Stakeholder Capitalism: เมื่อทุนนิยมไม่ได้เห็นแค่กำไรสูงสุด แต่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาก่อนหน้าการระบาดครั้งใหญ่ของเชื่อไวรัส Covid-19 ได้มีการพูดคุยกันถึงประเด็นที่น่าสนใจในการประชุมใหญ่ World Economic Forum ณ เมืองดาโวส ประเทศสมาพันธรัฐสวิส โดยในวงสนทนาหนึ่งของการประชุมครั้งนี้ได้มีการตั้งประเด็นว่า ทุนนิยมนั้นจะต้องทำเพื่อสร้างกำไรสูงสุดให้กับเจ้าของธุรกิจเสมอไปหรือไม่ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ได้มีการพูดถึงแนวคิดของ “ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย” (Stakeholder Capitalism) ซึ่งหากพิจารณาเพียงแค่ถ้อยคำว่า “ทุนนิยม” และ “ผู้มีส่วนได้เสีย” คำทั้งสองคำนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เท่าไร แต่ในบทความนี้จะได้อธิบายว่าทุนนิยมนั้นสามารถไปได้กับการสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียคืออไร

ในภาพและความเข้าใจของเราเมื่อพูดถึงทุนนิยมแล้ว ภาพที่จะเกิดขึ้นในใจของผู้คนส่วนใหญ่อาจจะเป็นภาพของบริษัทหรือธุรกิจขนาดใหญ่ที่คอยเอารัดเอาเปรียบผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กหรือผูกขาดการประกอบกิจการ หรือหากเป็นผู้ที่มีมุมมองทางเศรษฐกิจแบบมาร์กซิสม์ก็อาจจะเห็นภาพพีระมิดระบบทุนนิยม (Pyramid of Capitalist System) ภาพดังกล่าวอาจจะดูเป็นอคติต่อระบบทุนนิยมและทำให้ระบบทุนนิยมกลายเป็นตัวร้าย (ซึ่งอาจมีบางกรณีที่ความคิดเช่นนั้นอาจถูกต้อง) ทุนนิยมที่จะนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายก็ต่อเมื่อทุนนิยมนั้นปราศจากการแข่งขัน  อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบทบาทของการแข่งขันได้ลดน้อยลงไปเนื่องมาจากบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากได้ใช้กลยุทธ์ในการควบรวมกิจการและดึงเอาบริษัทคู่แข่งมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทตนเอง ซึ่งทำให้การแข่งขันในตลาดลดลง ฉะนั้น โดยสภาพแล้วทุนนิยมจึงไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่เลวร้ายไปทุกกรณี การแข่งขันที่ลดลงต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ทุนนิยมกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย และจำเป็นต้องระงับปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ลดลง

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียเป็นรูปแบบหนึ่งของทุนนิยมซึ่งบริษัทต่าง ๆ ยังคงแสวงหากำไรอยู่ แต่นอกเหนือไปจากกำไรแล้วก็คือการสร้างมูลค่าในระยะยาวโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดและสังคมโดยรวมทั้งหมด วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียคือ การสร้างมูลค่าของธุรกิจในระยะยาว โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ลูกค้า ซัพพลายเออร์ พนักงาน ผู้ถือหุ้น และชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น การประกอบธุรกิจแบบทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียจึงเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ของผู้ถือหุ้น (เจ้าของกิจการ) กับผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ โดยการปรับผลกำไรระยะสั้นให้เหมาะสมกับผู้ถือหุ้น

พัฒนาการของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสีย

แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับทุนนิยมนั้นส่วนใหญ่มักจะมีผู้อ้างถึงแนวคิดของ มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชื่อดัง ซึ่งอธิบายว่า บริษัทมีหน้าที่สำคัญคือการสร้างกำไรเพื่อตอบสนองต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากการบริหารงานของบริษัทนั้นก็เป็นไปเพื่อตอบสนองต่อผผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงของบริษัท  อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1950 และ 1960 จากการที่ประเทศตะวันตกเริ่มเห็นความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับผู้มีส่วนได้เสีย (ชุมชน) โดยเฉพาะในบริบทที่บริษัทมีความสัมพันธ์กันกับชุมชนที่บริษัทนั้นดำเนินกิจการอยู่ แนวคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับและขยายไปสู่ประเทศยุโรปเหนือและประเทศยุโรปตะวันตก เช่น สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และเยอรมนี เป็นต้น แนวคิดเช่นนี้เองทำให้เกิดระบบไตรภาคีของการร่วมกันระหว่างบริษัท ลูกจ้าง และรัฐบาล ซึ่งทำให้เกิดรัฐสวัสดิการที่บริษัทและลูกจ้างร่วมกันจ่ายเงินสมทบเพื่อให้เกิดสวัสดิการให้กับลูกจ้าง

ในทางตรงกันข้ามการที่บริษัทเน้นผลการสร้างผลกำไรตอบแทนผู้ถือหุ้นมากเท่าไรและคลายความสัมพันธ์กับชุมชนและรัฐบาลลง เพื่อสร้างมูลค่าในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ผู้มีส่วนได้เสียทั้งหลายของบริษัทนั้นก็อาจจะได้รับผลกระทบในทางอ้อม ซึ่งแนวคิดเช่นนี้เอง โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph E. Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกคนจึงเสนอให้แทนที่ความสำคัญของการตอบแทนผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นด้วยการเน้นสร้างมูลค่าระยะยาวแทนในขณะที่บริษัทยังคงสร้างผลกำไรตอบแทนการลงทุนของผู้ถือหุ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็บริษัทก็ควรเปิดกว้างให้มีการแข่งขันอย่างเสรีโดยไม่มีการหลอกลวงหรือการฉ้อโกง

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเห็นได้ว่าทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมีไอเดียที่แตกต่างไปจากการทำ CSR ขององค์กรธุรกิจพอสมควร แม้ในบางบริบทเรื่องทั้งสองจะมีความคล้ายคลึงกัน เพราะทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมิได้มีความตระหนักเพียงแค่การปรับภาพลักษณ์ขององค์กรเท่านั้น แต่ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียเป็นเรื่องของการพัฒนาวิธีคิดและนโยบายขององค์กรที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมที่บริษัท/ธุรกิจนั้นตั้งอยู่ ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมโดยรอบของบริษัท/ธุรกิจนั้นดีขึ้นผลพลอยได้ก็คือบริษัท/ธุรกิจนั้นย่อมได้รับผลดีขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้มาจากรูปแบบของผลกำไร

ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียกับแนวทางการทำให้เกิดขึ้นจริง

การจะรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์โดยรวมของสังคมที่ดีขึ้นได้นั้น การอาศัยแต่แนวคิดแบบทุนนิยมดั้งเดิมจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ผู้บริหารของบริษัท/ธุรกิจสมัยเองก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับประเด็นของสังคมเหล่านี้ และในการเริ่มต้นเพื่อให้เกิดสังคมที่ดีขึ้นได้นั้นโดยการนำแนวคิดแบบทุนนิยมแบบผู้มีส่วนได้เสียมาใช้แบบรูปธรรมนั้นอาจดำเนินการโดยวิธีการต่างๆ ดังนี้

  • การจ่ายค่าจ้างที่ยุติธรรม
  • ลดอัตราค่าจ้างพนักงานระดับสูงหรือผู้บริหารลงเพื่อเพิ่มค่าตอบแทนหรือสวัสดิการให้พนักงานระดับล่าง
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทำงาน
  • ดำเนินการทางภาษีอย่างตรงไปตรงมาและหลีกเลี่ยงการเลี่ยงภาษี
  • การให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการต่อผู้บริโภค
  • การมีความซื่อสัตย์และปฏิบัติต่อนโยบายบริษัทภิบาลอย่างเคร่งครัด
  • การส่งเสริมและร่วมมือกับชุมชนเพื่อให้เกิดการพัฒนา
  • การป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะทำให้ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียสำเร็จได้นั้นประกอบไปด้วยปัจจัยสำคัญ 2 ประการ

ประการแรก การโน้มน้าวผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของบริษัทให้ยอมรับในเรื่องนี้ ซึ่งปัจจัยนี้อาจจะเป็นปัจจัยที่มีความท้าทายที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้ถือหุ้นทุกคนต้องการก็คือผลกำไรจากการประกอบกิจการ หากการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านเช่นนี้จะทำให้ผลกำไรของบริษัทลดลง ผู้ถือหุ้นเองอาจจะไม่พอใจกับการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันก็อาจะมีแนวโน้มที่จะพึงพอใจหากธุรกิจดังกล่าวยังพอสร้างกำไรให้กับการลงทุนได้บ้าง ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างผลกระทบที่ดีต่อสังคมด้วย

ประการที่สอง กฎระเบียบของรัฐบาล ซึ่งหากบริษัท/ธุรกิจดำเนินกิจการโดยให้ความสำคัญและใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านแล้ว แต่การกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่ได้รับการส่งเสริมหรือสนับสนุนจากรัฐบาล ในขณะที่บริษัท/ธุรกิจที่ไม่สนใจต่อผู้มีส่วนได้เสียกลับสร้างกำไรให้กับการลงทุนและประหยัดต้นทุนจากการทำเพื่อสังคมได้ ในบริบทเช่นนี้ย่อไม่มีใครอยากดำเนินธุรกิจโดยใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้เสียอย่างแน่นอน ดังนั้น ในแง่นี้รัฐบาลอาจจะมีการให้แรงจูงใจหรือการสนับสนุนโดยใช้มาตรการทางภาษีเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจ

อาจจะกล่าวได้ว่าทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียนั้นมองสังคมโดยรวมตามหลักภราดรภาพนิยมคือ มองสังคมทั้งหมดเป็นเสมือนพี่น้องที่ร่วมทุกข์รวมสุขกัน ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการสามารถส่งต่อไปสู่คนทุกคนในสังคมได้ผ่านการคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ สังคมจะเป็นสังคมที่ดีได้นั้นไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าบทบาทของบริษัท/ธุรกิจก็มีความสำคัญ ในขณะที่บริษัท/ธุรกิจแบบเดิมที่เน้นสร้างประโยชน์หรือผลกำไรสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียวนั้ผนอาจจะไม่ใช่กระแสนิยมของยุคนี้สักเท่าไรแล้ว อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ทุนนิยมผู้มีส่วนได้เสียจะเกิดขึ้นและให้ผลดีกับสังคมได้นั้นในบริบทของประเทศไทยก็อาจจะยังไม่พร้อมขนาดนั้น


อ้างอิง

รัฐประหาร 2490 จุดกำเนิดขุนศึก พ่อค้า และพญาอินทรี

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

รัฐประหาร 2490 นั้นมิได้มีความสำคัญเฉพาะในทางการเมือง ซึ่งการรัฐประหารในครั้งนี้ไม่ได้ฉุดรั้งการพัฒนาของประชาธิปไตยไทยแต่เพียงอย่างเดียว แต่การรัฐประหาร 2490 นั้นได้ผลักดันแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้เป็น “ทุนนิยมโดยรัฐ” แบบเข้มข้น โดยเอื้อประโยชน์ให้ส่วนตัวและให้ความคุ้มครองแก่พ่อค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงครามเย็นเริ่มต้น การเข้ามามีบทบาทของพญาอินทรี ทำให้เกิดความสัมพันธ์สามฝ่ายระหว่าง ขุนศึก พ่อค้า และพญาอินทรี

สภาพเศรษฐกิจและการเมืองไทยก่อนรัฐประหาร 2490

ก่อนการรัฐประหาร 7 พฤศจิกายน 2490 โดยพลโท ผิน ชุณหะวัณ ประเทศไทยกำลังฟื้นตัวขึ้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 บรรดารัฐบาลทั้งหลายที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาดำรงตำแหน่งนั้นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฟื้นฟูประเทศ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ และการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค (โปรดดู การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2)

สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นมีบทบาทสำคัญและเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมากนับตั้งแต่สนธิสัญญาเบาว์ริงในปี พ.ศ. 2398 เป็นต้นมา ซึ่งผลของการเปิดเสรีทางการค้านี้ทำให้ธุรกิจสำคัญตกอยู่ภายใต้การครอบงำของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการค้าและการธนาคาร  ในด้านการค้าบริษัทแองโกสยาม จำกัด  บริษัทบอมเบย์เบอร์มา บริษัทบอร์เนียว  บริษัทอีสต์เอเชียติค และ บริษัทบริติช-อเมริกันยาสูบ เป็นต้น[1] และในด้านการธนาคารนั้นในระยะเริ่มต้นบริษัทที่เข้ามาในรูปของบริษัทตัวแทนธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเข้ามาพร้อมกับบริษัทการค้าใหญ่ๆ ของอังกฤษ เช่น บริษัทวินเซอร์ ซึ่งเป็นตัวแทนของธนาคารเมอร์แคนไทล์ เป็นต้น[2]  

อย่างไรก็ตาม เมื่อการค้าและพาณิชย์ขยายตัวมากขึ้น บริษัทตัวแทนธนาคารพาณิชย์รูปแบบนี้ไม่อาจตอบสนองความต้องการของบริษัทตะวันตกได้อีกต่อไป ธนาคารต่างประเทศจึงได้เริ่มเข้ามาตั้งกิจการในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งธนาคารสัญชาติอังกฤษ เช่น ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์ และธนาคารเมอร์แคนไทล์ เป็นต้น และธนาคารสัญชาติฝรั่งเศส เช่น ธนาคารอินโดจีน เป็นต้น ซึ่งธนาคารต่างประเทศเหล่านี้เข้ามาเพื่อสนับสนุนและให้บริการทางการเงินแก่บริษัทของประเทศตะวันตก เพื่อให้สามารถทำการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น[3]

ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้หน้าตาเศรษฐกิจของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากบริษัทการค้าของประเทศตะวันตกหยุดชะงักลง เพราะผลของภาวะสงคราม ประกอบกับบริษัทของประเทศตะวันตกส่วนใหญ่เป็นบริษัทของประเทศคู่สงคราม ในบางกิจการรัฐบาลได้รับโอนกิจการของเอกชนเหล่านั้นมาดำเนินการเอง แต่ในบางส่วนก็ต้องปิดกิจการไป เพื่อชดเชยการขาดหายไปของกิจการเหล่านี้ รัฐบาลได้สนับสนุนและอนุญาตให้มีการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ของเอกชนขึ้นภายในประเทศเพิ่มขึ้นมาอีกหลายแห่ง เช่น ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น[4]

รัฐบาลและนายทุนพ่อค้าชาวจีน

สถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ความชะงักงันของบริษัทธุรกิจของชาวยุโรปในช่วงภาวะสงคราม เปิดโอกาสให้ธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสะสมทุนของเอกชน การที่ทุนภายในประเทศเติบโตเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นการปูทางให้เกิดความร่วมมือกันครั้งใหม่ระหว่างภาคธุรกิจเอกชนและรัฐบาล[5] ธุรกิจสำคัญของเอกชนไทย คือ ธนาคาร” 

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ธุรกิจสัญชาติไทยได้เกิดขึ้นและเข้ามาทดแทนธุรกิจชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจธนาคาร โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก ธนาคารของต่างชาติถูกปิดไปช่วงสงครามและไม่อาจกลับเข้ามาดำเนินการได้อีก และประการที่สอง ความต้องการให้มีธนาคารขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการค้าและพาณิชย์ของคนไทยที่ขยายตัวขึ้นภายหลังสงคราม ปัจจัยทั้งสองช่วยให้ธนาคารสัญชาติไทยเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยไม่มีคู่แข่งที่มีความได้เปรียบจากต่างประเทศ ทำให้ธนาคารไทยพัฒนาบทบาทของตัวเองขึ้นมาแทนธนาคารของชาติตะวันตกได้

ลักษณะโดดเด่นของธนาคารพาณิชย์สัญชาติไทยที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นคือ ธนาคารพาณิชย์เป็นการร่วมทุนของกลุ่มเศรษฐกิจหลายกลุ่มเข้าด้วยกันทั้งกลุ่มเชื้อสายเจ้า กลุ่มขุนนางเดิม กลุ่มข้าราชการ และพ่อค้าชาวจีน ดังปรากฏตามตารางที่ 1

ตารางที่ 1 : ธนาคารพาณิชย์และกลุ่มผู้ร่วมทุนจัดตั้งธนาคารพาณิชย์

ธนาคารพาณิชย์กลุ่มเชื้อสายเจ้ากลุ่มขุนนางเดิม/ข้าราชการพ่อค้าชาวจีน
ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ– ราชสกุลปราโมช– ตระกูลอินทรทูต– ตระกูลหวั่งหลี 
– ตระกูลมหาคุณ 
– ตระกูลบูลสุข 
– ตระกูลเคียงศิริ
ธนาคารกรุงเทพ – เจ้าพระยารามราฆพ
– พระยานลราชสุวัจน์
ตระกูลโสภณพาณิชย์
ธนาคารกสิกรไทย – นายทองเปลว ชลภูมิ
– นายสงวน จูฑะเตมีย์
ตระกูลล่ำซำ
ธนาคารศรีนคร – พระยาโทณวณิกมนตรี
– พระยาจินดารักษ์
นายอื้อจือเหลียง 
(เตชะไพบูลย์)

ที่มา:  ผู้เขียนปรับปรุงและเรียบเรียงใหม่จาก ธารทอง ทองสวัสดิ์, “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504”, ในเศรษฐกิจไทย, (นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533), น. 294.

การเกิดขึ้นของกิจการธนาคารพาณิชย์สัญชาติไทยช่วยให้เศรษฐกิจไทยพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะธนาคารช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ทำธุรกิจ และเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญ[6] บรรดานักธุรกิจพ่อค้าชาวจีนเหล่านี้ได้อาศัยธนาคารเป็นแหล่งทุนในการต่อยอดเพื่อทำธุรกิจอื่นต่อไป ดังปรากฏตามตารางที่ 2

ตารางที่ 2 : ธุรกิจภายในเครือตระกูลนักธุรกิจพ่อค้าชาวจีน

ตระกูลนักธุรกิจพ่อค้าชาวจีนธนาคารพาณิชย์บริษัท/ธุรกิจในเครือ
ตระกูลหวั่งหลีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ
ธนาคารหวั่งหลี
– บริษัทไทยเรือโยงและลำเลียง จำกัด
– บริษัทสหน้ำแข็งและห้องเย็น จำกัด
ตระกูลล่ำซำธนาคารกสิกรไทย– บริษัทคลังสินค้าแม่น้ำประกันภัย จำกัด
– บริษัทอ่าวสยามเดินเรือ จำกัด
– บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด
– บริษัทล่ำซำอิมปอร์ต จำกัด
– บริษัทล็อกซเล่ย์เครื่องเย็น จำกัด
– บริษัทโรงแรมนครไทย จำกัด
ตระกูลโสภณพาณิชย์ธนาคารกรุงเทพ– บริษัทกรุงเทพสุวรรณพาณิชย์ จำกัด
– บริษัทเอเชียพาณิชย์ จำกัด
– บริษัทมหากิจก่อสร้างเซียมเฮงล้ง จำกัด
ตระกูลเตชะไพบูลย์ธนาคารศรีนคร– บริษัทเศรษฐการ จำกัด
– บริษัทไทยศรีนครประกันภัยและคลังสินค้า จำกัด

ที่มา:  เรียบเรียงใหม่จาก “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504”, ในเศรษฐกิจไทย, (นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533), น. 294.

อย่างไรก็ตาม สภาวการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากปราศจากเงื่อนไขสำคัญคือ การร่วมมือระหว่างรัฐบาลและนายทุนพ่อค้า ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 2480 แม้ว่าผู้ปกครองฝ่ายทหารพยายามวางแผนที่จะให้รัฐบาลเข้าควบคุมเศรษฐกิจภาคเมือง โดยใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมเป็นกลยุทธ์เพื่อจำกัดธุรกิจของชาวจีน โดยขยายกิจการรัฐวิสาหกิจออกไป แต่ผู้ปกครองฝ่ายพลเรือนบางคนกลับสนับสนุนการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกับธุรกิจเอกชน โดยตระหนักได้ถึงปัญหาของระบอบการปกครองใหม่ที่รวมศูนย์อยู่ที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนายทหารอาวุโสทำให้เกิดความไม่แน่ใจในระบบราชการ ผู้ปกครองฝ่ายพลเรือนจึงใช้เงินทุนของรัฐส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการเอกชนชาวจีน นักธุรกิจพ่อค้าชาวจีนเหล่านี้จึงได้ผลประโยชน์หลายด้าน เช่น ด้านเงินทุน ความคุ้มครองทางการเมือง หรือในบางครั้งได้สิทธิพิเศษผูกขาดกิจการบางอย่าง เป็นต้น[7]

การประสานความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครองฝ่ายพลเรือนกับกลุ่มทุนชาวจีนจึงเป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ในด้านของกลุ่มทุนชาวจีนนั้นได้ประโยชน์และความคุ้มครองจากผู้ปกครองฝ่ายพลเรือน ทำให้ผู้ปกครองฝ่ายทหารไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวสามารถประกอบกิจการได้โดยสะดวก ในขณะที่ผู้ปกครองฝ่ายพลเรือนนั้นก็ได้ประโยชน์จากการอาศัยความชำนาญทางการค้าและพาณิชย์ของกลุ่มทุนชาวจีนเพี่อสร้างประโยชน์ในทางเศรษฐกิจโดยเชิญบรรดาพ่อค้าชาวจีนพวกนี้เข้ามาเป็นคณะกรรมาการบริหารในรัฐวิสาหกิจ และในอีกทางหนึ่งบรรดาพ่อค้าชาวจีนก็ได้เชิญผู้ปกครองเหล่านี้เข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการหรือผู้ถือหุ้นในบริษัทของตนเอง ทำให้ผู้ปกครองเหล่านี้สามารถแสวงหาประโยชน์จากผลกำไรจากการประกอบธุรกิจเพื่อสร้างความมั่นคงและฐานเสียงให้กับตัวเองได้[8]

ความสัมพันธ์แบบเกื้อหนุนเกื้อกูลเช่นนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปโดยปริยาย ทำให้อำนาจรัฐเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องทางเศรษฐกิจอย่างแยบคายผ่านตัวตนของผู้ใช้อำนาจปกครอง  ฉะนั้น เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 โดยพลโทผิณ ชุณหะวัณ กลุ่มธนาคารต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มิช้ามินานก็ต้องเข้าไปพัวพันกับการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแม้ว่ารัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศต่อจากพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ จะเป็นรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงครามก็ตาม แต่แท้จริงแล้วบทบาทของจอมพล ป. พิบูลสงครามลดลงมากจากแต่ก่อน ผู้มีอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงกลับกลายเป็นกลุ่มทหารที่มีความสัมพันธ์กันทางครอบครัว 3 ตระกูลคือ ชุณหะวัณ อดิเรกสาร และสิริโยธิน ซึ่งในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า “กลุ่มราชครู” อันมาจากซอยบ้านพักของพลโทผิณ ชุณหะวัณ[9]

เมื่อกลุ่มราชครูยังคงดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างรัฐวิสาหกิจและกลุ่มทุนพ่อค้าชาวจีน ตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งธนาคารกรุงเทพประสบวิกฤตทางการเงินในปีช่วงปี พ.ศ. 2495 ในปีถัดมาผู้นำทางทหารได้นำเงินจำนวนสามสิบล้านบาทจากกระทรวงพาณิชย์มาซื้อหุ้นธนาคารกรุงเทพ ทำให้ธนาคารกรุงเทพมีทุนพื้นฐานเพิ่มจากเดิมเป็นห้าสิบล้านบาท และมีผลทำให้ธนาคารกรุงเทพกลายเป็นธนาคารท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุด และหลังจากนั้นสมาชิกของคณะรัฐประหารบางคนได้เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการบริหาร และเมื่อเห็นว่ากิจการของธนาคารกรุงเทพเจริญรุ่งเรืองขึ้นแล้ว บรรดาสมาชิกคณะรัฐประหารเหล่านั้นก็ตัดสินใจขายหุ้นของกระทรวงพาณิชย์ที่ถืออยู่ให้กับตนเอง[10] คณะรัฐประหารแสวงหาผลประโยชน์ผ่านธนาคารและบริษัทเอกชนต่างๆ ในเครือโดยอาศัยอิทธิพลของตนเองกำหนดหลักเกณฑ์ผูกขาดการประกอบกิจการ ทำให้ผู้ประกอบการและนักธุรกิจเหล่านี้ต้องเชิญสมาชิกคณะรัฐประหารและนักการเมืองที่สนับสนุนมาเป็นคณะกรรมการบริหารหรือที่ปรึกษา ซึ่งในท้ายที่สุดสมาชิกคณะรัฐประหาร พ.ศ. 2490 จำนวน 7 คน ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งผู้จัดการในบริษัท 91 แห่ง และสมาชิกคณะรัฐประหารทั้งหมดเข้าไปมีบทบาทในธุรกิจต่างๆ เกือบ 101 บริษัท[11]

ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนธุรกิจชาวจีนกับคณะรัฐประหารดำเนินไปบนความสัมพันธ์แบบเกื้อกูลกันระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากกลุ่มทุนธุรกิจชาวจีน และอำนาจความคุ้มกันทางการเมืองจากคณะรัฐประหารที่มอบสิทธิผูกขาดและความช่วยเหลือให้กลุ่มทุนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น

การมาถึงครั้งใหม่ของพญาอินทรี

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงเค้าลางของสงครามเย็นเริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว เมื่อโลกเริ่มแบ่งค่ายออกเป็นสองค่ายใหญ่ๆ สหรัฐอเมริกาพยายามขยายฐานอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศออกไปเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แผ่ขยายเข้ามาในทวีปเอเชีย ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก

ประเทศไทยมีความสำคัญในฐานะจุดยุทธศาสตร์สำหรับฐานทัพอเมริกาในอินโดจีนและการสกัดกั้นการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งตามทฤษฎีโดมิโนจำเป็นต้องปกป้องมิให้ประเทศถัดไปเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ สหรัฐอเมริกาจึงพยายามเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยเพื่อให้การดำเนินนโยบายของตนประสบผลสำเร็จ ซึ่งความเชื่อของผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า ประเทศไทยจะไม่กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์หากประกอบไปด้วยเงื่อนไข 2 ประการคือ ประการแรก ประเทศไทยมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง และประการที่สอง เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นบนพื้นฐานของทุนเอกชน[12]

สำหรับเงื่อนไขประการแรกนั้นสหรัฐอเมริกาเริ่มให้การสนับสนุนผู้นำทหารและช่วยเหลือให้ผู้นำทหารขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองเหนือรัฐบาล ซึ่งความพยายามนี้ทำได้ไม่ยากเย็นสักเท่าใด และได้รับการตอบสนองโดยดีจากผู้นำทหารในขณะนั้น สำหรับเงื่อนไขประการที่สองนั้นสหรัฐอเมริกาเสนอแนะและผลักดันให้รัฐบาลทหารจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่สนับสนุนเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินไปเนื่องจากบรรดาผู้นำทหารนั้นได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุนเอกชนก่อนหน้านี้แล้ว  ทว่า ปัญหาบางประการเท่านั้นที่สร้างข้อจำกัดในเรื่องนี้ก็คือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมโดยใช้รัฐวิสาหกิจเป็นกลไกสำคัญตามแนวทางของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้นไม่สอดคล้องกับแนวทางของสหรัฐอเมริกา ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนั้นได้รับผลกระทบจากสงครามเกาหลีทำให้ภาคเอกชนซบเซา ทำให้สภาหอการค้ากรุงเทพฯ ได้แสดงความคิดเห็นว่า การสนับสนุนรัฐวิสาหกิจเป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  ดังนั้น รัฐบาลจึงควรสนับสนุนธุรกิจเอกชนมากกว่า บทบาทของรัฐควรเปลี่ยนไปผูกขาดเฉพาะสิ่งซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจเอกชน เช่น การจัดหาสินค้าบริการให้กับกองทัพ การจัดหาสาธารณูปโภคพื้นฐาน และบริการด้านคมนาคมขนส่ง เป็นต้น ซึ่งการแบ่งบทบาทนี้จะทำให้รัฐและเอกชนประกอบกิจการสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน[13]

เมื่อทุกอย่างเป็นใจและถึงจุดที่สมประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย การรัฐประหารซึ่งนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ล้มล้างการปกครองของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในปี พ.ศ. 2500 และได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2501 และใช้การปกครองในระบอบเผด็จการแทน รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และมีจอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรีได้ตอบรับนโยบายของสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และสหรัฐอเมริกาก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่รัฐบาลไทยมากขึ้น

จอมพลสฤษดิ์ได้เริ่มภารกิจในการปรับปรุงระบบเศรษฐกิจตามแนวทางการชี้นำของสหรัฐอเมริกาจากรายงานการประชุมธนาคารโลกในปี พ.ศ. 2502 ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ความไม่มีประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจไทยที่ดำเนินกิจการโดยขาดทุน (ยกเว้นกิจการยาสูบและสุรา) รายงานของธนาคารโลกแนะนำให้รัฐบาลไทยปรับลดจำนวนรัฐวิสาหกิจและสนับสนุนธุรกิจของเอกชน ตลอดจนถึงการปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างกฎหมายเสียใหม่ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและระบบการให้สินเชื่อ พร้อมทั้งจัดตั้งสถาบันเพื่อวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ[14] ซึ่งรัฐบาลก็ได้รับเอานโยบายดังกล่าวมาปฏิบัติทั้งในแง่ของการยุบเลิกรัฐวิสาหกิจและขายกิจการให้กับภาคเอกชน การพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา การบริหารราชการ และโครงสร้างองค์กรทางเศรษฐกิจ เกิดหน่วยงานของรัฐใหม่ๆ ขึ้นมา ได้แก่ สำนักงบประมาณ สำนักงานสถิติแห่งชาติ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ส่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญ (เทคโนแครต) มาช่วยรัฐบาลภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์

แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ 3 ฉบับแรกนั้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และในขณะเดียวกันด้วยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ธนาคารโลกได้ให้รัฐบาลไทยกู้ยืมเงินจำนวนสี่ร้อยสี่สิบล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสร้างถนน เส้นทางคมนาคม ระบบชลประทาน ไฟฟ้าพลังน้ำ และการศึกษา ผลของการปฏิรูปเศรษฐกิจนี้ทำให้เกิดความพยายามดึงการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นผ่านทางกฎหมายส่งเสริมการลงทุน ปรับปรุงระบบกฎหมายที่ดิน ยอมให้ธุรกิจเอกชนต่างประเทศถือครองที่ดินได้ และบั่นทอนการรวมตัวของสหภาพแรงงาน

สำหรับทุนเอกชนภายในประเทศการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และการส่งเสริมทางเศรษฐกิจนั้นต่อความต้องการของทุนเอกชนภายในประเทศ เมื่อนโยบายเศรษฐกิจแบบชาตินิยมหายไปพร้อมๆ กับการที่รัฐบาลปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรเพื่อเอื้อกับอุตสาหกรรมในประเทศ ทำให้ทุนเอกชนไทยกล้าลงทุนมากขึ้นเพื่อสร้างสินค้าอุปโภคบริโภคภายในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือรายงานของธนาคารโลก[15]

สภาพดังกล่าวนี้สร้างความได้เปรียบให้แก่ทุนเอกชนภายในประเทศและสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วร่วมถึงการเข้าไปในชนบทที่มีศักยภาพ ธุรกิจโดยส่วนใหญ่ในขณะนั้นเป็นของทุนเอกชนภายในประเทศ สำหรับบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมักเข้ามาในลักษณะของการร่วมทุนกับทุนเอกชนภายในประเทศในอุตสาหกรรมที่บริษัทเอกชนสัญชาติไทยยังขาดความชำนาญ เช่น เคมีภัณฑ์ เภสัชกรรม ปิโตรเลียม และวิศวกรรม เป็นต้น ซึ่งเข้ามาเพื่อผลิตสินค้าและบริการป้อนให้กับตลาดภายในประเทศ  ดังนั้น ทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาจึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์แตกต่างไปจากทุนเอกชนภายในประเทศเลย ในทางตรงกันข้ามทุนจากต่างประเทศเหล่านี้กลับพลอยได้ประโยชน์จากเส้นสายที่ทุนเอกชนภายในประเทศมีกับรัฐบาล และทุนเอกชนภายในประเทศได้เรียนรู้องค์ความรู้จากต่างประเทศ

แม้โดยรวมเศรษฐกิจภายในประเทศจะดีขึ้นจากการที่รัฐบาลสร้างกำแพงภาษี และให้ทุนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากต่างประเทศ และแรงงานราคาถูกภายในประเทศ ทำให้ตลาดสินค้าและบริการภายในประเทศขยายตัวเร็วและสามารถรักษาดุลการชำระเงินระหว่างประเทศเอาไว้ได้  ทว่า ระบบเศรษฐกิจที่รัฐใช้อำนาจรัฐเข้าสนับสนุนทุนเอกชนภายในประเทศนั้นทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยบิดเบี้ยวและไม่เติบโตในลักษณะอย่างที่ควรจะเป็น ชุดของนโยบายที่รัฐบาลไทยนำมาจากสหรัฐอเมริกาถูกดัดแปลงไปโดยความประสงค์ของทุนเอกชนภายในประเทศ ในปัจจุบันนี้แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ได้ออกหน้าหรือให้ความสนับสนุนกับเอกชนรายใดเป็นพิเศษ แต่กลับใช้กลไกอำนาจรัฐทางกฎหมายแทน ซึ่งตราบใดที่กฎหมายและระเบียบในประเทศไม่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ก็จะไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้[16] นโยบายว่าด้วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจใดๆ ก็อาจพัฒนาไปอย่างกระท่อนกระแท่น


เชิงอรรถ

[1] ธารทอง ทองสวัสดิ์, “เศรษฐกิจไทยในช่วง พ.ศ. 2488 – 2504”, ในเศรษฐกิจไทย, (นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533), น. 293.

[2] เพิ่งอ้าง, น. 293.

[3] เพิ่งอ้าง, น. 293.

[4] เพิ่งอ้าง, น. 293.

[5] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ, พิมพ์ครั้งที่ 3, (เชียงใหม่ : สำนักพิมพ์ซิลค์เวอร์ม, 2546), น. 149.

[6] ธารทอง ทองสวัสดิ์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 294.

[7] ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, น. 149 – 150.

[8] เพิ่งอ้าง, น. 151 – 155.

[9] เพิ่งอ้าง, น. 153.

[10] สังศิต พิริยะรังสรรค์, ทุนนิยมขุนนางไทย (พ.ศ. 2475-2503), (กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์, 2526), น. 194 – 200 อ้างถึงใน เพิ่งอ้าง, น. 154.

[11] เพิ่งอ้าง, น. 154.

[12] เพิ่งอ้าง, น. 155.

[13] เพิ่งอ้าง, น. 156

[14] เพิ่งอ้าง, น. 157

[15] เพิ่งอ้าง, น. 158 – 160.

[16] ผู้เขียนหยิบเอาคำพูดนี้มาจาก ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ นักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่ง.

มโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

ปรีดี พนมยงค์ ทำการอภิวัฒน์สยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยความปรารถนาจะให้ประเทศสยามในขณะนั้นได้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์ คือประกอบไปด้วยประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยการเมือง และทัศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตย

กล่าวเฉพาะประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ เป็นด้านที่ปรีดี พนมยงค์ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ด้วยความเชื่อว่า “ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว ราษฎรส่วนมากก็ไม่มีโอกาสในทางปฏิบัติที่จะใช้สิทธิประชาธิปไตยได้…”  เพราะตระหนักต่อเรื่องดังกล่าว ภายหลังจากการอภิวัฒน์สยาม ปรีดี พนมยงค์ จึงได้พยายามผลักดันให้เกิดเค้าโครงการเศรษฐกิจขึ้นมา โดยหมายมุ่งจะให้แบบแผนในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนำมาซึ่งความสุขสมบูรณ์ของราษฎร เพียงแต่ในท้ายที่สุดด้วยความขัดแย้งทางการเมืองเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง

อย่างไรก็ตามเค้าโครงการเศรษฐกิจก็ยังเป็นเรื่องที่ควรค่าในการนำมาศึกษาเพื่อทำความเข้าใจความคิดและวิสัยทัศน์ของปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส  แต่ก่อนที่จะนำเสนอบทความว่าด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเค้าโครงการเศรษฐกิจในครั้งถัด ๆ ไปนั้น  ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากจะพาทุกท่านทำความเข้าใจถึงหลักการอันเป็นแก่นแกนของมโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ เสียก่อน  โดยหากพิจารณาจากบทสัมภาษณ์และงานเขียนบทความต่าง ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่าปรีดี พนมยงค์ มีฐานคิดสำคัญ 2 ประการ คือ “ปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย” และ “ลัทธิภราดรภาพนิยม”

ปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย

ปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย (Democratic scientific socialism) เป็นหลักคิดเฉพาะตัวของปรีดี พนมยงค์[1] ซึ่งสังเคราะห์ขึ้นจากองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ตนได้เผชิญมาและได้ใช้ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมมาโดยตลอด

ในการทำความเข้าใจปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์ จะต้องเข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของคำทั้ง 3 คำนี้คือ วิทยาศาสตร์ สังคมนิยม และประชาธิปไตย

ในทรรศนะของปรีดี พนมยงค์ เห็นว่า “วิทยาศาสตร์” เป็นหลักแห่งความรู้อย่างหนึ่ง โดยเป็นความรู้ที่ได้รับจากการสังเกตและค้นคว้าเชิงประจักษ์ (Empirical) ในเรื่องธรรมชาติ ความรู้แบบวิทยาศาสตร์นี้ตั้งอยู่บนหลักปรัชญาแบบวัตถุนิยมหรือ “สสารธรรม” (Materialism) ตามคำที่ปรีดีใช้ โดยแนวคิดที่หลักสสารธรรมยึดถือคือ “หลักว่าสสารวัตถุเป็นเหตุของสรรพสิ่ง” ซึ่งเป็นจุดยืนที่ต้องใช้ในการมองโลกแบบหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับปรัชญาแบบจิตนิยมหรือ “จิตธรรม” (Idealism) ตามคำที่ปรีดีใช้[2] อย่างไรก็ตาม ปรัชญาแบบสสารธรรมนั้นไม่ได้ปฏิเสธอำนาจแห่งจิตเสียทีเดียว โดยมองว่ามนุษย์นั้นแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน ตรงที่มนุษย์นั้นมีจิตสำนึก และปรัชญาสสารธรรมมองว่าสภาวะแห่งความเป็นอยู่ก่อให้เกิดจิตสำนึกขึ้นมา

ส่วนคำว่า “สังคมนิยม” นั้น ปรีดีเคยอธิบายว่า แนวคิดแบบสังคมนิยมมีมากมายหลายชนิด มีเป็นร้อยชนิด หนึ่งในแนวคิดแบบสังคมนิยมที่หลายคนรู้จักก็คือ “มาร์กซิสม์” ซึ่งในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง ได้มีผู้ถามปรีดีเป็นมาร์กซิสม์หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า “ไม่ ๆ ข้าพเจ้าบอกแล้วว่าปรัชญาของข้าพเจ้าคือ สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าถ้ามาร์กซ์พูดอย่างนี้หรืออย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องพิจารณาว่าเป็นจริง หรือเป็นไปตามสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยหรือไม่  สังคมนิยมก็มีอยู่หลายชนิด แม้ลัทธิมาร์กซิสม์ก็มีชนิดต่าง ๆ …ข้าพเจ้ามีอิสระที่จะเลือกทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่สอดคล้องกับหลักการ”[3]  อย่างไรก็ตามปรีดีไม่เคยอธิบายว่า เห็นด้วยหรือคล้อยตามไปในแนวคิดสังคมนิยมแบบใด เพียงแต่หากพิจารณาความคิดของปรีดีในหลาย ๆ มิติแล้ว อาจสรุปได้ว่า ปรีดี พนมยงค์ มีแนวคิดสังคมนิยมแบบภราดรภาพนิยม (Solidarism) ที่มีหลักการมองว่ามนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมามีหนี้ร่วมกัน ซึ่งในส่วนนี้จะได้อธิบายต่อไปในหัวข้อถัดไป

และคำว่า “ประชาธิปไตย” นั้น ปรีดีอธิบายว่า “ประชาธิปไตย” ประกอบด้วยคำว่า “ประชา” หมายถึง หมู่คน คือปวงชน กับคำว่า “อธิปไตย” หมายถึง ความเป็นใหญ่  ดังนั้น คำว่า “ประชาธิปไตย” จึงหมายถึง “ความเป็นใหญ่ของปวงชน” ประกอบกับปรีดีได้อ้างพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานและพจนานุกรมสำหรับนักเรียนของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งได้ให้ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” อันแปลว่า “แบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่”

ปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยนี้ ปรีดี พนมยงค์ ได้แสดงผ่านคำอธิบายผ่านการอธิบายองค์ประกอบของสังคม โดยเห็นว่า สังคมมนุษย์ทุกสังคมประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ  ประการแรก คือ เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐาน (โครงสร้างเบื้องล่าง) ของสังคม  ประการที่สอง คือ การเมือง ซึ่งเป็นโครงสร้างเบื้องบนของสังคม โดยทั้งสององค์ประกอบนี้สามารถสะท้อนและมีผลกระทบแก่กันและกัน  และประกาศที่สาม คือ ทรรศนะทางสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดจิตใจอย่างหนึ่งของคนในสังคม และเป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “วัฒนธรรม”

หากนำหลักปรัชญาแบบสสารธรรมตามที่ปรีดี พนมยงค์ ยึดถือมาอธิบายสังคมบนความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจ การเมือง และทรรศนะทางสังคมแล้ว จะสามารถแบ่งโครงสร้างทางสังคมออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นสสารและส่วนที่เป็นจิตใจ  

โดยในส่วนที่เป็นสสารนี้ปรีดีอธิบายในเชิงว่า สังคมดำรงอยู่เพื่อตอบสนองมนุษย์ และโดยพื้นฐานแล้วก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ มนุษย์ก็จำเป็นจะต้องผลิตบางสิ่งบางอย่างเพื่อดำรงชีพ และสิ่งที่มนุษย์ผลิตนี้เรียกว่า “ชีวปัจจัย” ซึ่งเป็นสสารทางสังคมเกี่ยวข้องกับการผลิต เครื่องมือการผลิต บุคคลการผลิต[4] เป็นเรื่องเศรษฐกิจอันเป็นส่วนรากฐานของสังคม ในขณะที่การเมืองซึ่งเป็นโครงสร้างเบื้องบนจากเศรษฐกิจนั้นมีผลสะท้อนไปยังเศรษฐกิจโดยอำนวยให้เศรษฐกิจดำเนินการผลิตของสังคมได้ เพราะหากโครงสร้างทางการเมืองไม่เอื้ออำนวยแล้ว การเข้าถึงชีวปัจจัยก็จะทำได้โดยลำบาก

ตัวอย่างที่ชัดเจนของเรื่องนี้ก็คือ การอภิวัฒน์สยามในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งปรีดีเห็นว่าเป็นการกระทำไปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอันจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยปรีดีได้กล่าวว่า “…ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำสาระสำคัญ คือ ความฝืดเคืองของราษฎร…รับรองความเห็นหม่อมเจ้าสกลฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองนี้ไม่ใช่ Coup d’ Etat แต่เป็น Revolution ในทางเศรษฐกิจ ไม่มีในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์เท่านั้น…”[5] แสดงให้เห็นเจตนาของการอภิวัฒน์สยามนั้นไม่ได้มีความประสงค์แค่จะให้มีรัฐธรรนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเท่านั้น แต่ต้องการให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจด้วย[6]

สำหรับในส่วนของทรรศนะทางสังคมเป็นส่วนที่เป็นจิตใจ ซึ่งทรรศนะทางสังคมนั้นอาจจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ได้ แต่หากปราศจากทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยแล้วก็คงไม่เกิดประชาธิปไตยสมบูรณ์การที่มนุษย์ในสังคมใดจะมีทรรศนะทางสังคมเช่นไรก็เกิดขึ้นจากรากฐานแห่งสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยนั่นเอง และเมื่อทรรศนะทางสังคมเกิดขึ้นแล้วก็จะมีผลสะท้อนไปยังสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยคือเป็นหลักการนำที่มีอิทธิพลยิ่งขึ้นในการเคลื่อนไหวของสังคม[7]

สำหรับทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยที่ปรีดี พนมยงค์ ปรารถนานั้นประกอบไปด้วย “จิตสำนึกในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยชาติที่จะต้องมีความเสมอภาคกับเพื่อนมนุษย์ในสังคม และมีสิทธิเสรีภาพคือ สิทธิประชาธิปไตย”[8] และด้วยความที่ปรีดีเป็นผู้มีความเชื่อถือในลัทธิภราดรภาพนิยมจึงเห็นว่า “สังคมที่มีทรรศนะในทางช่วยเหลือร่วมมือกันฉันท์พี่น้องโดยมิได้มีความคิดที่กดขี่ หรือเบียดเบียนระหว่างกัน”[9] ทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์ จึงเป็นสังคมที่มนุษย์มีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์และมีความเสมอภาคกับเพื่อนมนุษย์ในสังคม และมีสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย และมนุษย์ในสังคมนั้นจะต้องร่วมมือกันฉันท์พี่น้องโดยปราศจากการกดขี่และเบียดเบียนกัน

ลัทธิภราดรภาพนิยม

ภราดรภาพนิยมเป็นอีกหนึ่งฐานคิดของปรีดี พนมยงค์ โดยในช่วงที่ปรีดี พนมยงค์ ได้ไปศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ได้รับอิทธิพลทางความคิดทางเศรษฐกิจของ ชาร์ลส์ จี๊ด (Charles Gide) นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้อธิบายว่าภราดรภาพนิยม (Solidarism) เป็นแนวคิดที่มอง “มนุษยชาติต้องพึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น จึงจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในความลำบากของผู้อื่นด้วย ซึ่งการนี้เป็นมูลฐานแห่งความยุติธรรมของสังคม”[10]

อิทธิพลของลัทธิภราดรภาพนิยมนี้มีผลต่อความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีพอสมควร ดังปรากฏในรายงานการประชุมตอนหนึ่งที่ปรีดีกล่าวว่า “…เหตุที่ใช้หลักโซเซียลิสม์ไม่ใช่คอมมิวนิสม์ คือถือว่ามนุษยที่เกิดมาย่อมต้องเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กัน เช่น คนจนนั้นเพราะฝูงชนทำให้จนก็ได้ คนเคยทอผ้าด้วยฝีมือครั้นมีเครื่องจักรแข่งขันคนที่ทอด้วยมือต้องล้มเลิก หรือคนที่รวยเวลานี้ ไม่ใช่รวยเพราะแรงงานของตนเลย เช่น ผู้ที่มีที่ดินมากคนหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งเดิมมีราคาน้อย ภายหลังที่ดินมีราคาแพง สร้างตึกสูง ๆ ดังนี้ ราคาที่ดินแพงขึ้นเนื่องจากฝูงชนไม่ใช่เพราะการกระทำของคนนั้น ฉะนั้นจึงถือว่ามนุษย์ต่างมีหนี้ตามธรรมจริยาต่อกัน จึงต้องร่วมประกันภัยต่อกัน และร่วมกันในการประกอบเศรษฐกิจ”[11]

ส่วนหนึ่งเหตุที่ปรีดีสนใจและรับเอาภราดรภาพนิยมมาเป็นหลักคิดนั้น ปัจจัยหนึ่งอาจจะด้วยสอดคล้องกับพื้นฐานที่เป็นคนเติบโตมาในครอบครัวชาวพุทธ แต่อีกเหตุปัจจัยหนึ่งอาจจะเพราะปรีดีได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงไปในบริบทของสังคมขนาดนั้น ด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัดและทราบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนต่างจังหวัดดี และตระหนักถึงความยากลำบากของชาวนาซึ่งเป็นอาชีพหลักส่วนใหญ่ของคนไทยในขณะนั้น ซึ่งมีความยากลำบากและไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตคือไม่มีที่ดินสำหรับการทำนา จึงต้องเสียค่าเช่าที่นา ถูกเก็บภาษีโคกระบือ เก็บเงินค่ารัชชูปการที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ปรีดีตระหนักถึงในเรื่องนี้และเห็นว่าเป็นจริงดังที่ชาร์ลส์ จี๊ด ได้อธิบายไว้

ในสายธารความคิดทางเศรษฐกิจปรีดี พนมยงค์ อยู่ตรงไหน

“ข้าพเจ้าหยิบเอาส่วนที่ดีของลัทธิต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศสยามแล้ว จึงได้ปรับยกขึ้นมาเป็นเค้าโครงการ”

— ปรีดี พนมยงค์, คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจ

เมื่อได้ทำความเข้าใจฐานคิดทั้ง 2 ประการของปรีดีแล้ว ประเด็นต่อมามีว่า ปรีดี พนมยงค์ อยู่ตรงไหนในสายธารความคิดทางเศรษฐกิจ หากพิจารณาในคำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจในหมวดและบทต่าง ๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า ปรีดีไม่ได้ยึดถือเอาลัทธิใดลัทธิหนึ่งมาเป็นหลักในการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจ แต่อาศัยวิธีการผสมผสานทั้งเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมหรือ “โซเซียลิสม์” (Socialism) ตามที่ปรีดีเรียก และเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (Capitalism)  

แม้จะมีผู้กล่าวหาว่าปรีดีมีแนวคิดแบบคอมมิวนิสม์ แต่หากพิจารณาเนื้อหาของเค้าโครงการเศรษฐกิจแล้วจะเห็นได้ว่า แม้เค้าโครงการเศรษฐกิจจะมีกลิ่นอายความคิดทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แต่ก็ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ตามแนวทางของคาร์ล มาร์กซ์ และฟรีดิช เอ็งเงิลส์ ซึ่งปรีดีได้ตอบกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงการเศรษฐกิจในตอนหนึ่งว่า “…โครงการนี้ไม่ใช่หลักคอมมิวนิสม์ เรามีทั้งแคปิตัลลิสม์ และโซเซียลิสม์รวมกัน ถ้าหากพวกคอมมิวนิสม์มาอ่านจะติเตียนมาก ว่ายังรับรองพวกมั่งมีให้มีอยู่…”[12]

ประกอบกับเมื่อพิจารณาโดยตลอดเค้าโครงการเศรษฐกิจแล้ว จะเห็นได้ว่า หลักการของเค้าโครงการเศรษฐกิจนั้นแตกต่างจากความคิดทางเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสม์พอสมควร เช่น รัฐบาลไม่ต้องริบทรัพย์สินของผู้มั่งมี  รัฐบาลจะไม่ริบที่ดินของเอกชน แต่ใช้วิธีการซื้อขายที่ดินด้วยความสมัครใจ  รัฐบาลจะคุ้มครองลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ (ในเค้าโครงการเศรษฐกิจใช้คำว่า“กรรมสิทธิ์”) เป็นต้น ซึ่งหลักการนี้สอดคล้องกับหลักการของภราดรภาพนิยมที่แม้จะเป็นส่วนหนึ่งในสายธารความคิดทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แต่ก็มีความแตกต่างกัน เนื่องจากภราดรภาพนิยมยังมีการเคารพในกรรมสิทธิ์ของบุคคลและยอมรับให้มีมรดกตกทอดได้ ตลอดจนให้ความอิสระเสรีต่อบุคคลในการใช้จ่าย[13]

ส่วนสาเหตุหลักที่ปรีดีนำแนวคิดแบบสังคมนิยมมาใช้ ก็อาจจะเพราะต้องการที่จะสร้างทรรศนะทางสังคมที่ประชาธิปไตย เพราะโดยหลักการแล้วลัทธิภราดรภาพนิยมยังยอมรับความไม่เสมอภาคในสังคม แต่จะดำเนินการโดยให้สังคมร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างคนอ่อนแอและแข็งแรง ให้ร่วมกันรับผิดชอบการดำเนินชีวิตผ่านกลไกของหลักประกันทางสังคม

ดังนั้น หากจะกล่าวว่าในสายธารความคิดทางเศรษฐกิจอาจกล่าวได้ว่า ปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้มีความคิดทางเศรษฐกิจไปในลัทธิใดลัทธิหนึ่ง การผสมผสานระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยมก็เป็นไปเพื่อตอบสนองต่อฐานคิดทั้งสองที่มีอิทธิพลต่อความคิดที่หมายมุ่งจะสร้างให้สังคมเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ทั้งประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางการเมือง และมีทรรศนะทางสังคมที่เป็นประชาธิปไตยนั่นเอง


เชิงอรรถ

[1]     เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, “ความคิดสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตยของปรีดี พนมยงค์.” ใน ปรีดีปริทัศน์ ปาฐกถนาชุดปรีดี พนมยงค์ อนุสรณ์ (กรุงเทพฯ: เทียนวรรณ, 2526), น. 127.

[2]     เกียรติ ผิวนวล, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 128-134.

[3]      เพิ่งอ้าง, น. 128-134.

[4]     เพิ่งอ้าง, น. 128-134.

[5]     ปรีดี พนมยงค์, เค้าโครงการเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2552), น. 150.

[6]     สถานการณ์ในขณะนั้นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในขณะนั้น สยามหรือไทยในปัจจุบันประสบวิกฤตการคลังที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อนประกอบกับเศรษฐกิจโลกตกต่ำในช่วงปี พ.ศ. 2472 – 2475 รัฐบาลดำเนินนโยบายทางการคลังแบบขาดดุล มีการปลดข้าราชการชั้นกลางและล่างออกหลากครั้ง (บรรดาชนชั้นสูงและเจ้านายที่รับราชการไม่ได้รับผลกระทบ) และมีการเก็บภาษีรายได้จากชนชั้นกลางและราษฎรเพิ่ม.

[7]     ปรีดี พนมยงค์, ความเป็นอนิจจังของสังคม, พิมพ์ครั้งที่ 10 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สายธาร, 2552), น. 64-65.

[8]     ปรีดี พนมยงค์, เราจะต่อต้านเผด็จการได้อย่างไร (กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์, 2517), น. 42.

[9]     ปรีดี พนมยงค์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 7, น. 64.

[10]    อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ, “มอง “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ในปัจจุบัน,” สถาบันปรีดี พนมยงค์ (2560), สืบค้นเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2560, จาก pridi.or.th/th/content/2020/05/244.

[11]    ปรีดี พยมยงค์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, น. 149-150.

[12]    ปรีดี พยมยงค์, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 5, น. 146.

[13]     อิสริยา นิติทัณฑ์ประภาศ บุญญะศิริ, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 10.