิเคราะห์ รวมถึงควบคุมพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้ขายสินค้า และคนขับรถขนส่งอาหารบนแพลตฟอร์ม ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการเฉพาะรายบุคคล และผ่านการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจกับผู้ขายสินค้าและคนส่งอาหาร รวมถึงนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้สร้างเงื่อนไขในการใช้บริการ

ประการที่สาม ต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม เนื่องจากการเปลี่ยนไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ ๆ นั้นไม่ใช่เพียงความไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์ใช้งานของแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน แต่การย้ายไปสู่แพลตฟอร์มใหม่มีต้นทุนที่มากกว่านั้น ในแง่หนึ่งคือผลประโยชน์ในเชิงของชื่อเสียง ที่ได้รับจากการให้คะแนนรีวิวสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์ม รวมถึงการสร้างระบบผลประโยชน์ตอบแทนในระบบบิดภายใต้แพลตฟอร์มหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถโอนย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้ อาทิ คะแนนสะสม และเครดิตเงินคืน สิ่งนี้กระทบต่อคนส่งอาหารในฐานะแรงงานในธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ เพราะเท่ากับว่าแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการโยกย้ายแพลตฟอร์ม เพราะแรงงานจะสูญเสียคะแนนจากการรีวิว และแม้ว่าในทางปฏิบัติเราจะเห็นว่าแรงงานอาจจะทำงานให้มากกว่าหนึ่งแพลตฟอร์มในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งนี้มีข้อจำกัดและไม่ได้สะดวกอย่างที่เห็นซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

ไม่เพียงแต่อำนาจของแพลตฟอร์มเท่านั้น อีกสิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มแตกต่างจากธุรกิจแบบดั้งเดิมและกระทบต่อความสัมพันธ์ในทางแรงงานคือ การอยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ธุรกิจแพลตฟอร์มอาศัยช่องว่างของกฎหมายที่รองรับความสัมพันธ์ของแรงงานแบบเดิม ทำเกิดภาวะสุญญากาศในการคุ้มครองแรงงานและคนงาน กล่าวคือ กฎหมายแรงงานเดิมออกแบบขึ้นมาเพื่อรองรับความสัมพันธ์ในทางแรงงานในสถานประกอบการ และสัญญาจ้างแรงงานแบบเดิมที่ไม่ยืดหยุ่น

ในขณะเดียวกันอำนาจของแพลตฟอร์มนั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจทางการเมืองด้วยเช่นกัน จากงานวิจัยของของโจอันนา มาซูร์ และมาร์ซิน เซราฟิน ในปี ค.ศ. 2022 ได้ระบุว่าในกรณีของธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้นหากธุรกิจเหล่านี้กระทำการใดๆ ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสังคม รัฐอาจจะดำเนินการปิดกิจการนั้นเสีย หรือพยายามเข้าไปควบคุมผ่านการดำเนินการลงโทษหรือปรับเงิน แต่ธุรกิจแพลตฟอร์มนั้น แตกต่างออกไปผลกระทบเชิงโครงข่ายไม่ได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีอำนาจทางทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันผลกระทบเชิงโครงข่ายได้ ทำให้แพลตฟอร์มมีไพ่เหนือกว่ารัฐไปด้วย ผ่านการที่แพลตฟอร์มเข้าถึงผู้บริโภคและผู้ให้บริการร่วมจำนวนมาก ซึ่งบรรดาคนเหล่านี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเป็นฐานคะแนนเสียงของรัฐบาล ทำให้เมื่อรัฐพยายามเข้ามากำกับดูแลแพลตฟอร์ม อาจทำให้เกิดการต่อต้านจากบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้บริโภคของแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้ รัฐยังมีข้อจำกัดในการเข้ามาควบคุมการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม เนื่องจากปัญหาความไม่สมมาตรกันของข้อมูลของรัฐกับธุรกิจแพลตฟอร์ม เพราะว่าลักษณะของการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  เนื่องมาจากปัจจัยที่สลับซับซ้อนในการวิเคราะห์และอัลกอริธึมภายหลังระบบ ซึ่งรัฐไม่สามารถเข้าใจข้อมูลดังกล่าวได้ จากการเข้าไม่ถึงข้อมูลที่อยู่ในความครอบครองของแพลตฟอร์ม

ผลกระทบของแพลตฟอร์มต่อแรงงาน

ผลกระทบของธุรกิจแพลตฟอร์มต่อแรงงานนั้น ส่งผลสำคัญมากๆ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดมาจากการที่กฎหมายไม่สามารถเข้าไปควบคุมและกำกับกิจกรรมของแพลตฟอร์มได้

การที่กฎหมายปัจจุบันไม่คุ้มครองในแรงงานในมิติต่างๆ ได้แก่

ประการแรก สัญญาจ้างแบบยืดหยุ่น การไม่นำความสัมพันธ์แบบการจ้างงานมาใช้ ทำให้ลักษณะของการทำงานของแรงงานมีความไม่มั่นคง นายจ้างมีอำนาจต่อรองและสามารถยกเลิกสัญญาได้ตลอดเวลา

ประการที่สอง สภาพการทำงานที่ไม่มั่นคง และการถ่ายโอนความเสี่ยงด้านต้นทุนของการทำงานไปยังแรงงาน สภาพการทำงานที่พ้นไปจากสัญญาจ้าง ทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงานภายใต้แพลตฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานแรงงานทั่วไป

ประการที่สาม การไม่มีอำนาจต่อรองที่เท่าเทียมกัน ผลจากการไม่มีสถานะทางสัญญาจ้างแรงงานและการมีความสัมพันธ์ทางอำนาจที่เหลื่อมล้ำกัน ส่งผลให้แรงงานแพลตฟอร์มต่าง ๆ นั้นจะมีระบบการจัดสรรงานและโอกาสในการทำงานให้กับแรงงานไม่เท่ากัน ในขณะเดียวกันแรงงานมีต้นทุนที่สูงในการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม แม้ว่าในทางปฏิบัติจะสามารถย้ายแพลตฟอร์มทำงานได้ แต่การย้ายแพลตฟอร์มก็มาพร้อมข้อจำกัด เนื่องจากแพลตฟอร์มสามารถตั้งเงื่อนไขให้ในกรณีที่ไม่ได้รับงานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบเป็นเวลานาน  อาจทำให้ถูกปฏิเสธการเข้าใช้งานและถูกบล็อกออกจากระบบ

ประการที่สี่ การตั้งเงื่อนไขให้แรงงานแพลตฟอร์มสะสมทุนผ่านชื่อเสียง การสะสมอิทธิพลของแรงงานแพลตฟอร์ม กระทำผ่านการสะสมชื่อเสียงจากการรีวิวการทำงาน เงื่อนไขเหล่านี้ถูกนำมากำหนดเป็นความดีความชอบในการทำงาน โดยแรงงานได้ประโยชน์จากการอยู่ในระบบหนึ่งๆ แต่ไม่สามารถย้ายชื่อเสียงหรือผลงานของตัวเองออกไปยังระบบอื่นๆ ได้ โดยเมื่อออกมาจากระบบแล้ว ชื่อเสียงดังกล่าวแทบไม่มีประโยชน์ต่อแรงงานเลย

รัฐจะช่วยแรงงานได้อย่างไร

การแก้ไขปัญหานี้รัฐต้องเข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมายแรงงานและสัญญาจ้าง การแก้ไขกฎหมายแรงงานให้ครอบคลุมถึงแรงงานแพลตฟอร์มในเรื่องชั่วโมงการทำงาน การมีหลักประกันความเสี่ยงภัยในการทำงาน และความคุ้มครองที่เกิดขึ้นจากการจ่ายเงินทดแทน เพื่อให้แรงงานได้รับความคุ้มครองจากที่ไม่เคยได้รับการคุ้มครองมาก่อน รวมถึงการกำหนดให้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้าในการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับการทำงานล่วงหน้าเพื่อให้แรงงานแพลตฟอร์มสามารถตัดสินใจได้

การเข้ามาแทรกแซงนิติสัมพันธ์ในเรื่องนี้ โดยเบื้องต้นช่วยให้แรงงานสามารถที่จะได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การดำเนินการกำกับกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม รัฐต้องเข้าไปดำเนินการมากกว่าการควบคุมธุรกิจในแบบเดิม


อ้างอิงจาก

  • Sebastian Wismer and Arno Rasek, “Market Definition in Multi-sided Markets,” OECD [Online], accessed 16 November 2023, from https://one.oecd.org/document/DAF/COMP/WD%282017%2933/FINAL/En/pdf#:~:text=As%20multi%2Dsided%20markets%20involve%20distinct%20groups%20of%20customers%2C%20there,market%20encompassing%20all%20customer%20groups
  • ธร ปิติดล, เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย: บทเรียนจากโครงการชุมชนนโยบายเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2564).
  • สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และคณะ, “รายงานฉบับสมบูรณ์การศึกษาผลกระทบและนำเสนอมาตรการในการกำกับดูแล Digital Platform ในประเทศไทย,” (รายวิจัยเสนอต่อสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ โดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), 2566).
  • เดือนเด่น นิคมบริรักษ์, “การผูกขาดกับความเหลื่อมล้ำในภาคธุรกิจ,” TDRI [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2013/05/A151_Chapter2.pdf
  • ธร ปีติดล, “เศรษฐกิจแพลตฟอร์มกับความท้าทายของเศรษฐกิจไทย (2): การผูกขาด การแข่งขัน และโจทย์ใหญ่ของการกำกับดูแล,” the 101.world [Online] สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2566, จาก https://www.the101.world/platform-econ-challenge-thai-2/
  • อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ และเกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร, แพลตฟอร์มอีโคโนมีและผลกระทบต่อแรงงานในภาคบริการ: กรณีศึกษาในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท, 2561).
  • Platform Revolution, “How digital platforms increase inequality,” Platform Thinking Labs [Online] accessed on 16 November 2022, from https://platformthinkinglabs.com/materials/how-digital-platforms-increase-inequality/
  • Joanna Mazur and Marcin Serafin, “Stalling the State: How Digital Platforms Contribute to and Profit From Delays in the Enforcement and Adoption of Regulations,” Comparative Political Studies, 56(1), 101-130, https://doi.org/10.1177/00104140221089651.

สุขสันต์วันเกิด 91 ปี รัฐธรรมนูญไทย: การเติบโต เปลี่ยนแปลง และเสื่อมโทรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยามในปี พ.ศ. 2475 ไม่ได้เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในการสถาปนาระบอบการปกครองประชาธิปไตยขึ้นมาแทนที่การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการปกครอง มาสู่อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชนชาวไทยเท่านั้น แต่นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้ว สิ่งที่ถูกสถาปนาขึ้นพร้อมๆ กันก็คือ การปกครองที่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และเป็นเอกสารทางการเมืองสำคัญที่กำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐทั้งหมด รวมถึงกำหนดรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ภายหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 วันดังกล่าวได้กลายมาเป็นวันรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมา ซึ่งนับจากวันนั้นจนถึงปีปัจจุบันนี้ การมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ได้ล่วงเลยมาแล้ว 91 ปีแล้ว บทความนี้จึงต้องการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทย ผ่านเรื่องราวของการเติบโต เปลี่ยนแปลง และเสื่อมโทรม

การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทย

นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ถูกประการใช้มาจนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วเป็นระยะเวลา 91 ปี (เกือบ 1 ชั่วอายุคน) เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอาจจะถือได้ว่า ประชาธิปไตยยังมีอายุน้อยอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยมาอย่างยาวนานแบบสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส แต่ก็ยังมีอายุมากกว่าประเทศเกิดใหม่ (เพิ่งได้รับเอกราช) อาทิ อินเดีย ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์

ส่วนญี่ปุ่นแม้จะไม่ใช่ประเทศเกิดใหม่ แต่รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ถูกยกร่างขึ้นใหม่เพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงปฏิรูปเมจิ (Meji restoration) ที่ใช้มาตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ. 1890 – 1947 โดยเป็นรัฐธรรมนูญแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1947 นี้เป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการวางระบบการเมืองการปกครองใหม่โดยประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลา 91 ปีที่ผ่านมารัฐธรรมนูญไทยไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เฉยๆ หากแต่มีการเติบโตของรัฐธรรมนูญไทย การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาล ซึ่งท้ายที่สุดมักจะลงเอยด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทน นับถึงปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ (ฉบับชั่วคราว 7 ฉบับ และฉบับถาวร 13 ฉบับ) การเติบโตของรัฐธรรมนูญไทยอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดได้ก็คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทย

การเพิ่มขึ้นของจำนวนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยสะท้อนอะไรให้กับเราบ้าง สิ่งที่ถูกสะท้อนออกมาจากจำนวนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนความสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก บริบทที่สังคมสนใจในแต่ละช่วงเวลา และประการที่สอง พลังภายในสังคมที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองในแต่ละช่วงเวลา

ในแง่ของบริบทที่สังคมสนใจในแต่ละช่วงเวลานั้น เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นตราสารทางการเมืองที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐและสิทธิและเสรีภาพของประชาชน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมสะท้อนกลายๆ คล้ายกับที่วรรณกรรมเรื่องหนึ่งสะท้อนว่าสังคมในเวลานั้นให้ความสำคัญกับเรื่องใด ในแง่นี้รัฐธรรมนูญก็สะท้อนให้เห็นว่าในเวลาที่มีการร่างรัฐธรรมนูญนั้นสังคมให้ความสำคัญกับเรื่องใด

ส่วนในแง่ของพลังภายในสังคมที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองในแต่ละช่วงเวลานั้นเป็นการมองลงไปลึกในอีกระดับหนึ่ง โดยมองไปว่าในช่วงเวลานั้น กลุ่มการเมืองภายในสังคมใดที่เข้าไปมีพลังในการผลักดันให้เกิดบทบัญญัติในเรื่องใดในรัฐธรรมนูญ

การเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญไทย

โดยทั่วไปแล้วบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะกำหนดบทบัญญัติพื้นฐาน 2 เรื่อง คือ เรื่องแรกคือ บทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐตามหลักการแบ่งแยกอำนาจคือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ และอีกเรื่องหนึ่งคือ บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งบทบัญญัติส่วนนี้เป็นการรับรองสิทธิของประชาชนที่มีอยู่และสามารถยกขึ้นนำมาใช้กับรัฐได้ บทบัญญัติดังกล่าวทั้งสองเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ในโลกมีร่วมกัน

นอกจากนี้ ดังที่กล่าวแล้ว เราจะเห็นได้ชัดเจนในบริบทของประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 91 ปี ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ (ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและรัฐธรรมนูญชั่วคราว) ซึ่งจำนวนดังกล่าวทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมากเป็นอันดับ 4 ของโลก

ด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญประเทศไทยมีอายุเฉลี่ยฉบับละ 4.5 ปี ทำให้เนื้อหาในรัฐธรรมนูญมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สาเหตุที่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ยุติบทบาทการใช้งานลงเป็นผลมาจากการรัฐประหาร

ทุกครั้งที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐธรรมนูญไทยมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 เรื่อง คือ การเพิ่มขึ้นของบทบัญญัติ หมวด หรือเนื้อหา และการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในของรัฐธรรมนูญ

เรื่องแรก การเพิ่มขึ้นของบทบัญญัติ หมวด หรือเนื้อหา ในกรณีนี้เป็นการที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้มีการเพิ่มเติมเนื้อหาเข้ามา โดยเพิ่มเติมจากเนื้อหาเดิมที่มีในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ตัวอย่างเช่น ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประเทศไทยไม่ได้มีการบัญญัติเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐหรือแนวนโยบายแห่งรัฐมาก่อน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่กำหนดหลักการและกรอบแนวทางชี้นำให้รัฐบาลไปตรากฎหมายดังกล่าว[1] แม้ว่าในเวลาต่อมารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยการนำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 มาใช้บังคับ แต่รัฐบาลไทยในเวลานั้นก็ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 โดยเพิ่มเติมหมวดเรื่องแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับหลังๆ ได้รับเอาแนวคิดนี้ไปบัญญัติไว้เช่นกัน[2] เว้นแต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญขนาดสั้นที่มีการตัดบทบัญญัติหลายเรื่องออกไป โดยมองว่ารัฐบาลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อาจไม่ตอบสนองต่อนโยบายที่จำเป็นต่อสังคม

เมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีความพยายามสร้างกลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาให้ใช้อำนาจส่วนหนึ่งจากรัฐธรรมนูญ อาทิ ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน โดยเป้าหมายของการสร้างองค์กรในลักษณะนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่ถูกมองว่ามีมาอย่างยาวนานในสังคมไทย

เรื่องที่สอง การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาภายในของรัฐธรรมนูญ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะมีเนื้อหาในเรื่องดังกล่าวบัญญัติไว้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าบทบัญญัติในลักษณะดังกล่าวจะคงอยู่แบบเดิมตลอด กล่าวคือ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับก่อนในเรื่องนั้นจะถูกนำมาบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญดังกล่าวอาจจะถูกบัญญัติไว้แตกต่างจากที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน

ในช่วงนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับหลังๆ ของประเทศไทยมีจำนวนมากกว่า 200 มาตรา ด้วยบริบทของสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไป  รัฐธรรมนูญจึงอาจจะมีเนื้อหาหรือหมวดหมู่ของบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้น

ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้มีการบัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นในรัฐธรรมนูญ การเกิดขึ้นของบทบัญญัติในมาตรานี้มาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังในสังคมที่เรียกร้องให้รัฐหันมาให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนามากขึ้นในฐานะศาสนาประจำชาติ แต่สุดท้ายกลุ่มพลังดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จในการผลักดันวาระดังกล่าวนี้  อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้รับรองหน้าที่ของรัฐในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ[3] บทบัญญัติในเรื่องนี้ยังดำรงอยู่ต่อไปในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จนกระทั่งมามีการเปลี่ยนแปลงในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทบัญญัติในเรื่องนี้ได้มีเนื้อหาเพิ่มเติมโดยระบุให้รัฐมีหน้าที่มากกว่าเดิม โดยเข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาท และป้องกันไม่ให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด รวมถึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการหรือกลไกดังกล่าว[4]

สาเหตุที่มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐในการส่งเสริมพระพุทธศาสนาเถรวาทที่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ นั้น ประกีรติ สัตสุต ให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนของกลุ่มพลังในสังคมที่มีอำนาจ รวมถึงการรักษาฐานที่มั่นของอำนาจของชนชั้นนำในสังคมไทย ดังจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมๆ กับการสร้างขบวนการของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายคณะสงฆ์ครั้งใหญ่ในการนำอำนาจในการแต่งตั้งพระสังฆราช และพระสังฆาธิการระดับสูงเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์[5]

การเปลี่ยนแปลงภายในรัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในโครงสร้างของบทบัญญัติ ด้วยการเพิ่มบทบัญญัติเรื่องใหม่เข้ามา แต่บ่อยครั้งการเปลี่ยนแปลงภายในของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญก็เกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงบทบาทหรือพลังในสังคม

การเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญไทย

รัฐธรรมนูญนั้นแตกต่างจากคน คนยิ่งมีอายุมากขึ้นศักยภาพและกำลังกายอาจจะลดลง แต่ระบอบรัฐธรรมนูญนั้นแตกต่างกัน ยิ่งการปกครองล่วงเลยเข้ามามีอายุเพิ่มมากขึ้นในความเป็นจริงแล้วระบอบการปกครองควรจะต้องได้มีการเรียนรู้มากขึ้นในการปรับตัวเข้าหาความท้าทายที่เกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ทว่า สิ่งนี้อาจจะไม่สามารถนำมาใช้อธิบายกับระบอบรัฐธรรมนูญไทยได้อย่างเต็มที่ เพราะตลอด 91 ปีของระบอบรัฐธรรมนูญของไทยนั้น รัฐธรรมนูญโดยส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยเพียง 4.5 ปีเท่านั้น และเกือบครึ่งหนึ่งของการปกครองประเทศไทยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและการปกครองประเทศภายใต้คณะรัฐประหาร

ความเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญไทยเป็นผลพวงมาจากการรัฐประหารและความพยายามนำเศษเสี้ยวของการรัฐประหารมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรเพื่อความต่อเนื่องจากการรัฐประหาร กลไกเหล่านี้โดยสภาพแล้วเป็นการขัดกับหลักการของรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นหรือเป็นอุดมคติของรัฐธรรมนูญ

ปรีดี พนมยงค์ ได้เคยอธิบายรัฐธรรมนูญอุดมคติว่าต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ รัฐธรรมนูญจะต้องเน้นให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวสอดคล้องกับหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ในหลักที่ 4 และหลักที่ 5[6] นอกจากนี้ ปรีดี พนมยงค์ ยังได้แสดงความเห็นอีกประการหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญที่ดีควรจะต้องสอดคล้องกลไกการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอีกด้วย[7]

ดังนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าอุดมคติของรัฐธรรมนูญในสายตาของปรีดี พนมยงค์ จะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ หลักความเสมอภาค หลักสิทธิและเสรีภาพ และหลักอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

ในเรื่องความเสมอภาคนั้น ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายว่า ความเสมอภาค (egalité) หรือความสมภาคเป็นสภาวะที่มนุษย์มีความเป็นอิสระของตนเองเสมอกับเพื่อนมนุษย์คนอื่น ความเสมอภาคในแง่มุมนี้ มุ่งเน้นเฉพาะความเสมอภาคทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่บุคคลมีสิทธิและหน้าที่ในกฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ  ไม่ใช่ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจที่จะมีทรัพย์สินมากเท่าเทียมกัน[8]

ในสายตาของปรีดี พนมยงค์ ความเสมอภาคตามกฎหมายจะต้องมีความเสมอภาคในสิทธิ กล่าวคือ การมีสิทธิได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายเดียวกัน ภายใต้องค์กรตุลาการเดียวกัน และไม่ได้รับสิทธิแตกต่างกันไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ในขณะเดียวกันบุคคลมีความเสมอภาคในหน้าที่ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ บุคคลมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมเหมือนกัน อาทิ หน้าที่ในการเสียภาษีอากร[9]

อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าภายหลังการรัฐประหารหลายครั้งที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะรับรองความชอบธรรมและนิรโทษกรรมการกระทำของคณะรัฐประหารเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้การกระทำของคณะรัฐประหารชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายแล้ว[10]

ส่วนในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ปรีดี พนมยงค์ ได้อธิบายว่า หลักความเป็นอิสระหรือเสรีภาพ (liberté) หมายถึงความเป็นอิสระที่บุคคลอาจจะทำการใดๆ ได้โดยไม่เป็นที่รบกวนละเมิดต่อสิทธิของบุคคลอื่น[11] โดยทั่วไปแล้วการรับรองสิทธิและเสรีภาพในที่นี้มีเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ อาทิ เสรีภาพในตัวบุคคล หมายถึง การที่มนุษย์มีอิสระในตัวเองในการกระทำเรื่องใดๆ เกี่ยวกับร่างกายของตัวเองได้ การดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐไปจับกุมคุมขังหรือจำกัดเสรีภาพของบุคคลจะต้องอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายเท่านั้น[12]

การรับรองสิทธิและเสรีภาพถูกทำให้แย่ลงภายหลังจากการรัฐประหาร ในช่วงรัฐประหารประชาชนออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านการรัฐประหารหรือออกมาชุมนุม แต่ด้วยผลของประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารได้กำหนดให้ดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ แม้ว่าบุคคลเหล่านี้จะใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ แม้ว่าจะเป็นการรับรองโดยรัฐธรรมนูญชั่วคราว อย่างไรก็ดี เมื่อคณะรัฐประหารพ้นจากอำนาจไป ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้น เพราะประกาศหรือคำสั่งดังกล่าวได้ถูกรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่อไปในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้การคุกคามสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวยังคงถูกเลือกปฏิบัติต่อไป ดังจะเห็นได้จากการที่ในช่วงมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังคงมีผู้ต้องโทษจากการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรัฐประหารต้องไปต่อสู้คดีต่อไปในศาลทหารตามประกาศหรือคำสั่ง คสช.

มิเพียงเท่านั้นปฏิบัติการของประกาศหรือคำสั่ง คสช. ยังมีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิหรือเข้าไปแทรกแซงการจัดสรรผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติหลายประการ อาทิ การยกเว้นเขตผังเมืองหรือการออกประกาศหรือคำสั่งเพื่ออำนวยความสะดวกในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สิ่งเหล่านี้เป็นการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายในสภาวะปกติที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน การที่รัฐธรรมนูญรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของเรื่องเหล่านี้ ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิเพื่อต่อสู้คดีหรือเรียกร้องให้รัฐชดเชยได้อย่างเต็มที่

ในเรื่องสุดท้ายที่เป็นอุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญตามแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ก็คือ การให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หัวใจสำคัญของการมีอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนก็คือ การยอมรับและรับรองให้ประชาชนเป็นที่มาของอำนาจองค์กรต่างๆ ภายในรัฐ ซึ่งองค์กรผู้ใช้อำนาจใดๆ ควรจะต้องมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยที่ยึดโยงอยู่กับประชาชน กล่าวคือ องค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐใดๆ ควรจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนให้เข้ามาสู่อำนาจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสมาชิกวุฒิสภานั้น มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. โดยคัดเลือกจากบุคคลในเครือข่ายของ คสช. ให้เข้ามาดำรงตำแหน่ง สภาพดังกล่าวทำให้หลายครั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ทำหน้าที่ตามเจตจำนงหรือความต้องการของประชาชนอย่างตรงไปตรงมา

การเสื่อมโทรมของรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการเปิดโอกาสให้มีการใช้ระบอบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแอบแฝงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทเป็นกฎหมายสูงสุดที่กำหนดความสัมพันธ์ขององค์กรที่ใช้อำนาจรัฐและกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน สภาพดังกล่าวทำให้บ่อยครั้งรัฐธรรมนูญไม่สะท้อนคุณค่าของประชาธิปไตย และในทางกลับกันรัฐธรรมนูญเอื้อให้เกิดผลร้ายที่ขัดขวางต่อขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งต่อต้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย อาทิ การที่สมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญหรือแม้แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะตีความให้การใช้อำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดกับรัฐธรรมนูญ

ดังจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบันระบอบรัฐธรรมนูญไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นผลมาจาการยกเลิกและประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่มากถึง 20 ครั้ง และการเพิ่มและขยายตัวของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนการเติบโตและเปลี่ยนแปลงของรัฐธรรมนูญไทย รวมถึงเป็นภาพสะท้อนของกลุ่มพลังในสังคมไทยที่พยายามผลักดันวาระของของตัวเองเข้าไปในรัฐธรรมนูญ

ตลอดระยะเวลา 91 ปีของระบอบรัฐธรรมนูญไทยเหมือนจะยาวนาน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญทั่วโลก ก็จะเห็นได้ว่า ระบอบรัฐธรรมนูญไทยยังมีอายุน้อย การปกครองในระบอบรัฐธรรมนูญจึงอาจจะผิดพลาดบ้างหรือเกิดปัญหาบ้าง แต่ระบอบรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยนั้น จะยอมให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุดได้แสดงเจตจำนงแก้ไขเปลี่ยนแปลง ให้การปกครองที่มีปัญหาได้รับการแก้ไขไปในทางที่ดีขึ้น เพราะท้ายที่สุดหัวใจของประชาธิปไตยที่อยู่ในรัฐธรรมนูญคือ การย้อนกลับมาตอบสนองต่อประชาชน ในฐานะเจ้าของอำนาจสูงสุดอยู่ดี


เชิงอรรถ

[1] เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, “เศรษฐกิจรัฐธรรมนูญ: พลวัตของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในทางเศรษฐกิจ,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 7 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/528.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] ดู สัมภาษณ์ประกีรติ สัตสุต ใน ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์, “พุทธศาสน์ปราศจากรัฐไม่ได้ฉันใด สงฆ์ไทยย่อมข้องเกี่ยวกับการเมืองฉันนั้น – คุยการเมืองเรื่องของสงฆ์กับประกีรติ สัตสุต,” the 101.world, 1 ธันวาคม 2564 [Online], สืบค้นเมื่อ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก the101.world/prakirati-satasut-interview/.

[4] มาตรา 67 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[5] ดู ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์, อ้างแล้วใน เชิงอรรถที่ 3.

[6] สมคิด เลิศไพฑูรย์, “รัฐธรรมนูญในอุดมคติของปรีดี พนมยงค์: เสรีภาพ เสมอภาค,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 8 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/529.

[7] สมคิด เลิศไพฑูรย์, “รัฐธรรมนูญในอุดมคติของปรีดี พนมยงค์: กลไกการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, 9 ธันวาคม 2563 [Online], สืบค้นเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566, สืบค้นจาก pridi.or.th/th/content/2020/12/530.

[8] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, (กรุงเทพฯ: สำนักงานทนายความพิมลธรรม, 2513), น. 18.

[9] สมคิด เลิศไพฑูรย์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 6.

[10] มาตรา 279 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

[11] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 8, น.3.

[12] เพิ่งอ้าง, น.14.