แด่การจากไปของ ดร.มารวย

ผมไม่ได้เคยมีโอกาสรู้จักกับ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ โดยตรง แล้วในช่วงที่ผู้เขียนเติบโตขึ้นมาก็ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับ ดร.มารวย เป็นการส่วนตัว แต่จากที่ได้ลองไปค้นคว้าประวัติของท่าน เพื่อใช้เขียนเป็นชีวประวัติขนาดสั้นของท่าน เพื่อที่จะนำเสนอในเว็บไซต์ของสถาบันปรีดี ทำให้ได้รู้จัก ดร.มารวย ในฐานะบุคคลสำคัญบุคคลหนึ่ง ที่มีบทบาทสำคัญกับวงการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2528 – 2535 ซึ่งเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาวงการตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ข้อเขียนขนาดสั้นนี้จึงเป็นการเขียนขึ้นเพื่อรวบรวมข้อมูลชีวประวัติของท่าน เพื่อระลึกถึงในโอกาสการจากไปของ ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์

ชีวิตวัยเด็กกับการโยกย้ายไปมา

ดร.มารวย เกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2472 (ช่วงเวลา 3 ปี ก่อนการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง) ที่ตำบลห้วยสัก อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเป็นบุตรของนายมา และนางถนอม ผดุงสิทธิ์ ในช่วงวัยเด็กของ ดร.มารวย นั้นมีการโยกย้ายที่อยู่หลายครั้งตามบิดาซึ่งเป็นข้าราชการอยู่ในกรมรถไฟ (การรถไฟแห่งประเทศไทยในสมัยนั้น) โดยเริ่มเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟ บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และได้มีการย้ายโรงเรียนตามบิดาอีกหลายครั้งจนกระทั่งได้เข้ามาศึกษาที่กรุงเทพมหานครภายหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ณ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ

ในขณะกำลังเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ได้หยุดเรียน และเดินทางกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดอุตรดิตถ์จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ซึ่ง ดร.มารวย ได้เคยมีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวในช่วงหลังสงครามจบลงนั้น ‘คุณดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล’ ถึงช่วงเวลาในวัยเด็กและความดีใจของคนไทยในเวลานั้นเรื่องสงครามสิ้นสุดลงและคุณูปการของเสรีไทยและ ‘นายปรีดี พนมยงค์’ ที่ขับเคลื่อนและดำเนินขบวนการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ท่านมีความสนใจเรื่องราวของนายปรีดี พนมยงค์ นับตั้งแต่นั้น

เมื่อสงครามจบลง ดร.มารวย จึงได้เดินทางกลับมาศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาต่อโดยได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนเตรียมปริญญามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) ในรุ่นที่ 8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย แต่เมื่อบิดาล้มป่วยและออกจาราชการก็ทำให้ครอบครัวยากลำบาก ดร.มารวย ในเวลานั้นจึงได้ลาออกจากการเรียนต่อและหาเริ่มต้นประกอบอาชีพเพื่อนำรายได้มาจุนเจือครอบครัว

การเริ่มต้นทำงานในรับราชการและนิสัยการเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน

ในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน ดร.มารวย เริ่มต้นทำงานในกรมรถไฟ ในเวลาต่อมาจึงได้ย้ายไปปฏิบัติงานที่กรมชลประทาน และกรมบัญชีกลางตามลำดับ ซึ่งในขณะนั้นก็ได้สอบมีโอกาสสอบเทียบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 และสมัครเข้าศึกษาต่อที่คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาในปี 2504 และได้ปฏิบัติงานในตำแหน่งนักบัญชี สังกัดกองระบบบัญชี กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งในเวลานั้นได้กระทรวงการคัลงได้มีทุนการศึกษาให้ข้าราชการไทยไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ดร.มารวย ในเวลานั้นจึงได้สมัครสอบชิงทุนของกระทรวง และได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยซีราคิว (Syracuse University) มลรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาก็ได้กลับมาปฏิบัติงานต่อ ณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

ดร.มารวย เป็นผู้หนึ่งที่มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนและรักในการศึกษา เมื่อปฏิบัติงานอยู่ ณ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อมีโอกาสก็จะเขียนบทความด้านวิชาการต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความคิดเป็นประโยชน์ลงในวารสารวิชาต่างๆ เป็นจำนวนมาก เวลาที่ ดร.มารวย ต้องการหาข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการค้นคว้าก็จะได้เดินทางไปค้นคว้าข้อมูลประกอบที่ห้องสมุดคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่เสมอ

การไปค้นข้อมูลเพื่อนำมาเขียนบทความด้านวิชาการนั้นทำให้มีโอกาสได้พบกับอาจารย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ทราบว่าจะมีโครงการเตรียมจัดตั้งสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เพื่อเปิดสอนด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโท ซึ่ง ดร.มารวย ได้ให้ความสนใจ และได้สอบชิงทุนของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ไปศึกษาต่อปริญญาเอกด้านการบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี 2515 และกลับมาเป็นอาจารย์ประจำที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.มารวย เป็นผู้หนึ่งที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงที่เรียกว่าเป็น “ยุคเริ่มวางรากฐานและพัฒนา” โดยเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 5 (2528 – 2535) เวลานั้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังตั้งอยู่ ณ อาคารสินธร ถนนวิทยุ

เมื่อเริ่มรับตำแหน่งในปี 2558 ดร.มารวย ได้อธิบายสถานการณ์ในเวลานั้นว่าเป็นช่วงที่ฐานะการเงินของประเทศกำลังประสบปัญหา ซึ่งในเวลานั้นสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้จัดสัมมนาเรื่องทิศทางเศรษฐกิจไทย การสัมมนาในครั้งนั้นทุกคนค่อนข้างมองอนาคตของประเทศไทยไปในทิศทางที่ถดถอยหรือเศร้าหมอง ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการบริหารจัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ในช่วงปี 2529 ประเทศไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 5 ครั้ง และรัฐบาลให้ความสนใจที่จะพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง ซึ่งนำมาสู่การปรับลดอัตราภาษีที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง และแก้ไขระเบียบการปริวรรตเงินตราเพื่อส่งเสริมผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเป็นลำดับทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เอื้ออำนวยต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2529 เพิ่มขึ้นเป็น 29,848.22 ล้านบาท และดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิด ณ สิ้นปีระดับ 207.20

ในแง่บรรยากาศการทำงานในช่วงเวลาที่ ดร.มารวย ทำงานเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นได้พยายามสร้างบรรยากาศการทำงานที่ให้โอกาสทุกคนได้แสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมกับการทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตน

“ปรัชญาการทำงานของผมกับพนักงานก็คือ เราจะทำงานกันเป็นทีม การตัดสินใจนั้นทุกคนมีส่วนร่วม โดยผมจะเป็นผู้รับผิดชอบตามหน้าที่ และให้มีการกระจายความรับผิดชอบให้มากที่สุด”

นอกจากการสร้างวัฒนธรรมการทำงานใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ดร.มารวย มีบทบาทสำคัญในงานพัฒนาเพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งการซื้อขายที่ยุติธรรม โดยการพัฒนาระบบซื้อขายหลักทรัพย์ให้ระบบมีความยุติธรรม และมีประสิทธิภาพโดยนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2534 และเริ่มพัฒนาระบบการให้บริการหลังการซื้อขายให้มีประสิทธิภาพ โดยเริ่มเปิดรับฝากหุ้นจากบริษัทสมาชิกเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2531

ภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ ดร.มารวย ในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์คือ การเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์และพัฒนาตราสารใหม่ๆ เช่น รณรงค์ให้กิจการต่างๆ เข้าใจและสนใจที่จะจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น อีกทั้งยังมีส่วนร่วมกับหอการค้าจังหวัดและสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ให้รับหุ้นกู้แปลสภาพและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (Warrants) เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งเป็นประโยชน์ในทางธุรกิจ

นอกจากงานพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยตรงแล้ว ดร.มารวย ยังมีส่วนเข้าไปช่วยเหลือการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ในมุมอื่น ซึ่งมีส่วนช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งสนับสนุนการระดมทุนระยะยาว เช่น การสนับสนุนให้จัดตั้งสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในปี 2533 และสนับสนุนสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อจัดตั้งสถาบันจัดอันดับความเสี่ยงของหลักทรัพย์ในเวลาต่อมา

แม้การขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวลานั้นหลายอย่างเมื่อมองย้อนไปจากเวลาในปัจจุบันนั้นอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ในเวลานั้นต้องถือว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่พึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2517 ให้มีความมั่นคงและเป็นแหล่งสนับสนุนการระดมทุนในระยะยาวของประเทศอย่างมีคุณภาพ การบริหารตลาดหลักทรัพย์ในเวลานั้นยังเป็นความท้าทายค่อนข้างมาก และในเวลานั้นยังไม่มีองค์กรกำกับกิจการหลักทรัพย์แบบสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ ดร.มารวย ดำรงตำแหน่งอยู่นั้นมีความคึกคักมากโดยเฉพาะในช่วงปี 2530 มีการเข้ามาเก็งกำไรมาก ทำให้เกิดการซื้อขายในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม และยังขาดมาตรการที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของการบริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ตลอดช่วงเวลาที่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์นั้น ดร.มารวย ได้ผ่านสถานการณ์สำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์และการลงทุนของประเทศ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2528 เหตุการณ์  “Black Monday” ที่ราคาหุ้นตกต่ำลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดต่างประเทศยาวนานกว่า 2 เดือนโดยเริ่มต้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2530 เหตุการณ์ “Mini Black Monday” ที่เกิดจากตลาดต่างประเทศในวันที่ 13 ตุลาคม 2532 และส่งผลต่อราคาหุ้นไทยวันทำการวันแรก (วันจันทร์) หลังจากวิกฤตการณ์คือ 16 ตุลาคม 2532 เหตุการณ์วิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซีย ในวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน ตลาดเงิน และตลาดหุ้นทั่วโลก บทบาทของ ดร.มารวย ในฐานะของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ในเวลานั้นมีความสำคัญอย่างมากในการบริหารจัดการท่ามกลางวิกฤตการณ์  อย่างไรก็ตาม ข้อคิดสำคัญที่ ดร.มารวย ให้ไว้ในการบริหารตลาดหลักทรัพย์ในช่วงวิกฤตก็คือ การประสบความสำเร็จของตลาดหลักทรัพย์เป็นผลงานจากการทำงานของคนทุกฝ่ายและการทำงานร่วมกันเป็นทีม มิใช่ผลงานของบุคคลหนึ่งบุคคลใด

“ตลาดหลักทรัพย์ของเราประสบความสำเร็จได้มาจากความร่วมมือของทุกฝ่ายและการทำงานเป็นทีม มิใช่ทำงานด้วยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะฉะนั้น ผู้จัดการคนใหม่ก็จะทำงานในระบบตามแนวที่วางไว้ ผู้จัดการมาแล้วก็ไป แต่พนักงานประจำนั้นต้องอยู่ตลอดไป ขอให้ทุกคนตระหนักอยู่เสมอว่า ตราบใดที่มีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน อุทิศกำลังกายกำลังใจในการทำงาน มองไกลไปข้างหน้าตลาดหลักทรัพย์ของเราก็พัฒนาตลอดไป”

บทบาทความสำคัญของ ดร.มารวย ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นมีความสำคัญอย่างมาก และเพื่อเป็นเกียรติให้กับ ดร.มารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนชื่อห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น “ห้องสมุดมารวย” เพื่อเป็นเกียรติแด่ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ดร.มารวย กับ ดร.ปรีดี

นอกจากงานด้านวิชาการและงานเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว ดร.มารวย ก็ให้ความสำคัญกับงานทางสังคมต่างๆ และงานด้านหนึ่งที่ท่านให้ความสำคัญก็คือ การเชิดชูเกียรติของ ‘ศาสตาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์’ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศไทย โดยการรับอาสาเป็นประธานมูลนิธิในช่วงปี 2554 – 2557 โดยท่านมีผลงานสำคัญในฐานะรองประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานครบรอบชาตกาล 110 ปี รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ อีกทั้งผลักดันให้มีการจัดตั้งวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ ดร.มารวย ได้ให้ความเคารพและได้รู้จักในวัยเด็ก ความกรุณาของ ดร.มารวย ต่อมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ มีอยู่อย่างมาก แม้จะล่วงเลยในวัยชรา 90 ปีแล้ว แต่การได้สนับสนุนเรื่องราวของ ศาสตาจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ นั้นเป็นสิ่งที่ท่านให้ความสำคัญมาก

บทบาทของ ดร.มารวย ในสังคมไทยนั้นยังมีอยู่อีกมากมายหลายด้าน และเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาสามัญคนอื่นๆ นั้นเมื่อจากโลกนี้ไปก็มีเพียงแต่คุณงามความดีเท่านั้นที่จะให้คนรุ่นถัดไปได้ระลึกถึง ซึ่ง ดร.มารวย นั้นก็เป็นต้นแบบหนึ่งของบุคคลที่มีคุณงามความดีให้บุคคลได้ระลึกถึง ทั้งในความเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน และความพยายามในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


อ้างอิงจาก

  • ตรี ภวภูตานนท์ “นักเรียนเตรียมธรรมศาสตร์ 8 หรือ 500” ใน สุโข สุวรรณศิริ และสมาน ศักดิ์สงวน  (บรรณาธิการ) ปรีดีสารฉบับพิเศษ งานรำลึก ปรีดี พนมยงค์ 66 ปี ต.ม.ธ.ก. ในโอกาส ม.ธ.ก. 70 ปี (ชมรม ต.ม.ธ.ก. สัมพันธ์ 2543).
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 6 ปี ของ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กับงานพัฒนาตลาดหลักทรัพย์(ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2535).
  • บุญลาภ ภูสุวรรณ, “การเดินทางแห่งชีวิต” ร้อยเรียงเรื่องเล่า 30 ปี (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) (บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) 2548).
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, ‘รู้จัก ก.ล.ต.’ (ก.ล.ต.) https://www.sec.or.th/TH/Pages/AboutUs/TheFoundationoftheSEC.aspx สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ‘บุคคลสำคัญของท้องถิ่น จังหวัดประจวบคีรีขันธ์’ http://webhost.m-culture.go.th/province/prachuapkhirikhan/PDF/770600.pdf สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.
  • ห้องสมุดมารวย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ‘เกี่ยวกับห้องสมุดมารวย’ (ห้องสมุดมารวย) https://www.maruey.com/about สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2564.

อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ​ : ชีวิตการงานด้วยความซื่อสัตย์ในหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่  ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ

นี่คือวิสัยทัศน์ที่ ศาสตราจารย์ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เคยให้ไว้เมื่อดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนตัวตนของ ดร.อิสสระ ผู้มีความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์ได้เป็นอย่างดี

เพื่อรำลึกถึง ดร.อิสสระ ซึ่งเพิ่งจากโลกนี้ไป เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564  ท่ามกลางความรักและระลึกถึงในความทรงจำจากคนที่เคยรู้จัก  บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงชีวิตและผลงานของท่าน

กำเนิดและการศึกษา

ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2475 โดยเป็นบุตรของพระนิติทัณฑ์ประภาศ (สนอง สุจริต) กับนางชวนชื่น นิติทัณฑ์ประภาศ (สกุลเดิม พนมยงค์) ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาของนายปรีดี พนมยงค์  ดังนั้น ดร.อิสสระ จึงเป็นหลานลุงของนายปรีดี

นอกจากพระนิติทัณฑ์ประภาศ ผู้บิดา ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุตรชายแล้ว  นายปรีดีนับเป็นอีกบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ ดร.อิสสระ เป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากการเลือกศึกษาต่อในสาขานิติศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และเมื่อเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดร.อิสสระได้เจริญรอยตามนายปรีดี  เข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ในสาขากฎหมายมหาชนต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศส ในมหาวิทยาลัยกอง (Université de Caen) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่นายปรีดีได้ศึกษาจบมาในชั้นปริญญาตรี 

หลังจากนั้น ดร.อิสสระสำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางกฎหมายมหาชน (Diplome d’Etudes Superieures de Droit Public) และในระดับนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Docteur en Droit) จากมหาวิทยาลัยกอง ประเทศฝรั่งเศส

นักกฎหมายมหาชนผู้รอบรู้

นอกจากบทบาทในการเป็นข้าราชการแล้ว ดร.อิสสระยังมีบทบาทสำคัญในฐานะนักกฎหมายมหาชนแนวหน้าของประเทศไทย  ท่านเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งสาขากฎหมายมหาชนยังเป็นสาขาวิชากฎหมายใหม่ที่เพิ่งเติบโตขึ้นในประเทศไทยได้ไม่นาน พร้อม ๆ กับการก่อตั้งของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2477  ในเวลาต่อมา ท่านได้ดำรงตำแหน่งในฐานะนายกสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2530–2534

คุณูปการสำคัญของ ดร.อิสสระ ต่อวงการกฎหมายมหาชนของประเทศไทย คือ ท่านเป็นผู้บุกเบิกการเขียนตำรากฎหมายปกครองเปรียบเทียบของประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกฎหมายปกครองของฝรั่งเศสกับอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นเรื่องที่ทันสมัยมากในยุคนั้น เพราะนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าประเทศอังกฤษนั้นไม่ได้มีกฎหมายมหาชนแบบเดียวกับประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป

ความเป็นผู้รู้ทางกฎหมายมหาชนของ ดร.อิสสระ ไม่ใช่แต่เพียงจากการศึกษาตำราจำนวนมากเท่านั้น แต่มาจากประสบการณ์ที่ท่านสั่งสมมาจากการทำงานในตำแหน่งราชการอีกด้วย โดยจะเห็นได้จากในบทความหนึ่งที่ชื่อว่า “การใช้ถ้อยคำ ‘แปรญัตติ’ ที่ไม่ถูกต้อง” ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ มติชน รายวัน ซึ่งในบทความนี้ท่านได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการแปรญัตติกับการชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎรหรือในกรรมาธิการว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องเล็กน้อย  ทว่า สิ่งเล็กน้อยนี้สะท้อนความละเอียดรอบคอบ และความใส่ใจต่อการใช้ถ้อยคำทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกฎหมายสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญอีกแล้ว แต่กลับนิยมเล่นแร่แปรถ้อยคำไปมาเพียงเพื่อบริการผู้มีอำนาจทางการเมือง

นอกจากการเป็นผู้ศึกษากฎหมายมหาชนแล้ว บางโอกาส ดร.อิสสระยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เพื่อถ่ายทอดความรู้ทางกฎหมายมหาชนของท่าน จนได้รับเกียรติยศสูงสุดทางการศึกษา คือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

นักกฎหมายการคลังผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณ

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสกลับมาเป็นประเทศไทย ดร.อิสสระ ได้เข้ารับราชการและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาโดยตลอด จนได้ดำรงตำแหน่งสำคัญเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีความสำคัญของประเทศและต้องอาศัยผู้มีความรู้ความสามารถสูง

ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการงบประมาณของท่านนั้น ปรากฏอยู่ในความเห็นตามบทความหนังสือพิมพ์หรือบทความวิชาการเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณที่ท่านได้ชี้แจงถึงความเข้าใจคลาดเคลื่อนอันเกิดมาจากความสลับซับซ้อนของเทคนิคทางงบประมาณ ซึ่งบ่อยครั้งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำตัวเลขเงินคงคลังมาแถลงให้สื่อมวลชนทราบ หรือนำมากล่าวอ้างในโอกาสต่าง ๆ ในทำนองชี้ให้เห็นว่า การคลังของประเทศมีเสถียรภาพดี แต่มิได้อธิบายให้ประชาชนได้รู้ว่า “เงินคงคลัง” นั้นคืออะไร ทำให้คนทั่วไปจึงต้องเดาเอาเองว่าเงินคงคลัง คือ เงินที่รัฐบาลได้สะสมไว้เป็นเงินสำรองเพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

ในบทความชื่อว่า “เงินคงคลัง” นั้น ดร.อิสสระได้อธิบายถึงความเป็นมาเป็นไปของคำว่า เงินคงคลังมีที่มาอย่างไร ทั้งในแง่ของการพิจารณาความหลายตามหลักภาษา และความหมายในทางการคลัง วางอยู่บนข้อถกเถียงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับความหมายของเงินคงคลังที่ใช้ในทางการคลังของประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความชัดเจนว่า “เงินคงคลัง” เป็นเงินที่รัฐบาลได้รับไว้โดยมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่าย ข้อผูกพันดังกล่าวมีผลให้เงินคงคลังผันแปรได้  ดังนั้น หากจะพิจารณาฐานะเงินคงคลังของประเทศนั้น จะพิจารณาตัวเลขเงินคงคลังอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องพิจารณาถึงข้อผูกพันในการจ่ายเงินของรัฐบาลด้วย

ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านงบประมาณที่หาจับตัวได้ยากนี้เอง ทำให้ท่านได้มีโอกาสเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ อยู่หลายครั้ง เพื่อคอยย้ำเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงงบประมาณของประเทศ ดังเช่นในบทความที่ชื่อว่า “วัวหายล้อมคอก – บทเรียนจากการอภิปรายงบประมาณ ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปรับลดงบประมาณรายจ่ายโดยกรรมาธิการวิสามัญเพื่อไปจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการในบางจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อหวังสร้างความนิยมในกลุ่มฐานเสียงของตนเอง ซึ่ง ศ.ดร.อิสสระ ได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ ศ.ดร.อิสสระ ได้เสนอแนะให้มีการสร้างกลไกทั้งในวิธีการทางนิติบัญญัติ และในวิธีการในทางบริหาร ซึ่งถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก เพราะปัญหาดังกล่าวในปัจจุบันนี้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้กำหนดห้ามการกระทำดังกล่าวเอาไว้ชัดเจน

ศาลรัฐธรรมนูญกับการสร้างความเชื่อมั่น

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันการเมืองและสถาบันทางกฎหมายใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นมาในประเทศไทย อันเป็นผลมาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ดร.อิสสระ ก็ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดแรกในปี พ.ศ. 2541 และได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2545 บทบาทของท่านในช่วงแรกจึงมีความสำคัญในฐานะผู้วางรากฐานความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ดร.อิสสระ เป็นผู้หนึ่งที่ตระหนักดีถึงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยปรากฏในคำวินิจฉัยส่วนตนในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542 ซึ่งระบุในเชิงว่า “เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่าบุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายเท่าเทียมกัน จำเลยและประชาชนทั่วไปต่างก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย โจทก์หรือสถาบันการเงินต่างๆ ก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย จึงไม่อาจมีสิทธิเหนือกว่าประชาชนหรือบุคคลโดยธรรมชาติ  ดังนั้น กฎหมายใดก็ดี ประกาศโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายใดก็ดี ที่ทำให้บุคคลได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายไม่เท่าเทียมกันแล้วย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ซึ่งท่านแสดงให้เห็นในคำวินิจฉัยส่วนตนในคดีแล้วว่าความเสมอภาคของบุคคลเป็นคุณค่าสำคัญที่รัฐธรรมนูญจะต้องพิทักษ์รักษาไว้

นอกจากนี้ เมื่อได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ดังได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งที่ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง และตุลาการทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตด้วยเกียรติยศในวิชาชีพนักกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและผู้เป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการควรยึดถือไว้ โดยเฉพาะท่ามกลางยุคทมิฬที่มาร ครองเมืองและนักกฎหมายส่วนใหญ่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอำนาจ และรับใช้ผู้มีอิทธิพลโดยบิดเบือนหลักการทางกฎหมายเช่นปัจจุบันนี้

ศ.ดร.อิสสระ ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์นั้นได้เป็นวิถีทางสำหรับคนรุ่นถัดไปได้เลือกเดินตาม บนวิถีทางของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระลึกถึงหลักการและหน้าที่ของตน


อ้างอิง

  • สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ. “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ.” ปีที่ 4 เล่มที่ 10. วารสารศาลรัฐธรรมนูญ. (มกราคม – เมษายน 2545) : 3 – 7.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “การใช้ถ้อยคำ “แปรญัตติ” ที่ไม่ถูกต้อง.” มติชน. (23 มีนาคม 2536) : 9.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “เงินคงคลัง.” ปีที่ 41 ฉบับที่ 10. รัฐสภาสาร. (ตุลาคม 2536) : 60 – 76.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “วัวหายล้อมคอก บทเรียนจากการอภิปรายรายงบประมาณ.” มติชน. (6 มีนาคม 2536) : 8.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “อันว่าเงินคงคลังนั้นเป็นฉันใด.” ปีที่ 2 ฉบับที่ 5. วารสารการงบประมาณ. (เมษายน – มิถุนายน 2548) : 7 – 18.
  • คำวินิจัยฉัยส่วนตนของ นายอิสสระ นิติทัณฑ์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542.