อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ​ : ชีวิตการงานด้วยความซื่อสัตย์ในหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่  ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ

นี่คือวิสัยทัศน์ที่ ศาสตราจารย์ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เคยให้ไว้เมื่อดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนตัวตนของ ดร.อิสสระ ผู้มีความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์ได้เป็นอย่างดี

เพื่อรำลึกถึง ดร.อิสสระ ซึ่งเพิ่งจากโลกนี้ไป เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564  ท่ามกลางความรักและระลึกถึงในความทรงจำจากคนที่เคยรู้จัก  บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงชีวิตและผลงานของท่าน

กำเนิดและการศึกษา

ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2475 โดยเป็นบุตรของพระนิติทัณฑ์ประภาศ (สนอง สุจริต) กับนางชวนชื่น นิติทัณฑ์ประภาศ (สกุลเดิม พนมยงค์) ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาของนายปรีดี พนมยงค์  ดังนั้น ดร.อิสสระ จึงเป็นหลานลุงของนายปรีดี

นอกจากพระนิติทัณฑ์ประภาศ ผู้บิดา ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุตรชายแล้ว  นายปรีดีนับเป็นอีกบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ ดร.อิสสระ เป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากการเลือกศึกษาต่อในสาขานิติศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และเมื่อเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดร.อิสสระได้เจริญรอยตามนายปรีดี  เข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ในสาขากฎหมายมหาชนต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศส ในมหาวิทยาลัยกอง (Université de Caen) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่นายปรีดีได้ศึกษาจบมาในชั้นปริญญาตรี 

หลังจากนั้น ดร.อิสสระสำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางกฎหมายมหาชน (Diplome d’Etudes Superieures de Droit Public) และในระดับนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Docteur en Droit) จากมหาวิทยาลัยกอง ประเทศฝรั่งเศส

นักกฎหมายมหาชนผู้รอบรู้

นอกจากบทบาทในการเป็นข้าราชการแล้ว ดร.อิสสระยังมีบทบาทสำคัญในฐานะนักกฎหมายมหาชนแนวหน้าของประเทศไทย  ท่านเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งสาขากฎหมายมหาชนยังเป็นสาขาวิชากฎหมายใหม่ที่เพิ่งเติบโตขึ้นในประเทศไทยได้ไม่นาน พร้อม ๆ กับการก่อตั้งของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2477  ในเวลาต่อมา ท่านได้ดำรงตำแหน่งในฐานะนายกสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2530–2534

คุณูปการสำคัญของ ดร.อิสสระ ต่อวงการกฎหมายมหาชนของประเทศไทย คือ ท่านเป็นผู้บุกเบิกการเขียนตำรากฎหมายปกครองเปรียบเทียบของประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกฎหมายปกครองของฝรั่งเศสกับอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นเรื่องที่ทันสมัยมากในยุคนั้น เพราะนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าประเทศอังกฤษนั้นไม่ได้มีกฎหมายมหาชนแบบเดียวกับประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป

ความเป็นผู้รู้ทางกฎหมายมหาชนของ ดร.อิสสระ ไม่ใช่แต่เพียงจากการศึกษาตำราจำนวนมากเท่านั้น แต่มาจากประสบการณ์ที่ท่านสั่งสมมาจากการทำงานในตำแหน่งราชการอีกด้วย โดยจะเห็นได้จากในบทความหนึ่งที่ชื่อว่า “การใช้ถ้อยคำ ‘แปรญัตติ’ ที่ไม่ถูกต้อง” ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ มติชน รายวัน ซึ่งในบทความนี้ท่านได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการแปรญัตติกับการชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎรหรือในกรรมาธิการว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องเล็กน้อย  ทว่า สิ่งเล็กน้อยนี้สะท้อนความละเอียดรอบคอบ และความใส่ใจต่อการใช้ถ้อยคำทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกฎหมายสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญอีกแล้ว แต่กลับนิยมเล่นแร่แปรถ้อยคำไปมาเพียงเพื่อบริการผู้มีอำนาจทางการเมือง

นอกจากการเป็นผู้ศึกษากฎหมายมหาชนแล้ว บางโอกาส ดร.อิสสระยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เพื่อถ่ายทอดความรู้ทางกฎหมายมหาชนของท่าน จนได้รับเกียรติยศสูงสุดทางการศึกษา คือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

นักกฎหมายการคลังผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณ

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสกลับมาเป็นประเทศไทย ดร.อิสสระ ได้เข้ารับราชการและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาโดยตลอด จนได้ดำรงตำแหน่งสำคัญเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีความสำคัญของประเทศและต้องอาศัยผู้มีความรู้ความสามารถสูง

ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการงบประมาณของท่านนั้น ปรากฏอยู่ในความเห็นตามบทความหนังสือพิมพ์หรือบทความวิชาการเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณที่ท่านได้ชี้แจงถึงความเข้าใจคลาดเคลื่อนอันเกิดมาจากความสลับซับซ้อนของเทคนิคทางงบประมาณ ซึ่งบ่อยครั้งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำตัวเลขเงินคงคลังมาแถลงให้สื่อมวลชนทราบ หรือนำมากล่าวอ้างในโอกาสต่าง ๆ ในทำนองชี้ให้เห็นว่า การคลังของประเทศมีเสถียรภาพดี แต่มิได้อธิบายให้ประชาชนได้รู้ว่า “เงินคงคลัง” นั้นคืออะไร ทำให้คนทั่วไปจึงต้องเดาเอาเองว่าเงินคงคลัง คือ เงินที่รัฐบาลได้สะสมไว้เป็นเงินสำรองเพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

ในบทความชื่อว่า “เงินคงคลัง” นั้น ดร.อิสสระได้อธิบายถึงความเป็นมาเป็นไปของคำว่า เงินคงคลังมีที่มาอย่างไร ทั้งในแง่ของการพิจารณาความหลายตามหลักภาษา และความหมายในทางการคลัง วางอยู่บนข้อถกเถียงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับความหมายของเงินคงคลังที่ใช้ในทางการคลังของประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความชัดเจนว่า “เงินคงคลัง” เป็นเงินที่รัฐบาลได้รับไว้โดยมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่าย ข้อผูกพันดังกล่าวมีผลให้เงินคงคลังผันแปรได้  ดังนั้น หากจะพิจารณาฐานะเงินคงคลังของประเทศนั้น จะพิจารณาตัวเลขเงินคงคลังอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องพิจารณาถึงข้อผูกพันในการจ่ายเงินของรัฐบาลด้วย

ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านงบประมาณที่หาจับตัวได้ยากนี้เอง ทำให้ท่านได้มีโอกาสเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ อยู่หลายครั้ง เพื่อคอยย้ำเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงงบประมาณของประเทศ ดังเช่นในบทความที่ชื่อว่า “วัวหายล้อมคอก – บทเรียนจากการอภิปรายงบประมาณ ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปรับลดงบประมาณรายจ่ายโดยกรรมาธิการวิสามัญเพื่อไปจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการในบางจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อหวังสร้างความนิยมในกลุ่มฐานเสียงของตนเอง ซึ่ง ศ.ดร.อิสสระ ได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ ศ.ดร.อิสสระ ได้เสนอแนะให้มีการสร้างกลไกทั้งในวิธีการทางนิติบัญญัติ และในวิธีการในทางบริหาร ซึ่งถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก เพราะปัญหาดังกล่าวในปัจจุบันนี้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้กำหนดห้ามการกระทำดังกล่าวเอาไว้ชัดเจน

ศาลรัฐธรรมนูญกับการสร้างความเชื่อมั่น

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันการเมืองและสถาบันทางกฎหมายใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นมาในประเทศไทย อันเป็นผลมาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ดร.อิสสระ ก็ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดแรกในปี พ.ศ. 2541 และได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2545 บทบาทของท่านในช่วงแรกจึงมีความสำคัญในฐานะผู้วางรากฐานความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ดร.อิสสระ เป็นผู้หนึ่งที่ตระหนักดีถึงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยปรากฏในคำวินิจฉัยส่วนตนในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542 ซึ่งระบุในเชิงว่า “เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่าบุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายเท่าเทียมกัน จำเลยและประชาชนทั่วไปต่างก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย โจทก์หรือสถาบันการเงินต่างๆ ก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย จึงไม่อาจมีสิทธิเหนือกว่าประชาชนหรือบุคคลโดยธรรมชาติ  ดังนั้น กฎหมายใดก็ดี ประกาศโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายใดก็ดี ที่ทำให้บุคคลได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายไม่เท่าเทียมกันแล้วย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ซึ่งท่านแสดงให้เห็นในคำวินิจฉัยส่วนตนในคดีแล้วว่าความเสมอภาคของบุคคลเป็นคุณค่าสำคัญที่รัฐธรรมนูญจะต้องพิทักษ์รักษาไว้

นอกจากนี้ เมื่อได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ดังได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งที่ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง และตุลาการทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตด้วยเกียรติยศในวิชาชีพนักกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและผู้เป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการควรยึดถือไว้ โดยเฉพาะท่ามกลางยุคทมิฬที่มาร ครองเมืองและนักกฎหมายส่วนใหญ่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอำนาจ และรับใช้ผู้มีอิทธิพลโดยบิดเบือนหลักการทางกฎหมายเช่นปัจจุบันนี้

ศ.ดร.อิสสระ ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์นั้นได้เป็นวิถีทางสำหรับคนรุ่นถัดไปได้เลือกเดินตาม บนวิถีทางของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระลึกถึงหลักการและหน้าที่ของตน


อ้างอิง

  • สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ. “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ.” ปีที่ 4 เล่มที่ 10. วารสารศาลรัฐธรรมนูญ. (มกราคม – เมษายน 2545) : 3 – 7.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “การใช้ถ้อยคำ “แปรญัตติ” ที่ไม่ถูกต้อง.” มติชน. (23 มีนาคม 2536) : 9.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “เงินคงคลัง.” ปีที่ 41 ฉบับที่ 10. รัฐสภาสาร. (ตุลาคม 2536) : 60 – 76.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “วัวหายล้อมคอก บทเรียนจากการอภิปรายรายงบประมาณ.” มติชน. (6 มีนาคม 2536) : 8.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “อันว่าเงินคงคลังนั้นเป็นฉันใด.” ปีที่ 2 ฉบับที่ 5. วารสารการงบประมาณ. (เมษายน – มิถุนายน 2548) : 7 – 18.
  • คำวินิจัยฉัยส่วนตนของ นายอิสสระ นิติทัณฑ์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542.

อาจารย์วิจิตร ผู้บุกเบิกวิทยาการคลัง และเลขาธิการเสรีไทย

คุณวิจิตร ลุลิตานนท์ เป็นบุคคลหนึ่งในแวดวงเศรษฐกิจการคลังที่น่าสนใจในฐานะผู้บุกเบิกวิทยาการคลังของประเทศไทย นอกจากนี้ คุณวิจิตรยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทย

ชีวิตครอบครัวและการศึกษา

คุณวิจิตร ลุลิตานนท์ เป็นบุตรชายของหลวงวิจารณ์สุขกรรม (ติ๊ด ลุลิตานนท์) กับนางทรัพย์ เกิดที่บ้าน “ลุลิตานนท์” ถนนสีลม เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2449  ในด้านการศึกษา คุณวิจิตรเข้าศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนประถมศึกษาเล็กๆ ในตรอกโรงภาษีชื่อว่า โรงเรียนครูสี ก่อนจะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนผดุงดรุณี และจากนั้นจึงย้ายมาเรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญจนจบชั้นมัธยมศึกษาในปี พ.ศ. 2467 แล้วเข้าศึกษาต่อโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม จนสำเร็จการศึกษาเป็นเนติบัณฑิตไทยในปี พ.ศ. 2470 

การเข้าทำงานรับราชการในกระทรวงยุติธรรม

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตไทย ในปีเดียวกันนั้น คุณวิจิตรได้เข้าทำงานในกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในตำแหน่งเสมียนฝึกหัด ซึ่งเป็นความนิยมในสมัยนั้นหากต้องการเจริญก้าวหน้าในการเรียนกฎหมายสำเร็จและสามารถสอบเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการได้โดยง่าย จะต้องได้ฝึกงานในสำนักงานทนายความหรือในกรมร่างกฎหมาย 

เมื่อทำงานเป็นเสมียนฝึกหัดในกรมร่างกฎหมายได้ 2 ปี  โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ซึ่งในขณะนั้นมีผู้บรรยายส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวฝรั่งเศส เช่น นายหลุยส์ ดูปลาตร์  นายอังรี เอกูต์  และนายเอมิล ริโวด์ เป็นต้น เปิดรับสมัครล่ามภาษาฝรั่งเศสเพื่อมาช่วยแปลภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาไทย คุณวิจิตรจึงได้เข้ามาทำงานนี้

โดยก่อนหน้าคุณวิจิตรจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ คุณเสริม วินิจฉัยกุล ได้ทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสอยู่ก่อนแล้ว (โปรดดู เสริม วินิจฉัยกุล: ผู้ช่วยจัดทำตำรา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)  ทว่า ในปี พ.ศ. 2472 คุณเสริมจำเป็นต้องเข้ารับราชการทหาร เป็นเหตุให้โรงเรียนกฎหมายต้องหาผู้รับหน้าที่ล่ามแปลภาษาฝรั่งเศสแทนคุณเสริมชั่วคราว ความยากลำบากในการทำงานเป็นล่ามแปลภาษาฝรั่งเศสในเวลานั้นมีค่อนข้างมาก เนื่องจากในสมัยนั้นไม่ค่อยมีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาฝรั่งเศสมากนัก

ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 คุณวิจิตรได้สอบเข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษาฝึกหัด กระทรวงยุติธรรม และได้รับราชการในกระทรวงยุติธรรมเรื่อยมาในตำแหน่งผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรมในปี พ.ศ. 2475 และผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมในปี พ.ศ. 2476 จนในเวลาต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา พุทธศักราช 2476 ได้จัดตั้งคณะกรรมกฤษฎีกา ให้มาขึ้นตรงต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ทำหน้าที่คล้ายกับสภาแห่งรัฐ (Conseil d’État) ของประเทศฝรั่งเศส ทำหน้าที่ร่างกฎหมายและวินิจฉัยคดีปกครอง และให้โอนกรมร่างกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม มาเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งมีผลให้คุณวิจิตรได้โอนย้ายมาปฏิบัติหน้าที่ในคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยเช่นกัน ในปี พ.ศ. 2477 คุณวิจิตรได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกในกองกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกา

คุณวิจิตรกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้ประกาศหลัก 6 ประการ ซึ่งประการหนึ่งคือ การจะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร อันนำไปสู่การจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมาในปี พ.ศ. 2477 ซึ่งคุณวิจิตรได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยจัดทำตำราของมหาวิทยาลัย มีหน้าที่จดบันทึกคำบรรยายเพื่อเอามาเรียบเรียงเป็นตำราและคำสอนสำหรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย

คุณวิจิตรได้มีบทบาทในการจัดทำตำราหลายเล่ม ซึ่งเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาอย่างเป็นระบบ อย่างเช่น ตำรากฎหมายลักษณะพยานและจิตตวิทยา: คำสอนชั้นปริญญาตรี (พ.ศ. 2477) ซึ่งเป็นคำบรรยายของศาสตราจารย์ หลุยส์ ดูปลาตร์ (L. DUPLATRE) โดยมีความสำคัญในฐานะตำรากฎหมายพยานที่ทันสมัยตามหลักการของกฎหมายพยานสากล

คุณวิจิตรรับราชการในอยู่ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเป็นระยะเวลาหลายปี ทั้งได้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น ผู้ช่วยเลขาธิการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เลขาธิการมหาวิทยาลัยณ และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฯ เป็นต้น และได้แต่งตำรากฎหมายไว้เป็นจำนวนมากครอบคลุมทั้งกฎหมายการคลัง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายอาญา และกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน

ในช่วงที่คุณวิจิตรรับราชการอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้นได้ดำรงตำแหน่งบริหารระดับสูงเป็นเลขาธิการ ซึ่งเป็นผู้บริหารโดยตรงของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันนี้ตำแหน่งดังกล่าวไม่มีแล้ว กลายมาเป็นตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายต่าง ๆ แทน 

คุณวิจิตรไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่เป็นข้าราชการในสังกัดของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สงครามมหาเอเชียบูรพา มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองกลายมาเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการวางแผนของขบวนการเสรีไทย ซึ่งแรกเริ่มนั้นขบวนการเสรีไทยเกิดขึ้นจากการนัดแนะประชุมกันในห้องเล็กๆ ใต้ตึกโดมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยมีสมาชิกเป็นคณะทำงานชุดแรก คือ  ศาสตราจารย์ ดร.เดือน บุนนาค  ศาสตราจารย์ ดร.เสริม วินิจฉัยกุล  คุณทวี ตะเวทิกุล  และคุณวิจิตร ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการมหาวิทยาลัย คอยรับนโยบายจากนายปรีดี พนมยงค์ 

คุณวิจิตรมีบทบาทสำคัญอย่างมากในฐานะเลขาธิการเสรีไทยคอยเป็นผู้ประสานงานภายในขบวนการเสรีไทยในประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่า คุณวิจิตรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อขบวนการเสรีไทยจากคำบอกเล่าของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ว่า “ข้าพเจ้าได้มอบให้นายวิจิตร ลุลิตานนท์ เลขาธิการมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งทำหน้าที่เลขาธิการองค์การต่อต้านซึ่งต่อมาใช้ชื่อว่า ‘ขบวนการเสรีไทย’ นั้น เป็นหัวหน้าพนักงานฝ่ายความเป็นอยู่ของผู้ถูกกักกันเท่านั้น”[1] หรือจากคำบอกเล่าของนายไสว สุทธิพิทักษ์ว่า “…วิจิตร ลุลิตานนท์ เป็นหัวหน้าศูนย์บัญชาการของขบวนการเสรีไทย ซึ่งจะเรียกว่า ท่านเป็นเสนาธิการของกองบัญชาการก็ว่าได้ ท่านเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติการของขบวนการเสรีไทยในประเทศ”[2]

บทบาทสำคัญประการหนึ่งที่ได้บันทึกเอาไว้ คือ ในตอนที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ เข้ามาทำภารกิจส่งสารจากคนสำคัญในรัฐบาลอังกฤษถึงนายปรีดี พนมยงค์นั้น ซึ่งในตอนนั้นคุณวิจิตรได้ประสานให้นายป๋วยได้พบและส่งมอบสารให้กับนายปรีดี ณ บ้านพักของคุณวิจิตรย่านบางเขนอย่างลับๆ (บ้านหลังนี้ต่อมาเป็นร้านอาหารชื่อดัง “บ้านขวัญจิตร” ก่อนที่จะปลาสนาการไป) และในขณะเดียวกันคุณวิจิตรก็ได้ไปปรึกษาและวางแผนการร่วมกับผู้นำขบวนการเสรีไทยที่ทำเนียบท่าช้างสม่ำเสมอ

นายปรีดีกับคุณวิจิตรมีความสัมพันธ์อันดีที่ใกล้ชิดกันจนถึงขนาดถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน 4 ทหารเสือของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งภายหลังจากนายปรีดีและพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์พ้นจากตำแหน่งทางการเมือง คุณวิจิตรในฐานะเพื่อนร่วมงานก็ถูกฝ่ายตรงข้ามนายปรีดีคุกคาม

ภาพคุณวิจิตร (กลาง) กับมารดาและพี่น้องครอบครัวลุลิตานนท์
ที่มา:
บันทึกการบรรยายวิชาวิทยาการคลัง และกฎหมายการคลัง, ฐานข้อมูลหนังสืออนุสรณ์งานศพอิเล็กทรอนิกส์วัดบวรนิเวศวิหาร

คุณวิจิตรกับการบุกเบิกวิทยาการคลัง

บทบาทสำคัญในฐานะผู้บรรยายของคุณวิจิตร คือ การเป็นผู้บรรยายวิชากฎหมายการคลังร่วมกับหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ ซึ่งเป็นวิชาบรรยายเริ่มแรกในระดับชั้นปริญญาตรีนับตั้งแต่มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมา

วิทยาการคลังเป็นวิชาใหม่ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการรัฐยังคงมีอยู่อย่างจำกัด และไม่เป็นที่ศึกษาอย่างแพร่หลาย เนื่องจากในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นไม่มีความจำเป็นที่ราษฎรจะต้องเข้าใจวิทยาการคลัง เพราะราษฎรไม่มีโอกาสได้เข้าไปร่วมบริหารประเทศ แต่เมื่อมีการอภิวัฒน์สยามเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้วราษฎรใช้อำนาจควบคุมการคลังผ่านทางนิติบัญญัติในรูปของการให้ความเห็นชอบกฎหมายงบประมาณ และกฎหมายอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ด้วยเนื้อหาสาระของวิทยาการคลังนั้นมีความยากในตัวเอง ดังกล่าวไว้ในคำบรรยายวิชากฎหมายการคลังของหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณ และคุณวิจิตรว่า

การคลังเป็นส่วนหนึ่งของโภคศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับทฤษฎีการเงิน เครดิต และธนาคาร และยังจะต้องอาศัยสถิติเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ การคลังจึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะในทางบัญชีหรือเป็นปัญหาในทางจำนวนเงินเท่านั้น แต่เป็นเรื่องในทางนโยบายเป็นสำคัญ ทั้งยังต้องเข้าใจบริบทของต่างประเทศประกอบด้วย[3]

ภายหลังจากคุณวิจิตรได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น คุณวิจิตรได้มีโอกาสกลับมาบรรยายวิชาวิทยาการคลังและกฎหมายการคลังในระดับปริญญาโทให้กับคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคุณูปการสำคัญของคุณวิจิตรประการหนึ่ง เนื่องจากการคลังนั้นหากไม่ได้รับการถ่ายทอดจากผู้ปฏิบัติจริงก็คงไม่อาจเข้าใจถึงวิธีการหรือองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้อย่างชัดแจ้ง

ภาพครอบครัวลุลิตานนท์ ถ่ายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2491 วันคล้ายวันเกิดหลวงวิจารณ์สุขกรรม 
ครบรอบปีที่ 70 ในรูปคุณวิจิตรจะอยู่แถวหลังคนที่ 4 นับจากซ้ายมือ
ที่มา: บันทึกการบรรยายวิชาวิทยาการคลัง และกฎหมายการคลัง, ฐานข้อมูลหนังสืออนุสรณ์งานศพอิเล็กทรอนิกส์วัดบวรนิเวศวิหาร.

คุณวิจิตรกับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในการทำงานทางการเมืองคุณวิจิตรมีโอกาสได้ทำงานทางการเมืองในหลายบทบาททั้งดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2488 สมาชิกพฤฒสภา (วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489) และได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในคณะรัฐมนตรีหลายชุดด้วยกัน เช่น ในคณะรัฐมนตรีของนายทวี บุณยเกตุ  หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช  นายปรีดี พนมยงค์  และพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

ช่วงเวลาที่คุณวิจิตรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นั้นประเทศไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลของสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเงินเฟ้อ (โปรดดู ภาวะเงินเฟ้อกับชีวิตคนไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ทำให้รัฐบาลตัดสินใจขายทองคำที่เป็นทุนสำรองของประเทศโดยคาดหมายว่าจะทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้นและราคาสินค้าบริการจะถูกลง  อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อภายหลังสงครามนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายลำพังไม่สามารถใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งทำโดยลำพังจะสำเร็จได้

นอกจากนี้ บทบาทในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่สำคัญของคุณวิจิตรอีกประการหนึ่ง คือ เป็นผู้ไปรื้อเอาเรื่องที่ญี่ปุ่นเป็นหนี้รัฐบาลไทยระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นทองคำที่ต้องชำระหนี้มีมูลค่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการในช่วงที่คุณวิจิตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ไปสำเร็จภายหลังจากได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว[4]

ผลงานสำคัญอีกประการหนึ่งของคุณวิจิตรในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คือ การผลักดันให้เกิดบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด ขึ้นมา เนื่องจากก่อนปี พ.ศ. 2489 รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการคลังต้องรับภาระจ่ายค่าเบี้ยประภัยเป็นจำนวนมากต่อปี คุณวิจิตรจึงมีดำริจะจัดตั้งบริษัทประกันภัยของรัฐบาลขึ้นมา โดยได้แจ้งนโยบายพิเศษให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. 2561) จัดตั้งบริษัทประกันภัยขึ้น เจตนารมณ์ที่แจ้งเป็นวัตถุประสงค์ไว้ในการประชุม “คณะกรรมการที่ปรึกษาจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ครั้งที่ 9/2489 วันที่ 16 กันยายน 2489 ว่า “เพื่อรัฐบาลจะได้ประกันภัยองค์การของรัฐบาลไว้กับบริษัทนี้ ซึ่งเท่ากับเป็นส่วนหนึ่งขององค์การรัฐบาล ก็จะเป็นการช่วยรายจ่ายของรัฐบาลได้อย่างมากส่วนหนึ่ง”[5] และในวันที่ 14 ตุลาคม 2489 คุณวิจิตร ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นประธานที่ประชุมคณะกรรมการจัดตั้งบริษัทประกันภัยตามนโยบายพิเศษที่ได้ให้ไว้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไว้แล้ว และให้การรับรองชื่อบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด ตามที่นายปราโมทย์ พึ่งสุนทร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นคผู้เสนอ ซึ่งในช่วงแรกบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด[6]

ภายหลังจากพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณวิจิตรได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ในการสอนหนังสือให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนเกษียณอายุราชการ และเป็นศาสตราจารย์พิเศษสืบมา ซึ่งในบรรดาผู้คนรอบตัวของนายปรีดีที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ คุณวิจิตรเป็นคนหนึ่งที่มีประวัติน่าสนใจและมีผลงานเป็นคุณแก่ประเทศนี้อยู่มาก น่าเสียดายที่ผลงานและเรื่องราวเกี่ยวกับคุณวิจิตรได้รับการบันทึกไว้ไม่มากนัก


อ้างอิง

  • จารุบุตร เรืองสุวรรณ. “นิทานเสรีไทย.” 24 ธันวาคม 2563, จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/08/377.
  • ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, “ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์กับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง.” 24 ธันวาคม 2563, จาก http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-and-thammasat/.
  • วิจิตร ลุลิตานนท์. คำอธิบายกฎหมายอาญาภาคต้น (พระนคร: มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2487).
  • วิจิตร ลุลิตานนท์. บันทึกการบรรยายวิชาวิทยาการคลัง และกฎหมายการคลัง (พระนคร: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, 2503).
  • สกลวรรณากร วรวรรณ และวิจิตร ลุลิตานนท์. กฎหมายการคลัง (พระนคร: โรงพิมพ์อักษรนิติ, 2477).
  • ศิลปวัฒนธรรม. “ทำเนียบท่าช้าง “บ้านพัก” ของ 3 บรรพบุรุษประชาธิปไตย.” 24 ธันวาคม 2563, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_54666.
  • สมภพ โหตระกิตย์. “40 ปี ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.” 24 ธันวาคม 2563, http://web.krisdika.go.th/activityDetail.jsp?actType=I&actCode=2&head=4&item=n5.
  • หลุยส์ ดูปลาตร์ และวิจิตร ลุลิตานนท์. กฎหมายลักษณะพะยานและจิตตวิทยา (กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2561.)
  • อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นายเสริม วินิจฉัยกุล ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. นายกราชบัณฑิตยสถาน ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 19 ตุลาคม พุทธศักราช 2528
  • รายงานการประชุมพฤฒสภา ครั้งที่ 9/2490 (สามัญ) ชุดที่ 1 วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พุทธศักราช 2490 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม.

เชิงอรรถ

[1] นรนิติ เศรษฐบุตร, “วิจิตร ลุลิตานนท์ : เลขาธิการเสรีไทย,” สืบค้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563, จาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=วิจิตร_ลุลิตานนท์.

[2] เพิ่งอ้าง.

[3] สกลวรรณากร วรวรรณ และวิจิตร ลุลิตานนท์, กฎหมายการคลัง, (พระนคร : มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2477), 4.

[4] นรนิติ เศรษฐบุตร, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1.

[5] เทเวศประกันภัย, “ประวัติบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน),” สืบค้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563, จาก https://www.deves.co.th/th/about-us/company-profile/.

[6] นอกจากนี้ คุณวิจิตรยังมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในการจัดตั้งบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้บริษัทประกันต่างชาติได้ปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทประกันส่วนใหญ่ในเวลานั้นเป็นบริษัทประกันของคู่สงคราม ทำให้คนไทยและข้าราชการไทยชั้นผู้ใหญ่ได้ร่วมกันลงทุนเปิดกิจการบริษัทประกันซึ่งหนึ่งในนั้นคือคุณวิจิตร.

แปลรักฉันด้วยใจเธอกับความเป็นชายที่พร้อมจะกดทับทุกคน

แปลรักฉันด้วยใจเธอเป็นซีรีย์ขนาดสั้นของค่ายนาดาว ซึ่งมักจะทำซีรีย์ที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ผิดไปจากละครหรือซีรีย์ที่มีอยู่ตามท้องตลาดเสมอ ในส่วนตัวแล้วนอกจากเนื้อเรื่องแล้วชอบมุมกล้องกับสีภาพที่ช่วยให้โลเคชั่นและบรรยากาศของเรื่องดีขึ้นไปอีก และที่สำคัญที่สุดคือ การพยายามเล่าเรื่องชีวิตของคนที่พ้นไปจากกรุงเทพฯ อันเป็นเมืองหลวงที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกรวมมาไว้ที่นี่พื้นหลังของเรื่องที่เป็นจังหวัดภูเก็ต เลยยิ่งทำให้เรื่องนี้น่าสนใจขึ้นไปอีก

ส่วนที่อยากจะเน้นในบล็อกนี้ไม่ใช่เรื่องของงานภาพ แสง และสี แต่เป็นเรื่องของความเป็นชายที่กดทับคนทุกคนซึ่งส่วนตัวคิดว่าสิ่งนี้คือซีรีย์กำลังเน้น

เต๋เป็นตัวละครที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของเด็กมัธยมไทยทั่วๆ ไป คนหนึ่งเลยซึ่งยังไม่เข้าใจความต้องการของตัวเอง ในการทำความเข้าใจเพศวิถีของตนเอง ฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่าตลอดซีรีย์มันคือการค้นหาตัวตนของเต๋ โดยมีตัวละครบางตัวช่วยให้เต๋โตขึ้น

สิ่งที่ทำให้เต๋ค้นพบอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองได้ยากนั้นมันเกิดจากความเป็นชายที่กดทับคนทุกคนในสังคมนี้ จะเห็นได้ในหลายๆ ฉากที่ตัวละครอีกตัวคือ โอ้เอ้ว พยายามช่วยเต๋ในการค้นหาตัวตนของตัวเอง แต่มันจะกลับมาสู่การที่เต๋ก็เลือกที่จะปฏิบัติตามกระแสของสังคม

ความเป็นชายที่กดทับตัวละครเต๋นี้มันสร้างลักษณะหลายๆ อย่างขึ้นมา ทั้งความพยายามเป็นฮีโร่ เราจะเห็นได้ว่าเต๋เป็นสิ่งนั้นเยอะมาก พยายามทำให้ทุกคนมีความสุขและพยายามแข็งแกร่งตลอดเวลาแต่มันไม่ใช่ ฉากส่วนใหญ่ที่เราจะเห็นเต๋ค่ำครวญมันมักจะเป็นการทำอยู่คนเดียวในที่ปิด เพราะความเป็นชายไม่ยอมรับให้ผู้ชายอ่อนแอ

เราคิดว่าซีรีย์นี้แตกต่างจากนิยายบอยเลิฟหรือวายทั่วไปที่เคยอ่านหรือเคยดูนะ เราคิดว่าเรื่องนี้มันแฟนตาซีน้อยกว่า บ่อยครั้งที่นิยายบอยเลิฟหรือวายมันจะทำไปแฟนตาซีไปเลย กล่าวคือ ตัวละครในนิยายบอยเลิฟหรือวายส่วนใหญ่จะค้นพบอัตลักษณ์และเพศวิถีผ่านของตนเองผ่านการตกหลุมรักและผิดหวัง แล้วก็ข้ามไปสู่การร่วมรักทางกายภาพแบบหนักๆ (ฉากเซอร์วิส) แต่เรื่องนี้มันมีฉากร่วมรักหลายฉากที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศ และมันทำให้ตัวละครได้เรียนรู้อัตลักษณ์และเพศวิถีของตนเอง เช่น ฉากเล้าโลมในบ้านเต๋ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าตัวละครนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ทำให้มันจริงมันสะท้อนชีวิตของการเป็นวัยรุ่น

หลายฉากที่ซีรีย์นี้ใส่เข้าไปคือ สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น การจูบใต้บันได้ หรือการจูบกันใต้น้ำ เป็นต้น มันมีสัญลักษณ์ที่ซ่อนเอาไว้ เพื่อที่จะสื่อถึงบทบาทและสถานภาพทางเพศวิถีที่หลากหลายแต่จริงๆ อาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม

จุดที่ยากที่สุดของคนเมื่อค้นหาอัตลักษณ์และเพศวิถีของตนเจอแล้ว คือ การอธิบายสิ่งนี้กับคนรอบตัว ในตอนท้ายของซีรีย์มันจึงเป็นช่วงที่เต๋ต้องเริ่มอธิบายความเป็นตัวเองให้กับคนในครอบครัวฟัง ความเข้าใจและได้รับการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะกับคนในวัยเต๋ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมา ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่าในจุดนี้เรื่องเล่าออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ความประทับใจที่สุดของซีรีย์นี้จึงเป็นเรื่องของการให้พื้นที่นำเสนอเรื่องการค้นหาเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศของตัวละคร ซึ่งในปัจจุบันสังคมไทยนี้อาจจะไม่ได้ให้พื้นที่เหล่านี้เพียงพอรึเปล่า

เวลากลไกแห่งอำนาจของชนชั้นนำสยาม

วันนี้ได้มีโอกาสอ่านบทความของคุณวิภัส เลิศรัตนรังษี ชื่อว่า “เวลาอย่างใหม่” กับการสร้างระบบราชการสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ในนิติยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 42 ฉบับที่ 1 พฤศิจกายน 2563

ความน่าสนใจของบทความนี้คือ การหยิบเอา “เวลา” ซึ่งเป็นกลไกอย่างหนึ่งที่ชนชั้นนำสยามในสมัยใช้สร้างระบบราชการแบบรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางคือ “กรุงเทพ” ในบทความนี้ได้บอกเล่าถึงระบบเวลาแบบใหม่ที่นำมาใช้ในสยาม โดยระบบเวลาแบบใหม่นี้ประกอบไปด้วยกลไก 2 ประการสำคัญคือ ประการแรก ปฏิทินซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ปฏิทินแบบจันทรคติมาเป็นปฏิทินสุริยคติตามระบบเกรโกเรียนแบบตะวันตก และประการที่สองคือ การนับเวลาโดยใช้นาฬิกากล ซึ่งแต่เดิมสยามใช้การบอกเวลาแบบโมงยาม และในการนับเวลานั้นก็แตกต่างกันไปตามพื้นที่

ผลของการเปลี่ยนมาใช้ระบบเวลาแบบใหม่นี้เกิดขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีประกาศให้ใช้เวลาแบบใหม่ในระบบราชการ ซึ่งส่งผลให้การนับวันเดือนปีแบบเดิมเปลี่ยนไป (เดิมจะนับเดือนแบบไทยก็จะเป็นเดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่) มาเป็นการนับเดือนแบบตะวันตกแบบในปัจจุบัน และทรงให้ใช้รัตนโกสินทร์ศกแทนการใช้จุลศักราช ซึ่งนับปีตามแบบจันทรคติ การใช้ระบบปฏิทินแบบใหม่นี้ส่งผลต่อระบบราชการที่จะใช้วันเดือนปีในแบบเดียวกันตลอดทั่วทั้งดินแดนสยาม และเมื่อระบบรวมศูนย์อำนาจก่อร่างสร้างตัวจนแน่นอนแล้ว การใช้จ่ายงบประมาณต่างๆ จึงเป็นกระบวนการที่สอดคล้องกับการใช้ระบบเวลาแบบใหม่ ทั้งการกำหนดวันจัดเก็บภาษี วันส่งภาษีมาส่วนกลาง วันประชุมเพื่ออนุมัติงบประมาณแผ่นดิน และการส่งงบประมาณแผ่นดินไปยังดินแดนต่างๆ ภายใต้การปกครองของสยาม

ในด้านการนับเวลาแบบนาฬิกากล ได้สร้างระบบการเข้าทำงานที่ชัดเจนโดยแยกเวลาการทำงานออกจากเวลาส่วนตัว ซึ่งแต่เดิมการรับราชการนั้นเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยและอัธยาศัยของผู้บังคับบัญชา แต่ระบบราชการแบบใหม่นี้ได้กำหนดเวลาการเข้าทำงานที่แน่นอนขึ้นมา โดยเริ่มจาก 10.00 – 17.00 น. ซึ่งเป็นการนับเวลาแบบนาฬิกากล ซึ่งเริ่มแพร่หลายนับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 และเมื่อตั้งกระทรวงทั้ง 12 สำเร็จในสมัยรัชกาลที่ 5 กระทรวงต่างๆ ก็มีชั่วโมงการทำงานที่แน่นอน

อย่างไรก็ตามในกรณีเวลาราชการนั้นอาจมีความแตกต่างกันตามส่วนราชการบ้างทั้งเพราะขึ้นกับพระราชอัธยาศัยของผู้บังคับบัญชา เช่น กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงโปรดปราณการทำงานเวลากลางคืน ซึ่งเป็นธรรมดาของเชื้อพระวงศ์ราชสำนักสยาม ทำให้เวลาการทำงานของกระทรวงต่างประเทศแตกต่างไปจากส่วนราชการอื่นบ้าง เป็นต้น ในขณะที่บางส่วนราชการมีความสำคัญมากจึงต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงและตลอด 7 วัน เช่น กรมราชเลขาธิการ เป็นต้น ซึ่งในประเด็นนี้จะเห็นได้ว่าค่าของเวลาของคนนั้นไม่เท่ากัน เวลาของคนธรรมดาไม่สามารถกำหนดให้การทำงานของคนๆ อื่นเปลี่ยนแปลงไปได้ อย่างไรก็ตาม เจ้านายบางพระองค์ก็ทรงเคร่งครัดกับการใช้เวลาระบบใหม่อย่างมาก เช่น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นต้น

นอกจาก เรื่องนี้อีกสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ระบบเวลาเดิมนั้นให้ความสำคัญทางศาสนามาก วันพระจะเป็นวันหยุดราชการเสมอ แต่ภายใต้ระบบใหม่รัฐสยามกำหนดให้วันอาทิตย์เป็นวันหยุดราชการแทนเพื่อให้เกิดความแน่นอน แต่การนำระบบเวลาแบบใหม่นี้มาใช้ก็ยังไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของราษฎร ซึ่งยังใช้ระบบเวลาแบบดั้งเดิม (จารีต) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่นอกกรุงเทพ ทำให้ในตอนท้ายต้องมีการปรับเปลี่ยนให้วันพระกลับมาเป็นวันหยุดราชการอีกครั้งหนึ่งในบางพื้นที่

ในช่วงแรกระบบเวลาของสยามนั้นยังคงแบ่งออกเป็นระบบเวลาแบบใหม่คือ ระบบเวลาที่สถาปนาขึ้นโดยรัฐสยามเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้กับระบบราชการ กับระบบเวลาดั้งเดิม (จารีต) ซึ่งใช้กันในหมู่ราษฎร อย่างไรก็ตาม การที่ระบบเวลาเป็นดั้งเช่นในปัจจุบันก็ได้สะท้อนชัยชนะของระบบเวลาแบบใหม่ที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสถาปนาขึ้นมา

โดยส่วนตัวรู้สึกว่าบทความนี้น่าสนใจในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการมองระบบเวลาซึ่งชนชั้นนำสยามนำมาใช้ในการรวมและรักษาอำนาจ

เทวะประติทิน พระพุทธศักราช 2462” สร้างตามปฏิทินปรับเทียบของพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ จาก มติชน

เล่าเรื่องคุณเสริม วินิจฉัยกุล

เขียนครั้งแรงในเสริม วินิจฉัยกุล: ผู้ช่วยจัดทำตำรา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในชีวิตของนายปรีดี พนมยงค์นั้น ได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา ในบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแวดวงเศรษฐกิจการคลังและการธนาคาร คุณเสริม วินิจฉัยกุล เป็นผู้หนึ่งที่มีความน่าสนใจมาก

ชีวิตครอบครัวและการศึกษา

คุณเสริมเป็นบุตรชายคนโตของพระยานิมิราชทรงวุฒิ (สวน วินิจฉัยกุล) กับคุณหญิงนิมิราชทรงวุฒิ (เนือง) สกุลเดิมบุณยรัตพันธุ์ ซึ่งในวัยเด็กของคุณเสริมนั้น บิดาและมารดาประสงค์จะให้ได้เติบโตและดำเนินอาชีพเป็นผู้พิพากษาเช่นเดียวกันกับบิดา จึงได้พาคุณเสริมในวัย 7 ขวบ ไปเข้าศึกษา ณ โรงเรียนอัสสัมชัญ ตามคำแนะนำของเจ้า พระยาศรีธรรมาธิเบศร์ (แต่เมื่อเป็นหลวงจินดาภิรมย์) เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะจัดทำประมวลกฎหมายเช่นเดียวกับประเทศฝรั่งเศส และโรงเรียนอัสสัมชัญก็เป็นโรงเรียนมีการเรียนการสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสในขณะนั้น บิดาและมารดาของคุณเสริมจึงตัดสินใจส่งคุณเสริมเรียน ณ โรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นนักเรียนประจำ

เมื่อคุณเสริมเรียนอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญได้ 9 ปี ก็จบหลักสูตรมัธยม 6 ภาษาฝรั่งเศสแล้ว คุณเสริมและเพื่อน ๆ ได้ปรึกษาหารือกันว่าอยากจะเรียนภาษาฝรั่งเศสต่ออีกสัก 1 ปี จึงได้ไปร้องขอให้ท่านเจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ ได้มีเมตตาตั้งชั้น 7 ให้เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ คุณเสริมได้สมัครเข้าศึกษาต่อโณงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ซึ่ง ณ โรงเรียนกฎหมายแห่งนี้เองกำลังเปิดรับสมัครล่ามภาษาฝรั่งเศส โดยทางกระทรวงยุติธรรมได้ขอให้ทางโรงเรียนอัสสัมชัญหาล่ามภาษาฝรั่งเศสให้ ซึ่งท่านเจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ ได้เรียกคุณเสริมไปสอบถามว่าสนใจจะรับงานนี้หรือไม่ ประกอบกับในขณะนั้นโรงเรียนกฎหมายได้กำหนดอัตราเงินเดือนไว้ 80 บาทต่อเดือน ทำให้คุณเสริมตกลงรับงานเป็นล่ามแปลภาษาที่โรงเรียนกฎหมาย โดยคุณเสริมได้ทำงานเป็นล่ามแปลภาษาอยู่โรงเรียนกฎหมาย จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย เป็นเนติบัณฑิตในปี พ.ศ. 2472

ชีวิตเมื่อครั้งเป็นผู้ช่วยจัดทำตำรา

ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ไม่เพียงแต่สถาบันการเมืองสำคัญ ๆ ของประเทศจะได้เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ก็ได้แปลงสภาพมาเป็นมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับได้มีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนเดิมของโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม เสียใหม่เป็นการใหญ่ ทั้งในสาขาวิชากฎหมายและวิชาบัญชี

ในขณะนั้นคุณเสริมก็ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยจัดทำตำราของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญและมีการจัดสอบเป็นกิจลักษณะ เพราะด้วยมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองประสงค์จะให้มีตำราประกอบคำสอนให้ครบถ้วน ซึ่งในช่วงเวลานั้นคุณเสริมได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยจัดทำตำราของบุคคลสำคัญหลายท่าน เช่น ศาสตราจารย์ เอกูต์ (Henri AYGOUT) นักกฎหมายชาวฝรั่งเศสผู้บทบาทสำคัญต่อการเรียนการสอนกฎหมายอาญาของประเทศไทย ซึ่งในบางครั้งศาสตราจารย์ เอกูต์ ก็ให้คุณเสริมเป็นผู้บรรยายแทน เป็นต้น

ในเวลาต่อมามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีความประสงค์จะมีอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย และได้จัดตั้งทุนการศึกษาเพื่อให้บุคคลไปศึกษาต่อต่างประเทศเพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ประจำนั้น คุณเสริมได้มีโอกาสสอบและได้รับทุนการศึกษาเพื่อไปศึกษาต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศสพร้อมกันกับคุณทวี ตะเวทิกุล ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคุณเสริม

ในชีวิตของนายปรีดี พนมยงค์นั้น ได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา ในบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแวดวงเศรษฐกิจการคลังและการธนาคาร คุณเสริม วินิจฉัยกุล เป็นผู้หนึ่งที่มีความน่าสนใจมาก

ชีวิตครอบครัวและการศึกษา

คุณเสริมเป็นบุตรชายคนโตของพระยานิมิราชทรงวุฒิ (สวน วินิจฉัยกุล) กับคุณหญิงนิมิราชทรงวุฒิ (เนือง) สกุลเดิมบุณยรัตพันธุ์ ซึ่งในวัยเด็กของคุณเสริมนั้น บิดาและมารดาประสงค์จะให้ได้เติบโตและดำเนินอาชีพเป็นผู้พิพากษาเช่นเดียวกันกับบิดา จึงได้พาคุณเสริมในวัย 7 ขวบ ไปเข้าศึกษา ณ โรงเรียนอัสสัมชัญ ตามคำแนะนำของเจ้า พระยาศรีธรรมาธิเบศร์ (แต่เมื่อเป็นหลวงจินดาภิรมย์) เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะจัดทำประมวลกฎหมายเช่นเดียวกับประเทศฝรั่งเศส และโรงเรียนอัสสัมชัญก็เป็นโรงเรียนมีการเรียนการสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสในขณะนั้น บิดาและมารดาของคุณเสริมจึงตัดสินใจส่งคุณเสริมเรียน ณ โรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นนักเรียนประจำ

เมื่อคุณเสริมเรียนอยู่โรงเรียนอัสสัมชัญได้ 9 ปี ก็จบหลักสูตรมัธยม 6 ภาษาฝรั่งเศสแล้ว คุณเสริมและเพื่อน ๆ ได้ปรึกษาหารือกันว่าอยากจะเรียนภาษาฝรั่งเศสต่ออีกสัก 1 ปี จึงได้ไปร้องขอให้ท่านเจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ ได้มีเมตตาตั้งชั้น 7 ให้เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ คุณเสริมได้สมัครเข้าศึกษาต่อโณงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ซึ่ง ณ โรงเรียนกฎหมายแห่งนี้เองกำลังเปิดรับสมัครล่ามภาษาฝรั่งเศส โดยทางกระทรวงยุติธรรมได้ขอให้ทางโรงเรียนอัสสัมชัญหาล่ามภาษาฝรั่งเศสให้ ซึ่งท่านเจษฎาจารย์ ฟ. ฮีแลร์ ได้เรียกคุณเสริมไปสอบถามว่าสนใจจะรับงานนี้หรือไม่ ประกอบกับในขณะนั้นโรงเรียนกฎหมายได้กำหนดอัตราเงินเดือนไว้ 80 บาทต่อเดือน ทำให้คุณเสริมตกลงรับงานเป็นล่ามแปลภาษาที่โรงเรียนกฎหมาย โดยคุณเสริมได้ทำงานเป็นล่ามแปลภาษาอยู่โรงเรียนกฎหมาย จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย เป็นเนติบัณฑิตในปี พ.ศ. 2472

ชีวิตเมื่อครั้งเป็นผู้ช่วยจัดทำตำรา

ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ไม่เพียงแต่สถาบันการเมืองสำคัญ ๆ ของประเทศจะได้เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ก็ได้แปลงสภาพมาเป็นมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พร้อมกับได้มีการปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนเดิมของโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม เสียใหม่เป็นการใหญ่ ทั้งในสาขาวิชากฎหมายและวิชาบัญชี

ในขณะนั้นคุณเสริมก็ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยจัดทำตำราของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญและมีการจัดสอบเป็นกิจลักษณะ เพราะด้วยมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองประสงค์จะให้มีตำราประกอบคำสอนให้ครบถ้วน ซึ่งในช่วงเวลานั้นคุณเสริมได้เข้ามาเป็นผู้ช่วยจัดทำตำราของบุคคลสำคัญหลายท่าน เช่น ศาสตราจารย์ เอกูต์ (Henri EYGOUT) นักกฎหมายชาวฝรั่งเศสผู้บทบาทสำคัญต่อการเรียนการสอนกฎหมายอาญาของประเทศไทย ซึ่งในบางครั้งศาสตราจารย์ เอกูต์ ก็ให้คุณเสริมเป็นผู้บรรยายแทน เป็นต้น

ในเวลาต่อมามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีความประสงค์จะมีอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย และได้จัดตั้งทุนการศึกษาเพื่อให้บุคคลไปศึกษาต่อต่างประเทศเพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ประจำนั้น คุณเสริมได้มีโอกาสสอบและได้รับทุนการศึกษาเพื่อไปศึกษาต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศสพร้อมกันกับคุณทวี ตะเวทิกุล ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคุณเสริม

ในการไปศึกษาต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศสนั้น นายปรีดีในฐานะผู้ประศาสน์การของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้กำหนดให้คุณเสริมไปศึกษาต่อทางด้านสาขากฎหมายเอกชนและสาขาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งคุณเสริมใช้เวลาศึกษาอยู่ประเทศฝรั่งเศสประมาณ 3 ปี จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกเป็นดอกเตอร์อังดรัวต์ (Docteur en droit) พร้อมกับได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางกฎหมายเอกชนและประกาศนียบัตรชั้นสูงทางเศรษฐศาสตร์

เข้ารับราชการ ณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาประเทศไทย รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีนโยบายจะปรับปรุงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ให้ทันสมัย  ดังนั้น เมื่อคุณเสริมกลับมาจากการไปศึกษาต่อ จึงถือว่าเป็นจังหวะอันดีในการเข้ารับราชการต่อ ณ คณะกรรมการกฤษฎีกาในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการร่างกฎหมาย

คุณเสริมรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการร่างกฎหมายเป็นเวลา 2 ปี ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมาย เรื่อยมาจนกระทั่งศาสตราจารย์ ดร. เดือน บุนนาค เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในเวลานั้น ได้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี คุณเสริมจึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยมีภารกิจหลักคือการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี คอยให้ความเห็นทางกฎหมาย และรับนโยบายของรัฐบาลไปร่างกฎหมาย

ในช่วงที่รับราชการเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา คุณเสริมมีบทบาทสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การเป็นสมาชิกเสรีไทย โดยเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นนั้น นายปรีดี พนมยงค์ เล็งเห็นผลกระทบจากสงครามที่เกิดขึ้นและได้เตรียมแผนการสำหรับการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมา โดยในระยะแรกนั้นขบวนการเสรีไทยประกอบด้วยสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่เข้ามาร่วมกันรับฟังนโยบายจากนายปรีดี โดยการนัดพบกันนั้นจะใช้วิธีการนัดทานอาหารกลางวันกันที่ห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งของตึกโดมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยสมาชิกนัดทานอาหารกลางวันนี้ประกอบไปด้วยตัวนายปรีดีเอง และสมาชิกอีก 4 คน คือ ศาสตราจารย์ ดร. เดือน บุนนาค  ศาสตราจารย์ วิจิตร ลุลิตานนท์  คุณทวี ตะเวทิกุล และตัวคุณเสริมเอง

ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิคนั้นจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ประกาศยอมแพ้สงครามต่อกองทัพของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยซึ่งร่วมเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่น จึงพลอยมีสถานะเป็นผู้แพ้สงครามไปด้วยเช่นกันในสายตาของชาติสัมพันธมิตรบางชาติ เช่น รัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรได้แสดงความจำนงขอให้รัฐบาลไทยส่งผู้แทนไทยไปเจรจาสัญญาความตกลงสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นสนธิสัญญายุติสงครามระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหราชอาณาจักร (อ่านรายละเอียดต่อได้ที่ ความตกลงสมบูรณ์แบบและปัญหาข้าว) ซึ่งคณะผู้สำเร็จราชการในขณะนั้นได้แต่งตั้งหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยยันต์ (ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย) พลโท พระยาอภัยสงคราม และคุณเสริม ไปเป็นผู้แทนของรัฐบาลไทยไปเจรจากับรัฐบาลสหราชอาณาจักร ณ เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน  อย่างไรก็ตาม คณะผู้แทนในครั้งนั้นไม่สามารถเจรจาได้เป็นผลสำเร็จ

จากนักร่างกฎหมายสู่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนที่ 2

เมื่อกลับมาจากประเทศศรีลังกา คุณเสริมได้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เกิดมีเหตุขัดใจกับรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนลาออกจากตำแหน่ง พร้อมกับรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอีก 2 คน (อ่านรายละเอียดต่อได้ที่ ภาวะเงินเฟ้อกับชีวิตคนไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ทำให้รัฐบาลของหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ต้องหาบุคคลอื่นมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคุณเสริมได้บรรยายเหตุการณ์นั้นเอาไว้ในอัตชีวประวัติว่า

“…วันหนึ่งคุณหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งข้าพเจ้าคุ้นเคยกับท่านเป็นอันดี เพราะเป็นเนติบัณฑิตรุ่นเดียวกัน และนับถือท่าน ได้เรียกข้าพเจ้าไปพบ และขอร้องให้ข้าพเจ้าไปเป็นผู้ว่าการธนาคารชาติ…”

แม้ว่าคุณเสริมจะได้สงสัยและรู้สึกแปลกใจถึงเหตุผลดังกล่าว แต่ด้วยหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นบุคคลที่คุณเสริมเคารพ และเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาได้ขอร้องและคาดคั้น คุณเสริมจึงตกลงยอมรับในการไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต่อจากหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ซึ่งขณะนั้นคุณเสริมมีอายุเพียง 39 ปีเศษเท่านั้น

ความท้าทายของคุณเสริมในการเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต่อจากหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ก็คือ ธนาคารแห่งประเทสไทยเกือบไม่มีเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่เลย รัฐบาลได้ออกกฎหมายอนุมัติให้ขายทองคำสำรองที่รัฐบาลได้เอาไปฝากไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้นภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องซื้อกลับคืนมาภายใน 5 ปี ซึ่งผลจากการขายทองคำนั้นทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีทุนสำรองเป็นเงินจำนวน 5,000,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในเรื่องนี้หม่อมเจ้าวิวัฒนไชยได้ดำเนินการไปแล้วเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และได้ขอร้องให้คุณเสริมดำเนินการซื้อทองคำคืนให้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งคุณเสริมได้ทำสำเร็จภายในระยะเวลา 2 ปีต่อมา

การหาเงินตราต่างประเทศเข้ามานั้นทำได้ยากลำบากมากในขณะนั้น รัฐบาลต้องอาศัยวิธีการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงิน และควบคุมการส่งเงินออกไปนอกประเทศ โดยกำหนดให้จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้อัตราแลกเปลี่ยนก็ไม่คงที่ทำให้ต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนระบบหลายอัตราคือ ใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไปพร้อมกับการใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามตลาด (อ่านรายละเอียดต่อได้ที่ ภาวะเงินเฟ้อกับชีวิตคนไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2)

ในระหว่างที่คุณเสริมดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสมัยที่ 2 (พ.ศ. 2495 – 2498) ในปี พ.ศ. 2497 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แต่งตั้งให้คุณเสริมดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังเพิ่มอีกตำแหน่งหนึ่ง โดยเป็นปลัดกระทรวงการคลังคนแรกของประเทศไทย

ในช่วงดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังนั้น คุณเสริมได้รับความไว้วางใจจากพระบริภัณฑ์ยุทธกิจ (เภา เพียรเลิศ) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยพระบริภัณฑ์ยุทธกิจได้มอบหมายภารกิจสำคัญ ๆ ให้แก่คุณเสริมทำเป็นจำนวนมากทั้งการต้อนรับแขกสำคัญของรัฐบาล เช่น อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้คุณเสริมเข้าประชุมธนาคารโลกแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในช่วงดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังนั้น คุณเสริมได้รับความไว้วางใจจากพระบริภัณฑ์ยุทธกิจ (เภา เพียรเลิศ) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยพระบริภัณฑ์ยุทธกิจได้มอบหมายภารกิจสำคัญ ๆ ให้แก่คุณเสริมทำเป็นจำนวนมากทั้งการต้อนรับแขกสำคัญของรัฐบาล เช่น อดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้คุณเสริมเข้าประชุมธนาคารโลกแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

คุณเสริมเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2500-2501 ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพียงชั่วคราวและในขณะเดียวกันคุณเสริมก็ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงการคลังไปด้วย จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2508 คุณเสริมได้ลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลังเพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพียงตำแหน่งเดียว โดยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร

บทบาทของคุณเสริม วินิจฉัยกุลนั้น เปลี่ยนแปลงไปจากความตั้งใจเริ่มต้นของบิดาและมารดาเป็นอย่างมาก คุณเสริมไม่ได้มีโอกาสเป็นผู้พิพากษาดังความตั้งใจของบิดา แต่ที่ผ่านมาคุณเสริมได้ทำกิจการงานต่าง ๆ เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมาโดยตลอด


อ้างอิง

  • อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นายเสริม วินิจฉัยกุล ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. นายกราชบัณฑิตยสถาน

บรรณานุกรม

  • อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นายเสริม วินิจฉัยกุล ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. นายกราชบัณฑิตยสถาน ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 19 ตุลาคม พุทธศักราช 2528
  • จารุบุตร เรืองสุวรรณ, “นิทานเสรีไทย,” สถาบันปรีดี พนมยงค์, สืบค้น จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/08/377.
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย, “นายเสริม วินิจฉัยกุล,” ธนาคารแห่งประเทศไทย, สืบค้นจาก https://www.bot.or.th/Thai/AboutBOT/RolesAndHistory/Governor/Pages/Serm.aspx.

Enola Holmes เล่าเรื่องอำนาจผ่านการผจญภัย

“Enola Holmes” เป็นภาพยนตร์จอเงินของ “Neflix” โดยเล่าเรื่องราวของ Enola Holmes หญิงสาววัย 16 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวของนักสืบชื่อดัง Sherlock Holmes ซึ่งเป็นตัวละครจากผลงานสร้างสรรค์ของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ (Arthur Conan Doyle)

โดยในเรื่องนั้นจะบอกเล่าเรื่องราวของ Enola ซึ่งอาศัยอยู่กับแม่ของเธอแล้วจนวันหนึ่ง แม่ของเธอก็ได้หายออกไปจากบ้านเพื่อไปทำภารกิจบางอย่าง ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับ Enola เป็นอย่างมาก และนำไปสู่การออกตามหาแม่ที่หายไป ซึ่งในระหว่างทางเธอได้เข้าไปช่วยชีวิต Lord Tewsbury ขุนนางหนุ่มซึ่งมีความฝันจะเดินตามรอยพ่อที่จะ “ปฏิรูป” ประเทศอังกฤษจากการถูกปองร้าย ทำให้ Enola ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายในครั้งนี้

การ “ปฏิรูป” ที่ถูกพูดถึงในเรื่องนั้นมีความสำคัญอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่

ประการแรก คือ การปฏิรูประบบการเลือกตั้องของอังกฤษในปี ค.ศ. 1884 โดยรัฐบาลผลักดันให้เกิดการพระราชบัญญัติปฏิรูป ค.ศ. 1884 หรือ “Third Reform Act 1884” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ขยายสิทธิการเลือกตั้งแก่ผู้ใช้แรงงานในภาคการเกษตรหรือแรงงานรับจ้างในไร่ โดยผลของกฎหมายฉบับนี้ทำให้ชาวนาอังกฤษมีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นอีกราวๆ 2.5 ล้านคน จึงอาจกล่าวได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ได้ทำให้เกณฑ์ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเปลี่ยนไปเป็น “ชาย” บรรลุนิติภาวะทุกคนและเป็นเจ้าของหรือเช่าที่อยู่อาศัยมีสิทธิเลือกตั้งทุกคน

ประการที่สอง คือ การปฏิรูปการถือครองที่ดิน (ประเด็นนี้ถูกพูดถึงไม่มากมีประมาณ 2 ฉาก)

ประการที่สาม คือ กระแสสตรีนิยมที่เริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมอังกฤษ ซึ่งจะเห็นได้จากหลายๆ ฉากในหนังแม้จะไม่ได้พูดถึงตรงๆ เช่น การที่แม่ของ Enola อ่านหนังสือแนวคิดแบบสตรีนิยม การที่แม่สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับ Enola หรือแม้แต่ในตอนท้ายของเรื่องที่แม่ของ Enola พูดถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงโลกที่ลูกสาวของเธอจะเติบโตขึ้นมา เป็นต้น ซึ่งการปฏิรูปสำคัญที่สุดของกลุ่มเคลื่อนไหวสตรีนิยมในขณะนั้นคือ การเรียกร้องให้ผู้หญิงมีสิทธิเลือกตั้งเสมอภาคกับผู้ชาย

ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหนังนั้นหยิบประเด็นทางสังคมและการเมืองต่างๆ มาเล่าได้อย่างสนุกสนานผ่านการผจญภัยของ Enola และนอกจากนี้ตัวหนังยังพยายามที่จะเล่าความคิดทางการเมืองผ่านบรรดาตัวละครสำคัญต่างๆ อาทิ ทั้งท่านหญิงย่าของ Lord Tewsbury หรือ Mycroft พี่ชายของ Enola ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม แม่ของ Enola ที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยมหรือบรรดาผู้หญิงในสมาคมของแม่ และ Sherlock ซึ่งเป็นตัวแทนของคนชนชั้นกลางค่อนไปทางสูงที่มีความพึ่งพอใจในสถานะและไม่ถูกกดขี่ทางสังคมจึงเลือกที่จะไม่ให้ความสำคัญหรือสนใจกับปัญหาทางการเมือง

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวทางการเมืองและอำนาจไปได้ไกลกว่าเพียงแค่ในภาพใหญ่ระดับการเมืองของชาติ แต่ตัวหนังยังสะท้อนเรื่องราวของอำนาจทางการเมืองต่างๆ ที่ปกคลุมอยู่บนตัวผู้คน เช่น ในตอนที่ Enola ถูกส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนกุลสตรี ซึ่งฉากนั้นนำเสนอภาพของอำนาจที่กดทับตัวผู้หญิงชั้นสูงของอังกฤษที่ต้องมีมารยาท กริยา และบุคลิกสอดคล้องกับมาตรฐานแบบวิกตอเรียน หรือประเด็นเรื่องความแตกต่างระหว่างช่วงวัยและอำนาจที่กดทับกันระหว่างความอาวุโส ซึ่งส่วนนี้จะเห็นได้ชัดในครอบครัวของ Lord Tewsbury

สำหรับสิ่งสุดท้ายที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือ การกล่าวถึงความเชื่อมมั่นและการพยายามทำให้เห็นถึงโลกที่เราคาดหวังจะให้เป็นโดยอุทิศกำลังและแรงกายในการทำสิ่งนั้น ซึ่งจะเห็นได้จากความพยายามขับเคลื่อนของแม่ของ Enola กับ Lord Tewsbury และแม้กระทั่งตัวของ Enola เอง

แด่ RBG

ในวันศุกร์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563 สำนักข่าวต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาหลายสำนักข่าวได้เผยแพร่ข่าวการเสียชีวิตของ รูธ เบเดอร์ ดินสเบิร์ก (Ruth Bader Ginsburg) ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา (U.S. Supreme Court) วัย 87 ปี สตรีผู้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมที่เป็นธรรมในสังคม

บทบาทของ RGB นั้นมีบทบาทอยู่ด้วยกันหลายเรื่องด้วยกัน RGB มีบทบาทอย่างมากในการเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางเพศ อาจจะกล่าวได้เลยว่าตั้งแต่การเริ่มต้นชีวิตกฎหมายของเธอเลยก็ว่าได้ ในฐานะบัณฑิตสตรีทางกฎหมายนั้น RGB ประสบปัญหาอย่างมากในการเริ่มต้นวิชาชีพ เพราะสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นยังเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ ไม่มีที่ใดรับบัณฑิตสตรีเข้าทำงานทางด้านกฎหมายเลย แม้แต่กระทั่งในตำแหน่งเสมียนศาล จนกระทั่งในท้ายที่สุดด้วยความช่วยเหลือจาก Gerald Gunther ศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายจาก Columbia Law School ที่กดดันให้ Edmund L. Palmonieri ผู้พิพากษาศาลในมหานครนิวยอร์กรับ RGB เข้าทำงานในตำแหน่งเสมียนศาล

RGB ทำงานให้กับ Palmonieri ได้อยู่ 2 ปี ก็ได้หันเหเส้นทางไปทำงานด้านวิชาการโดยเป็นผู้บรรยายอยู่ที่ Ruthers Law School โดยได้รับเงินเดือนต่ำกว่าอาจารย์ผู้ชายที่มีตำแหน่งทางวิชาการเท่ากัน และได้ย้ายไปทำงานที่ Columbia Law School ในปี พ.ศ. 2515 จนถึง พ.ศ. 2523

การเข้าสู่กระบวนการประชาสังคมของ RGB นั้น เกิดจากการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิสตรีให้เสมอภาคกับบุรุษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ RGB ต่อสู้อยู่ตลอดชีวิต แม้กระทั่งในตอนที่ได้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาก็ตาม

ในปี พ.ศ. 2515 ได้ร่วมกับมิตรสหายก่อตั้งโครงการ The Women’s Right Project ภายใต้องค์กร The American Civil Liberties Union (ACLU) ซึ่งทำให้เกิดการนำคดีการเหยียดเพศขึ้นสู่การพิจารณาของศาล โดย RGB นั้นรับหน้าที่เป็นทนายความในคดีด้วยขอบเขตการให้ความช่วยของโครงการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะ คดีการเหยียดเพศในผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังรับคดีที่เกิดกับผู้ชายด้วย เพราะเห็นว่าการเหยียดเพศนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่ในผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็สามารถตกเป็นเหยื่อในคดีเหยียดเพศด้วยเช่นกัน ซึ่งคดีจำนวนมากที่ RGB ได้ว่าความเป็นจำนวนมาก และชนะคดีเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

ผลของการนำคดีเหยียดเพศมาสู่การพิจารณาของศาล ทำให้นายจ้างในที่ทำงานมีการเหยียดเพศน้อยลง ทำให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน ไม่เฉพาะแต่ในที่ทำงาน แม้แต่กระทั่งนักการเมืองก็ต้องระมัดระวังและเปลี่ยนท่าทีของตนเองในการนำเสนอกฎหมายที่มีนัยต่อการเหยียดเพศ

ภาพ RBG จาก www.wavy.com

RGB ทำงานในฐานะทนายความภายใต้โครงการ ACLU จนกระทั่งประธานาธิบดี Jimmy Carter ได้แต่งตั้ง RGB ให้เป็นผู้พิพากษาในปี พ.ศ. 2523 โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาในศาล U.S. Court of Appeals for the District of Columbia Circuit และต่อมาประธานาธิบดี William Jefferson Clinton ก็ได้ตั้งให้ RGB เป็น Associate Justice of the Supreame Court ในปี พ.ศ. 2536 เนื่องจาก Clinton ไม่ต้องการให้ศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาถูกครอบงำโดยผู้พิพากษาฝั่งอนุรักษ์นิยม (Conservative)

ด้วยเหตุที่ RGB เป็นผู้หญิงและเป็นชาวยิวนั้นยิ่งส่งเสริมภาพของเธอในฐานะผู้พิพากษาฝั่งเสรีนิยม (Liberalism) ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อได้รับตำแหน่งในศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา RGB ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงแบบของชุดครุยผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา ไปจนถึงแนวคิดที่เธอได้แสดงออกผ่านคำพิพากษาในฐานะเจ้าของสำนวน

การเสียชีวิตของ RBG นี้จึงถือว่าเป็นเรื่องที่น่าใจหายและสลดหดหู่ใจมากในหมู่เสรีนิมชาวอเมริกัน และเป็นการสูญเสียบุคลากรทางกฎหมายคนสำคัญของโลกคนหนึ่ง

ภาพประชาชาชนชาวอเมริกันมาร่วมแสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตของ RBG ที่มา: POLITICO

ในทางการเมืองของสหรัฐอเมริกานั้นเท่ากับว่าฝ่ายเสรีนิยมในศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกาได้เสียบุคลากรสำคัญไปคนหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกานี้เป็นตำแหน่งตลอดชีพ และไม่มีวาระ (เว้นแต่จะลาออกเอง) โดย RGB นั้นเป็นหนึ่งในผู้พิพากษาฝ่ายเสรีนิยมที่มีอยู่เพียง 4 คน ท่ามกลางหมู่ผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษ์นิยม

บทบาทของผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกานั้นมีความสำคัญมาก เพราะผู้พิพากษาศาลสูงสุดทั้ง 9 คนนั้นมีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ต่างๆ เช่น การรับรองสิทธิของประชาชนในเรื่องต่างๆ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีจำนวนผู้พิพากษาเป็นฝ่ายข้างน้อยของจำนวนทั้งหมด แต่ด้วยความที่มีผู้พิพากษาฝ่ายอนุรักษ์นิยมบางคน เช่น Anthony M. Kennedy เป็นต้น ที่พยายามวางตัวเป็นกลางและรับบท Swing Voter ในคดีสำคัญๆ หลายคดี ทำให้เกิดความสมดุลขึ้นมา และแม้ในเวลาต่อมา Kennedy จะได้ลาออกจากตำแหน่งก็ตาม แต่ก็ยังมี John G. Roberts, Jr. ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลนั้นพยายามวางตัวเป็นกลาง และรับบทบาทนี้ต่อมาก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าสถานะของฝ่ายเสรีนิยมในศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกานั้นเปราะบางมาก ทำให้ RBG จำเป็นต้องระมัดระวังสุขภาพและพยายามปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่มาแทน Donald J. Trump ซึ่งเป็นประธานาธิบดีฝ่ายอนุรักษ์นิยม

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคงจะหนีไม่พ้นสถานะของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เปราะบางในสังคมอเมริกาเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดเหตุการณ์ตุลาการภิวัฒน์ (Judicial Activism) ขึ้นมา

การร่างกฎหมายอย่างเป็นหลักวิชาการยังห่างไกล

ภาพประกอบจาก: the blue diamond gallery

ตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกาศใช้ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนี้มีข้อเสียมากกว่าข้อดี และเกินกว่าที่จะยอมรับได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญของรัฐที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ในบรรดาข้อดีที่มีอยู่น้อยนิดนั้นที่ได้มาบัญญัติไว้ในตราสารที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญนี้ คือ การกำหนดให้การร่างกฎหมายจะต้องเป็นหลักวิชาการมากขึ้น โดยบัญญัติไว้ในบทบัญญัติมาตรา 77 บัญญัติว่า

มาตรา 77 รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

ก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป

รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็น พึงกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐและระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน และพึงกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง

บทบัญญัติในทั้งสามวรรคของมาตรา 77 นั้น เป็นความพยายามเปลี่ยนให้การร่างกฎหมายเป็นวิชาการมากขึ้น และลดทอนความเป็นการเมืองในกฎหมายลงโดยให้สอดคล้องกับข้อมูลในเชิงประจักษ์มากขึ้น แน่นอนว่าการร่างกฎหมายทุกอย่างย่อมมาจากนโยบาย และคณะรัฐมนตรีก็ผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามนโยบายายที่ได้แถลงไว้ต่อหน้าที่ประชุมรัฐสภา แต่เมื่อการออกกฎหมายเป็นการไปกระทบสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และขัดขวางกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชน การร่างกฎหมายจึงควรเป็นไปตามหลักวิชาการให้มากกว่านี้ และสามารถใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการวิเคราะห์ได้

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญไปกับแบบของการร่างกฎหมายมากกว่าเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งเป็นลักษณะส่วนใหญ่ของการร่างกฎหมายในประเทศไทย ไม่เว้นแม้กระทั่งในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีาซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทในการร่างกฎหมาย ทำให้ในการร่างกฎหมายจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถกเถียงในเชิงถ้อยคำของกฎหมายและรูปแบบการวางรูปประโยคของกฎหมายมากกว่า

ในด้านเนื้อหาของกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้พยายามที่จะกำหนดแนวทางในการร่างกฎหมายโดยคำนึงถึงหลักการในทางนิติศาสตร์ต่างๆ แต่ในความคิดของผู้ร่างกฎหมายของหน่วยงานภาครัฐยังไม่เปิดรับแนวคิดของการนำศาสตร์อื่นมาใช้ประกอบในการร่างกฎหมาย เช่น การใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาใช้ หรือการใช้เครื่องมือทางสังคมวิทยา เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้อาจจะมาจากหลายส่วนด้วยกันทั้งความไม่รอบรู้ในทางวิชาการสาขาต่างๆ ของผู้ร่างก็ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็คือ การใช้กฎหมายเปรียบเทียบเป็นเครื่องมือหลักในการร่างกฎหมาย โดยขาดบริบทแวดล้อมของกฎหมายนั้น

นอกจากนี้ การร่างกฎหมายมีแนวโน้มจะร่างจากอุดมคติหรือทัศนะส่วนบุคคลของผู้ร่างโดยไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของบริบททางสังคม และเนื่องจากผู้ร่างกฎหมายไม่มีข้อมูลที่สมมาตรพอ ทำให้การตัดสินใจเป็นไปโดยผิดพลาด และพยามยามตรากฎหมายให้ครอบคลุมเกินกว่ากรณี เพราะผู้ร่างไม่มีข้อมูลหรือไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ แม้ว่าในความเป็นจริงภาครัฐจะเต็มไปด้วยเอกสารมากมายที่ขอให้ประชาชนยื่นมาให้ตนก็ตาม แต่มันก็ผสมปนเปกันไปหมดจนหาดีได้ยาก

ด้วยลักษณะดังกล่าวนี้หากร่างกฎหมายอย่างเป็นหลักวิชาการยังห่างไกลอีกมาก

กฎหมายกับการเป็นคุณพ่อรู้ดีของรัฐ

ภาพประกอบจาก: shout factory tv

ในช่วงปี ค.ศ. 1954-1960 มีซีรีย์อเมริกันเรื่องหนึ่งชื่อว่า Father Knows Best เล่าถึงครอบครัวหนึ่งชนชั้นกลางครอบครัวหนึ่งที่มีพ่อเป็นผู้นำครอบครัวและเป็นหัวใจสำคัญและสีสันของเรื่อง ความรู้ดีของคุณพ่อเป็นตัวจุดประกายประเด็นและตั้งคำถามเป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อมองพ่อในฐานะหัวหน้าครอบครัวแล้ว

ซึ่งหากเปรียบบทบาทของรัฐเสมือนพ่อและประชาชนทุกคนเป็นลูก บทบาทของพ่อก็ต้องเป็นการปกป้องคุ้มครองลูกจากอันตรายจากทั้งภายนอกและจากตัวของลูกเอง เช่นเดียวกับที่พ่อเเม่ส่วนใหญ่บอกลูกว่าลูกควรกินอะไร ควรจะนอนเมื่อไร ควรจะระมัดระวังตัวอย่างไร และควรเรียนอะไร โดยเชื่อว่าเข้าใจความต้องการของลูกดี แม้ส่วนหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะมาจากความเป็นห่วงเป็นใยก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการที่พ่อแม่ตัดสินใจแทนลูกหรือกำหนดวิถีชีวิตแทนลูกไปเสียทุกเรื่องสิ่งที่ตามมาคือ การปิดกั้นเสรีภาพและโอกาสที่ลูกจะตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง จนในท้ายที่สุดลูกจะไม่รู้จักความต้องการที่แท้จริงของตัวเองไปในที่สุด

แนวคิดเช่นนี้เองก็ปรากฏอยู่ในบทบาทของรัฐเช่นกันและแสดงออกผ่านทางตัวบทกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งเรียกว่ากฎหมายแบบปิตาธิปไตยกฎหมายแบบปิตาธิปไตย (Legal Paternalism) เป็นคำที่เราใช้เรียกกฎหมายที่ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า รัฐเข้าใจความต้องการของปักเจกบุคคลดี (ในบางครั้งคิดว่าดีกว่าตัวปัจเจกบุคคลเองเสียอีก) โดยรัฐออกกฎหมายมามีวัตถุประสงค์เพื่อบังคับให้ปัจเจกบุคคลปฏิบัติตาม เพื่อหลีกเลี่ยงผลอันไม่พึงปรารถนา

ตัวอย่างเช่น ในเรื่องของการทำนิติกรรมกฎหมายยอมรับเสรีภาพในการทำสัญญา (Freedom of Contract) ซึ่งเป็นหลักหนึ่งในหลักอิสระทางแพ่ง (Private Autonomy) ที่เคารพการตัดสินใจของเอกชนภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนด (ตราบเท่าที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น)

อย่างไรก็ตามแม้บุคคลจะมีเสรีภาพในการทำสัญญา แต่ก็อาจมีข้อจำกัดซึ่งรัฐกำหนดขึ้นให้บุคคลต้องปฏิบัติตาม เช่น การปกป้องผู้เยาว์ คนวิกลจริต คนไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมโดยจำกัดความสามารถของเขา เพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านั้นไปทำนิติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ตนเองกฎหมายจึงเข้ามาคุ้มครองการแสดงเจตนา หรือในเรื่องละเมิดซึ่งมีหลักการสำคัญอย่างหลักความยินยอมไม่ทำให้เป็นละเมิด (Volenti non fit injuria) ดังปรากฏอยู่ในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 บัญญัติว่า “ความตกลงหรือความยินยอมของผู้เสียหายสำหรับการกระทำที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จะนำมาอ้างเป็นเหตุยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเพื่อละเมิดมิได้”

เหล่านี้เป็นตัวอย่างของกฎหมายแบบปิตาธิปไตย ซึ่งล้วนมีลักษณะเป็นการเข้ามาตัดสินใจแทนเจตจำนงของบุคคลที่ศาลและกฎหมายเห็นสมควรเข้ามาแทรกแซงด้วยเหตุผลของความสงบเรียบร้อยทางศีลธรรม หรือนโยบายสาธารณะ

ในบางครั้งกฎหมายแบบปิตาธิปไตยนั้นก็มีข้อดีและมีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองประชาชนตามเหตุผลของเรื่อง ดังตัวอย่างที่ได้เล่าไปแล้วคือ ในเรื่องของการจำกัดความสามารถของบุคคล การทำนิติกรรมที่ฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น การทำสัญญายอมเป็นตนลงเป็นทาส หรือทำสัญญายอมให้ผู้หญิงเป็นภริยาคนที่สอง หรือการมิให้เอาเรื่องความยินยอมมาใช้ในเรื่องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือในกฎหมายอาญาต่าง ๆ

แต่อย่างไรก็ตามการนำแนวคิดแบบปิตาธิปไตยไปใช้ในทุกเรื่องของสังคมก็อาจไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการจำกัดเสรีภาพในการเลือกโดยการเข้ามาตัดสินใจแทนบุคคล และในขณะเดียวกันการออกกฎหมายนั้นย่อมส่งผลกระทบในแง่ของการเพิ่มต้นทุนให้กับเอกชน การที่รัฐจะเป็นคุณพ่อรู้ดีได้นั้น รัฐเองก็ต้องมีความเข้าใจในเรื่องนั้นหรือมีข้อมูลที่มากพอ (บางครั้งอาจต้องมากพอเข้าไปถึงจิตใจและวิธีคิดของประชาชน) แต่ปัญหาก็คือมุมมองการแก้ปัญหาของรัฐส่วนใหญ่มักจะเป็นในทิศทางการตัดสินใจจากเบื้องบน (Top-down)

พูดออกอากาศครั้งแรก

ในวันนี้ ผมได้มีโอกาสไปออกรายการ BizValues Live บน Facebook Live ครั้งแรก โดยเข้าไปเล่าประสบการณ์ในการทำงานวิจัยในโครงการทบทวนการอนุญาตของทางราชการ และร่วมแชร์ประสบการณ์กับทางรายการ BizValues

การได้มีโอกาสไปพูดในรายการครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการพูดออกอากาศครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวแล้วค่อนข้างจะมีอาการตื่นเต้นเล็กๆ น้อย เพราะไม่เคยได้มีโอกาสไปพูดกับคนผ่านทางสื่อมาก่อน โชคดีที่การไปพูดครั้งนี้ เรายังไปพูดในฐานะเป็นคนทำงานร่วมกันกับพี่เพลส ดร.รัชพร วงศาโรจน์ ที่มีบทบาทเป็นหัวหน้าทีมหลักในการมีบทบาททบทวนกฎหมาย

หัวข้อและใจความสำคัญในการไปพูดครั้งนี้ จึงเป็นการยกตัวอย่างเกี่ยวกับผลการทบทวนการอนุญาตที่ได้ทำมา อาทิ ใบอนุญาตโรงแรม ใบอนุญาตสปา และใบอนุญาตอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว