The Junction of Economic Ideologies: A Study of Economic Principles in the Constitution of Thailand

The Junction of Economic Ideologies: A Study of Economic Principles in the Constitution of Thailand

Published in Thai Legal Studies, Vol. 4 No. 2 (2024): December Issue

Suggested Bibliographic Citation: Trisadikoon, K. (2024). “The Junction of Economic Ideologies: A Study of Economic Principles in the Constitution of Thailand.” Thai Legal Studies, 4(2). 132–161. https://doi.org/10.54157/tls.274260

Abstract

The Thai Constitution functions as a political instrument outlining state powers and relationships and as a meta-institution shaping societal norms, particularly in terms of economic frameworks and ideologies. Earlier Thai constitutions mainly endorsed market-oriented liberal economic systems. But the Constitution of the Kingdom of Thailand, B.E. 2560 (2017) newly included the Sufficiency Economy Philosophy (SEP). However, the inherent ambiguity of SEP poses significant challenges for its translation into coherent economic policy. This development may have impacted the enforcement of law recently, especially in the context of regulating major corporate mergers. This inquiry studies mechanisms underpinning the ideological transformation in the legal framework and its implications for the theoretical foundations and practical application of the law. Legally analyzing the three most recent Constitutions and an institutional economic perspective, this study examines the Constitutions’ ideological and economic provisions. It aims to understand the emergence of ideological divergence, the institutional ascendancy of SEP, and preliminary implications arising from this ideological conflict.

นิติเศรษฐศาสตร์ของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: มุมมองจากทฤษฎีตัวการ-ตัวแทน

ชื่อบทความ: นิติเศรษฐศาสตร์ของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: มุมมองจากทฤษฎีตัวการ-ตัวแทน

เผยแพร่ใน: วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences, ปีที่ 17 ฉบับที่ 2 (2024): กรกฎาคม – ธันวาคม 2567

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: วัชรพล ศิริ และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (2567). นิติเศรษฐศาสตร์ของการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: มุมมองจากทฤษฎีตัวการ-ตัวแทน. วารสารนิติสังคมศาสตร์, 17(2). 145-176. https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/275731

บทคัดย่อ

บทความนี้เป็นการทดลองนำมโนทัศน์ปัญหาตัวการ-ตัวแทน ซึ่งเป็นแนวคิดในทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์สภาพปัญหาการบังคับใช้กฎหมายไทย โดยอาศัยตัวอย่างการศึกษาคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562  ทั้งนี้ การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจปัญหาการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยผ่านแนวคิดปัญหาตัวการ-ตัวแทน โดยกำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นตัวการ และหน่วยงานของรัฐอื่นเป็นตัวแทนที่ต้องทำตามเจตนารมณ์ของตัวการ

อย่างไรก็ดี จากการศึกษาพบว่าสภาพปัญหาตัวการ-ตัวแทนที่เกิดขึ้นจากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีสาเหตุมาจากปัญหาความไม่สมมาตรของข้อมูลและจริยธรรมวิบัติ ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ตอบสนองต่อเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติ (ตัวการ) โดยผู้เขียนได้นำเสนอบทวิเคราะห์สภาพปัญหานี้โดยอาศัยตัวอย่างการศึกษา 2 ประการคือ ความขัดแย้งระหว่างตัวการ-ตัวแทนในการตรากฎหมายลำดับรอง และความขัดแย้งระหว่างตัวการ-ตัวแทนในการตีความกฎหมาย  อนึ่ง การศึกษากฎหมายผ่านทฤษฎีตัวการ-ตัวแทนนี้จะมีประโยชน์ต่อการวิพากษ์และการเสนอแนะเพื่อแก้ไขกฎหมายต่อไป

ตุลาการ ปราบดาภิเษก และรัฐประหาร: บทวิพากษ์และข้อสังเกตต่อความสัมพันธ์ทางจารีตและการรับรองความชอบธรรมของรัฐประหาร ในงานวิจัยของ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

ชื่อบทความ: ตุลาการ ปราบดาภิเษก และรัฐประหาร: บทวิพากษ์และข้อสังเกตต่อความสัมพันธ์ทางจารีตและการรับรองความชอบธรรมของรัฐประหาร ในงานวิจัยของ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล

เผยแพร่ใน: วารสาร CMU Journal of Law and Social Sciences, ปีที่ 17 ฉบับที่ 2 (2024): กรกฎาคม – ธันวาคม 2567

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (2567). ตุลาการ ปราบดาภิเษก และรัฐประหาร: บทวิพากษ์และข้อสังเกตต่อความสัมพันธ์ทางจารีตและการรับรองความชอบธรรมของรัฐประหาร ในงานวิจัยของ ปริญญา เทวานฤมิตรกุล. วารสารนิติสังคมศาสตร์, 17(2). 30-63. https://so01.tci-thaijo.org/index.php/CMUJLSS/article/view/275525

บทคัดย่อ

การรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารเป็นประเด็นการศึกษาที่มีความสนใจในวงวิชาการด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทยที่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยและซ้ำ ๆ งานวิจัยเรื่อง การทำให้รัฐประหารหมดไปด้วยมาตรการทางกฎหมายและการเปลี่ยนบรรทัดฐานของศาลไทย เป็นตัวอย่างหนึ่งของงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตุลาการกับการรัฐประหารในประเด็นเรื่องการรับรองความชอบธรรมของรัฐประหาร โดยงานวิจัยฉบับนี้พยายามสร้างคำอธิบายปรากฏการณ์ยอมรับและสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐประหารโดยองค์กรตุลาการผ่านความสัมพันธ์ทางจารีตในสังคมไทย แต่คำอธิบายที่ปรากฏในงานวิจัยนี้สะท้อนความไม่ชัดเจนของความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรตุลาการและการรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารจากเหตุผลทางจารีตในสังคมไทย โดยไม่ได้มองมิติความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของจารีตและการรัฐประหาร ความไม่ชัดเจนดังกล่าวนำมาสู่การอภิปรายในทางวิชาการ ซึ่งบทความฉบับนี้ต้องการนำเสนอข้อวิพากษ์และข้อสังเกตต่องานวิจัยในประเด็นดังกล่าว

การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม

ชื่อบทความ: การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม

เผยแพร่ใน: รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 213 สิงหาคม 2567

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ, และฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์. (2567). การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม. รายงานทีดีอาร์ไอ, 201. 1-14. https://tdri.or.th/2024/07/wb213/

สรุป

การลงโทษเป็นกระบวนการที่รัฐนำมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคม โดยมีเป้าหมายเพื่อป้องปรามและตอบแทนพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่ได้ทำให้เกิดขึ้นในสังคม ทั้งนี้ วิธีการลงโทษอาจทำได้หลายลักษณะ ในการลงโทษทางอาญามีบทลงโทษเป็นการประหารชีวิต จำคุก ปรับ กักขัง และริบทรัพย์สิน แต่เมื่อมีการนำโทษทางอาญามาใช้มากขึ้นจนกลายเป็นสภาวะกฎหมายอาญาเฟ้อ รัฐก็ได้เริ่มมีนโยบายในการนำโทษในลักษณะอื่นมาทดแทนโทษทางอาญา อาทิ โทษปรับทางปกครอง หรือมาตรการลงโทษทางแพ่ง (ปรับเงิน) สภาพดังกล่าวสะท้อนบทบาทของการลงโทษปรับ ในฐานะมาตรการลงโทษสำคัญของรัฐไทย

ที่ผ่านมาการใช้โทษปรับของประเทศไทยนั้นใช้วิธีการกำหนดอัตราโทษปรับเป็นจำนวนแน่นอนไว้ในบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งจากการศึกษาและทบทวนวรรณกรรม พบว่าโทษปรับในระบบกฎหมายไทยนั้นมีปัญหาในเรื่องประสิทธิภาพในการปรับ เนื่องจากโทษปรับที่กำหนดไว้ในกฎหมายมีความลักลั่นไม่เท่ากัน และสร้างความไม่เป็นธรรมกับผู้ถูกลงโทษ เนื่องจากการลงโทษปรับไม่ได้คำนึงถึงสถานะทางเศรษฐกิจของผู้ทำความผิดมาประกอบ ทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากการลงโทษมากกว่าผู้มีรายได้สูง ด้วยเหตุนี้การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยจึงเป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาในลักษณะดังกล่าว
บทความฉบับนี้ จึงเขียนขึ้นเพื่อศึกษาสภาพปัญหาเบื้องต้นและแนวทางในการแก้ไขปัญหาของระบบโทษปรับในปัจจุบัน โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ (1) ภาพรวมของระบบการลงโทษปรับของประเทศไทย (2) ความลักลั่นของโทษปรับที่ไม่เท่ากันและความไม่เป็นธรรมของโทษปรับ (3) การถอดบทเรียนระบบค่าปรับของต่างประเทศ และ (4) ข้อเสนอแนะ

ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

ชื่อบทความ: ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร

เผยแพร่ใน: วารสารนิติพัฒน์ ปีที่ 13 เล่มที่ 1 (2567) มกราคม – มิถุนายน

การอ้างอิงแนะนำตามรูปแบบ APA: เขมภัทร ทฤษฎิคุณ. (2567). ข้อจำกัดในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม: กรณีศึกษาแรงงานแพลตฟอร์ส่งอาหาร. วารสารนิติพัฒน์, 13(1). https://so04.tci-thaijo.org/index.php/nitipat/article/view/269947

บทคัดย่อ

การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้ทำให้เกิดรูปแบบการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจแพลตฟอร์มเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์ อาทิ การสั่งอาหาร ซึ่งช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน  อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของธุรกิจแพลตฟอร์มนี้ได้มาพร้อมกับประเด็นความท้าทายทางสังคม หนึ่งในความท้าทายที่มีความสำคัญที่จะถูกกล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ การคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากรูปแบบการประกอบธุรกิจแบบใหม่ที่ไม่มีลักษณะเหมือนการทำงานในสถานประกอบการในอดีตทำให้สถานะของคนทำงานบนแพลตฟอร์มมีความพร่าเลือนระหว่างการเป็นแรงงานตามสัญญาจ้างแรงงานหรือการเป็นแรงงานอิสระตามสัญญาจ้างทำของ สภาพการมีนิติสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนดังกล่าวทำให้คนทำงานบนแพลตฟอร์มไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำงาน ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากข้อจำกัดของกฎหมายแรงงานในปัจจุบันที่ขาดความยืดหยุ่น

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความท้าทายอีกประการหนึ่งก็คือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มที่มีเหนือคนทำงานแพลตฟอร์มนั้นทำให้คนทำงานไม่มีทางเลือกที่เป็นอิสระในการทำงานอย่างแท้จริงและต้องผูกติดอยู่กับแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งอย่างไม่มีทางเลือก

บทความชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบต่อแรงงานที่เกิดจากปัจจัยทั้งสองประการคือ อำนาจทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์ม และข้อจำกัดของกฎหมายแรงงาน เพื่อทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทั้งสอง ประกอบกับการศึกษากรอบแนวทางการทำงานที่เป็นธรรมและแนวทางการคุ้มครองแรงงานแพลตฟอร์มของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปเพื่อนำมาสู่การแสวงหาแนวทางในการคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม  ทั้งนี้ ในการศึกษาครั้งนี้เลือกศึกษาแรงงานแพลตฟอร์มส่งอาหารเป็นกรณีศึกษา โดยพบว่าข้อนิติสัมพันธ์ที่แบ่งแยกภายใต้กฎหมายแรงงานและกฎหมายจ้างทำของไม่สามารถที่จะมาคุ้มครองแรงงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์มได้ จึงเสนอแนะให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองแรงงานกลุ่มนี้ขึ้นเป็นการเฉพาะ

แนวคิดเกี่ยวกับการลดภาระทางกฎหมายของประชาชนจากการปฏิบัติตามกฎหมาย

ชื่อบทความ: แนวคิดเกี่ยวกับการลดภาระทางกฎหมายของประชาชนจากการปฏิบัติตามกฎหมาย

เผยแพร่ใน: หนังสือรพีคณะนิติศาสตร์ 2562, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, น. 91 – 107, 2562.

บทคัดย่อ

กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐในการบริหารประเทศให้เป็นไปโดยสงบเรียบร้อยของคนในสังคม ซึ่งในบางกรณีกฎหมายจำเป็นต้องเข้าไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประะชาชน ซึ่งแม้ในบางกรณีกฎหมายจะได้จำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยไม่ถึงขั้นทำลายหรือห้ามไม่ให้ใช้สิทธิและเสรีภาพนั้นได้เลยก็ตาม แต่กฎหมายอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้สิทธิและเสรีภาพนั้น อันเนื่องมาจากแนวโน้มที่จะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากกว่าที่จำเป็นและใช้มาตรการครอบคลุมเกินกว่ากรณีอันเนื่องมาจากการออกแบบกฎหมายให้มีระดับการควบคุมที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำได้ยาก

สภาพปัญหาดังกล่าวเป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งกำหนดแนวทางให้กับรัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริการราชการแผ่นดินจะต้องมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน ขึ้นมาเพื่อกำหนดแนวทางให้กับหน่วยงานของรัฐในการตรากฎหมายบังคับใช้กับประชาชนจะต้องคำนึงถึงภาระของประชาชนผู้ปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนั้น ซึ่งจุดมุ่งหมายของบทบัญญัติดังกล่าวคือ การส่งเสริมให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้อย่างเต็มที่โดยมีภาระของกฎหมายเท่าที่จำเป็น

สำหรับบทความฉบับนี้ ผู้เขียนมีความตั้งใจอธิบายให้เห็นถึงแนวคิดสำคัญเบื้องหลังการลดภาระของประชาชนจากการปฏิบัติตามกฎหมาย กับลักษณะของกฎหมายที่เป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนก่อนจะนำไปสู่การทำความเข้าใจเรื่องการประเมินภาระของประชาชนจากการปฏิบัติตามกฎหมาย และท้ายที่สุดคือ แนวทางการลดภาระของประชาชนจากการปฏิบัติตามกฎหมาย

Download