ย้อนดูคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ชวนทำนายผลคำพิพากษาศาล

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 บนเว็บไซต์ pridi.or.th

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งรับคำร้องของ กกต. ในประเด็นข้อกล่าวหาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขาดคุณสมบัติการเป็น สส. เพราะถือหุ้นสื่อไว้พิจารณา และได้มีคำสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ข่าวศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผูแทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติดังกล่าวแล้ว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แสดงสปิริตประกาศในสภาผู้แทนราษฎรยอมรับการหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว โดยการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นสอดคล้องกับเหตุการณ์ในที่ประชุมรัฐสภาวันเดียวกัน เมื่อที่ประชุมรัฐสภาเสียงข้างมาก (395:312 เสียง) มีมติไม่ให้มีการเสนอชื่อบุคคลที่จะรับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นครั้ังที่สอง

คำถามที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมจึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การพิจารณาในครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกไปในลักษณะใด สถานการณ์แบบนี้จึงควรย้อนกลับมาทบทวนเกี่ยวกับสถานะของศาลรัฐธรรมนูญที่ควรจะเป็นตามหลักการอย่างไร เมื่อพิจารณาจากการเดินทางแห่งการพิพากษาในเรื่องทำนองนี้มาแล้วของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนจึงใคร่ขอย้อนดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในอดีตเพื่อทำนายผลในอนาคต

ศาลรัฐธรรมนูญเดินมาไกลจนเลยเถิด

แต่ดั้งแต่เดิมวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญในโลกนี้ มีเป้าหมายแรกและเป้าหมายสำคัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เพื่อไม่ให้รัฐสภาหรือรัฐบาลตรากฎหมายที่จะขัดต่อหลักการหรือคุณค่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[1] แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดแรกของการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1920) โดยเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้ศาลเข้ามาทำหน้าที่พิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญให้คงคุณค่าความเป็นกฎหมายสูงสุด[2] และพิทักษ์หลักนิติรัฐที่ได้รับการรับรองเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ในระยะหลังบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายมาสู่การตรวจสอบการกระทำในลักษณะใดๆ ที่เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และยอมให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพบางประการที่จะทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดประชาธิปไตยแบบป้องกันตนเองได้ (militant democracy) โดยกำหนดให้รัฐธรรมนูญมีกลไกในการทำลายการกระทำดังกล่าว[3] ซึ่งนำมาสู่การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยุบพรรคการเมืองหรือดำเนินการในลักษณะใดๆ ต่อการกระทำที่คิดว่าจะทำลายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือพฤติกรรมที่สะท้อนการเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย

กรณีของประเทศไทยศาลรัฐธรรมนูญเริ่มต้นปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540[4] โดยในช่วงเริ่มต้นจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญไทยใหม่ๆ ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 นายอิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญและนักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนที่น่าเคารพท่านหนึ่งได้เคยให้อธิบายความมุ่งหมายของท่านในการแสดงวิสัยทัศน์ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ”[5] ทว่า ภาพของศาลรัฐธรรมนูญที่สร้างความน่าเชื่อถือทางการเมืองเป็นไปเพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ภายหลังจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมาจนถึงช่วงภายใต้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 จนถึงรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญเริ่มปรากฏเด่นชัดในฐานะคู่ขัดแย้งทางการเมือง ในฐานะกลไกในการรักษาอำนาจของฝ่ายเผด็จการอำนาจนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถูกรับรองโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และวุฒิสภาของ คสช.

ศาลรัฐธรรมนูญมาพาประเทศไทยมาสู่ทางตันหลายครั้งหลายหน

ตลอดช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกตั้งคำถามจากประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อทำลายคู่ตรงข้ามทางการเมือง เช่น ในคำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ของนายสมัคร สุนทรเวช เท่ากับนายสมัครปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้าง จึงเป็นการขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรีและพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือคำวินิจฉัย 5/2563 กรณียุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลวินิจฉัยว่า เงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่ก็เป็นรายรับและเงินทางการเมือง ซึ่งจะได้มาและใช้จ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง กระทำได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ หรือเป็นกรณีที่ศาลถูกนำมาใช้สร้างอุปสรรคต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยต่างๆ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 15-18/2550 ศาลวินิจฉัยว่า รัฐสภาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

และท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนกลายเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ อาทิ คำวินิจฉัยที่ 19/2565 ซึ่งศาลวินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง หรือคำวินิจฉัยที่ 20/2564 เรื่องขอให้ศาลพิจารณาว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดให้การสมรสเฉพาะชายและหญิงเท่านั้นที่จะชอบด้วยกฎหมายไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

สิ่งที่เกิดขึ้นจากการวินิจฉัยต่างๆ เหล่านี้ของศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไปสู่ทางตันทีละเล็กละน้อย และบีบให้ประชาชนไม่มีจุดให้ไปต่อ เพราะศาลได้บีบให้การเมืองต้องมาถึงทางตันที่จะไปอย่างไรตามหลักการประชาธิปไตย ทำให้เกิดการสลายขั้วทางการเมือง หรือทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ศาลควรจะพิทักษ์ไว้กลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะทำได้จริงตามรัฐธรรมนูญ กลายเป็นศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างสภาวะที่ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นใหญ่ (the supremacy of constitutional court)

ในกรณีของการรับคำร้องของ กกต. ตามเรื่องพิจารณาที่ 23/2566 ถึงสมาชิกภาพของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ครั้งนี้ อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไทยไปสู่ทางตันและความขัดแย้งอีกครั้งหนึ่ง หรือไม่?

ย้อนดูคดีเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อ ศาลรัฐธรรมนูญคิดอย่างไร

เจตนารมณ์ที่ต้องกำหนดคุณสมบัติมิให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้นก็เพื่อมุ่งหมายมิให้ได้ประโยชน์จากกิจการดังกล่าวที่จะส่งผลให้มีอิทธิพลสั่งการกำหนดทิศทางของกิจการเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเอื้อประโยชน์ตอบแทนของบริษัทในฐานะว่าที่ หรือผู้อยู่ในตำแหน่งผู้แทนราษฎร[6] อย่างไรก็ดี คำอธิบายใดๆ ทางวิชาการในประเทศนี้อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในเวลานี้ได้

สิ่งที่สังคมรู้ตอนนี้คือ ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ กกต. แล้ว และยังไม่อาจทราบได้ว่า ท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาในลักษณะใด แต่สิ่งที่อาจจะพอคาดเดาได้ก็คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาอาจจะพอเป็นกระจกสะท้อนภาพของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคตอันใกล้นี้ โดยที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องและมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่ามีการถือหุ้นสื่อมาแล้ว 3 ครั้ง

ในครั้งแรกในคดีของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตามคำวินิจฉัยที่ 14/2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในระหว่างสมัครรับเลือกตั้ง แม้จะได้โอนหุ้นก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นและสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ระบุชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ถือหุ้นแทนธนาธรหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง

ซึ่งศาลไม่เชื่อว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้โอนหุ้นก่อนสมัครรับเลือกตั้ง ประกอบกับกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ และในเอกสารแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ (แบบ สสช.1) ระบุว่า ประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์ฯ รวมถึงในเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ยังระบุว่า มีรายได้จากการให้บริการโฆษณา ดังนั้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จึงเป็นธุรกิจประกอบการสื่อ แม้ว่าบริษัทจะหยุดประกอบกิจการไปแล้ว อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่า ได้มีการแจ้งยกเลิกเป็นผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา บรรณาธิการหรือเจ้าของกิจการตามกฎหมาย จึงยังคงเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ตามคำวินิจฉัยที่ 20/2563 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และบริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด ในระหว่างดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ จะแจ้งว่าได้ทำการโอนหุ้นก่อนวันเลือกตั้ง แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่เห็นว่ามีพยานหลักฐานที่หนักแน่นพอว่ามีการโอนหุ้นดังกล่าวจริง และพบความผิดปกติในการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือหุ้น จึงไม่เชื่อว่ามีการโอนหุ้นจริง และคุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ยังถือครองหุ้นดังกล่าวอยู่ ประกอบกับบริษัททั้งสองมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเกี่ยวกับการรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ และประกอบกิจการผลิตสื่อภาพยนตร์ โฆษณา วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ สื่อการแสดง และสื่อการตลาดต่างๆ ประกอบธุรกิจเป็นผู้ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย และในเอกสารนำส่งงบการเงิน รวมถึงเอกสารนำส่งงบการเงิน (แบบ ส.บช.3) ระบุว่า ธุรกิจยังมีการดำเนินการที่มีรายได้อยู่ ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยให้ คุณธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ดังจะเห็นได้ว่า เงื่อนไขสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการวินิจฉัยว่า บุคคลดังกล่าวถือหุ้นสื่อหรือไม่ก็คือ บุคคลดังกล่าวถือหุ้นของบริษัทที่มีวัตถุประสงค์เป็นการจัดทำสื่อในลักษณะต่างๆ และบริษัทยังคงมีรายได้จากการประกอบกิจการจากผลิตสื่อ ซึ่งหลักการนี้ได้รับการรับไว้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคำวินิจฉัยที่ 18-19/2563 โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือ นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ (ผู้ถูกร้องที่ 20) ซึ่งถือหุ้นบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการโรงพิมพ์ พิมพ์หรือรับจ้างพิมพ์ ออกหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือ และสิ่งพิมพ์อื่นๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศทุกภาษาตามข้อ 28 โดยศาลรัฐธรรมนูญในเสียงข้างมากได้ให้ความเห็นว่า ตามแบบ สสช.1 ระบุว่าประกอบกิจการการบริการ และรับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณาตามสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และประกอบกิจการจัดฝึกอบรม แต่บริษัทดังกล่าวไม่ได้มีรายได้ใดๆ จากการให้บริการ และผลประกอบการขาดทุนสุทธิเป็นเงินจำนวน 97,415.51 บาท ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

ชวนทำนายผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ในความเห็นของผู้เขียน ถ้าเราคิดตามหลักการของรัฐธรรมนูญและเป้าหมายของการป้องกันการถือหุ้นสื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะนำไปสู่การใช้อำนาจครอบงำ ซึ่งในกรณีนี้บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีข้อมูลสู่สาธารณะว่าได้ยุติการให้บริการเนื่องจากไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ตามกฎหมายองค์การจัดสรรคลื่นความถี่ และปัจจุบันก็ไม่ได้มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อโฆษณาแต่อย่างใด[7]

หากถือตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ควรจะต้องไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพและศาลรัฐธรรมนูญจึงควรมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย

อย่างไรก็ดี ความไม่ชอบมาพากลของเรื่องยังมีอยู่อีกมาก เพราะหากพิจารณางบการเงินล่าสุดพบว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 (นำส่งวันที่ 10 พฤษภาคม 2566) งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 19,974,084.00 บาท กำไรสุทธิ 8,635,285.00 บาท งบดุลรวมสินทรัพย์ 1,266,191,686.00 บาท หนี้สิน 2,891,997,086.00 บาท ขาดทุนสะสม 7,480,276,245.00 บาท[8] ซึ่งไม่ตรงกับที่มีการกล่าวในการประชุมผู้ถือหุ้น[9]

ประเด็นการขาดคุณสมบัติของการเป็น สส. ดังกล่าวนี้ จึงน่าสนใจมากอยู่เสมอ เพราะด้วยสถานการณ์การเมืองดังกล่าวที่ผ่านมา อาจจะกล่าวได้ว่า หลักการใดๆ ก็อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ได้ตามหลักวิชาการ นอกจะบอกว่าการเมืองตอนนี้คือผลรวมของการละเมิดกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เหลืออยู่จึงเป็นความสับสนทางการเมือง

ท้ายที่สุดนี้ สิ่งที่สังคมไทยควรจะต้องทำมากที่สุดก็คือ การกลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับการออกแบบสถาบันตามรัฐธรรมนูญใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญใหม่ให้มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากขึ้น และมีบทบาทหน้าที่จำกัดอย่างเหมาะสมในฐานะขององค์กรตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายเท่านั้น


เชิงอรรถ

[1] ธีระ สุธีวรางกูร,ระบบศาลและการพิจารณาคดีของศาลในทางกฎหมายมหาชน, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2563), น.37; การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายนั้น นอกเหนือจากการใช้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วอาจจะมีองค์กรของรัฐรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การใช้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแบบฝรั่งเศสหรือประเทศไทยก่อนหน้าการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือการใช้ศาลสูงสุด (supreme court) แบบสหรัฐอเมริกา.

[2] เพิ่งอ้าง, น.37 และ อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพฯ: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558) น.27.

[3] ดู ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, “หลักประชาธิปไตยเชิงรุก: ตุลาการภิวัฒน์กับการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย,” วารสารนิติศาสตร์ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,  (กันยายน 2557) : น.634 – 635 และ 643 – 644.

[4] ดู หมวด 8 ศาล ส่วนที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540.

[5] สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ, “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ,” วารสารศาลรัฐธรรมนูญ ปีที่ 4 เล่มที่ 10,  (มกราคม – เมษายน 2545) : น.3-7.

[6] มติชน (12 พฤษภาคม 2566), “พรสันต์ ยก 3 เหตุผล ชี้ พิธา ถือหุ้นสื่อ itv ไม่ส่งผลให้สถานะ ส.ส.ต้องพ้นไป,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[7] วัชชิรานนท์ ทองเทพ (28 พฤษภาคม 2566), “ไอทีวี ยุติธุรกิจสื่อไปแล้ว ยังถือเป็นสื่อมวลชนหรือไม่,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[8] สำนักข่าวอิศรา (9 มิถุนายน 2566), “สถานะไอทีวีปมหุ้นพิธา! หมายเหตุประกอบงบฯ ฉบับล่าสุดชัดดำเนินการค้าตามปกติ,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

[9] โพสต์ทูเดย์ (15 มิถุนายน 2566), “ITV แจงปมคลิปประชุมผู้ถือหุ้นไม่ตรงกัน,” [Online] สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566.

คุยกับ รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน เนื่องในวันรัฐธรรมนูญ

สัมภาษณ์ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

สถานที่: ลานปรีดี ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ความสำคัญของวันรัฐธรรมนูญ

ถ้าเราจำได้ตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 คนไทยจำนวนมากไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญเท่าไหร่ ผมจำได้ว่าผมอ่านหนังสือก็มีคนเขียนเล่าให้ฟังว่า บางคนก็เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือ ลูกของพระยาพหลพยุหเสนา คนไทยก็อาจไม่ได้สนใจมาก เพราะว่าเราอยู่ในสังคมปิตาธิปไตย สังคมพ่อปกครองลูกอะไรต่างๆ แล้วก็เชื่อฟังผู้มีอำนาจ โดยภาพรวมสังคมก็สงบร่มเย็นดีก็ไม่เห็นมีอะไร ผู้มีอำนาจว่าไงก็เอาแบบนั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่ทำให้สังคมไทยมาถึงจุดนี้ นอกเหนือจากนักการเมืองที่พยายามที่จะเรียกว่า build ระบบกฎหมายเพื่อช่วงชิงอำนาจทางการเมืองแล้ว ส่วนหนึ่งก็คือการที่พวกเราเอง ประชาชนทั่วๆ ไม่ได้เห็นถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญมากเท่าไหร่ คือ ไม่เห็นความสำคัญของระบบที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เห็นความสำคัญของสิทธิเสรีภาพมาก หรือ การที่จะต้องสูญเสียสิทธิเสรีภาพ 

ผมคิดอย่างนี้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นแล้วว่าประชาชนเห็นความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ก็คือความสำคัญของสิ่งที่ท่านอาจารย์ปรีดีได้ให้ไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2475 ตอนนี้คนตระหนักมากแล้วว่า การที่เราไม่ได้มีรัฐธรรมนูญที่ดีที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระและสามารถตัดสินชะตาชีวิตของเราได้เองผ่านระบบการเลือกตั้งที่เสรีและบริสุทธิ์ มันทำให้ชีวิตของเรานั้นแย่ขนาดไหน เลวร้ายขนาดไหน มันเห็นได้ชัดมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มีวิกฤตอย่างโควิด 19 ในเวลานี้ เราไม่สามารถทำอะไรกับรัฐบาลได้เลย เวลาเราไม่พอใจรัฐบาล หรือว่าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมันติดล็อกหมด

เพราะฉะนั้น ตอนนี้มันเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เราเคยมองว่ามันไกลตัวที่สุดอย่างรัฐธรรมนูญ กลายเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดในชีวิตประจำวันของพวกเรา ผมเลยมองว่าประวัติศาสตร์ของรัฐธรรมนูญในประเทศไทย สอนคนเรียนรู้ว่า ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ควรต้องให้ความสำคัญและความสนใจ เวลาใครจะเสนออะไร แก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงหลักการรัฐธรรมนูญ มันไม่ใช่เรื่องที่ เออ ช่างมันเถอะ ทำอะไรก็ทำ เราไม่เกี่ยว เราไม่สนใจไม่ได้แล้ว ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เริ่มตระหนักแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพวกเรามากๆ 

มองรัฐธรรมนูญวันนี้กับหากย้อนกลับไปยังรัฐธรรมนูญ 2475 อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร

ผมคิดว่าถ้าอาจารย์ปรีดีทราบด้วยญาณใดๆ ก็แล้วแต่ ท่านคงเสียใจมากๆ ที่รัฐธรรมนูญที่ท่านให้ไว้เมื่อปี 2475 มาถึงจุดนี้ คือจุดที่ผมคิดว่าเราเห็นรัฐธรรมนูญปี 2560  เป็นรัฐธรรมนูญที่แย่ที่สุดเลยที่เราเคยเห็นมา 

ตอนที่มีรัฐธรรมนูญใหม่ๆ เราอาจจะนึกไม่ออก คือคนอาจจะแค่คิดว่าก็คงเป็นรัฐธรรมนูญ เป็นกลไกกฎหมายที่ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแก้ปัญหาอะไรที่เราเบื่อหน่ายเต็มที แต่ผมคิดว่าหลายคนก็เห็นตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ากลไกที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ วางไว้เพื่ออะไร 

เวลาผ่านไปยิ่งเห็นชัดเจนมากขึ้น จนเรียกว่ากลายเป็นอุปสรรคมาก ที่ทำให้กลไกการแก้ไขปัญหาของสังคมและแก้ปัญหาทางการเมืองที่เคยใช้ได้ในอดีต ต่อให้เราทะเลาะกันแค่ไหน ต่อให้เรามีปัญหาทางการเมือง มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง ในอดีตรัฐธรรมนูญ หรือว่าระบบกฎหมายมันมีกลไกในการแก้ปัญหาหมด 

กลไกที่ basic ที่สุดก็คือ 1 แก้รัฐธรรมนูญ 2 เลือกตั้ง แต่ปัจจุบันกลไกเหล่านี้กลับใช้ไม่ได้เลย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่สำคัญที่สุดเพราะมันติดล็อกรัฐธรรมนูญหมด แก้อะไรก็ไม่ได้ดังนั้น เรามี ส.ว. 250 คน เลือกมาวันนี้ก็อาจจะได้กลุ่มอำนาจเดิมอีก มีนโยบายแบบเดิมอีก 

เพราะฉะนั้น ผมคิดว่านี่คือผลผลิตของรัฐธรรมนูญ เห็นได้ชัดว่ารัฐธรรมนูญตั้งใจจะถูกทำ คือ ตั้งใจจะทำให้กลไกในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่ basic ที่สุดที่เคยใช้ได้มาโดยตลอดและใช้ได้กับสังคมทุกสังคมในเสรีประชาธิปไตย ใช้ไม่ได้ และเราไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะแก้ปัญหาพวกนี้ได้ ผมเลยเข้าใจว่าทำไมคนถึงพยายามเริ่มต้นแก้ไขปัญหาด้วยการแก้รัฐธรรมนูญก่อนเลย ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่านี่คือวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาการเมือง หรือแก้วิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ในสังคมไทย ต้องเริ่มต้นจากการแก้รัฐธรรมนูญก่อน 

หากมองย้อนกลับไปหาท่านอาจารย์ปรีดี ผมคิดว่าท่านเริ่มต้นเห็นสังคมเสรีประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นเสาหลักในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และสร้างความมั่นใจว่าระบบกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ดำเนินไปได้ภายใต้หลักนิติรัฐและนิติธรรม 

เวลาผ่านไปเราก็ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ผมเชื่อนะครับว่านี่น่าจะเป็นบททดสอบครั้งสุดท้าย ผมเชื่ออย่างนั้น ก่อนที่เราจะก้าวไปสู่สังคมที่ประชาชนตระหนักแล้วว่าเราไม่ควรอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ และไม่ควรจะยอมรับระบบกฎหมายหรือกลไกกฎหมายอย่างที่เป็นอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2560 อีกแล้ว 

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยการล้มล้างการปกครอง ความเห็นต่อคำวินิจฉัยรัฐธรรมนูญ อาจารย์คิดว่าความเป็นไปของศาลรัฐธรรมนูญต่อการวินิจฉัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ศาลเริ่มมีบทบาทที่มาวิเคราะห์ พูดถึงปัญหาทางการเมืองมากขึ้น อาจารย์มีความเห็นอย่างไร

โดยส่วนตัวผมคิดว่า คดีที่ขึ้นสู่การพิจารณาโดยศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยสภาพ เพราะฉะนั้นแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ศาลจะไปวินิจฉัยในคดีที่มีข้อโต้แย้งทางการเมือง หรือ ทำให้คนมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย แต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าน่ากังวลมาก คือ ในช่วง 10 ปีหลัง และกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การที่ศาลไม่พยายามยืนยันหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ชัดเจน ในคดีที่เพิ่งตัดสินไปเมื่อไม่นานมานี้ ที่ตัดสินว่าผู้นำชุมนุมมีความพยายามที่จะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ผมคิดว่าหลักการที่ศาลสื่อสารออกมาในวันที่อ่านคำพิพากษาก็ดี หรือว่าในคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่เราเห็นเมื่อไม่กี่วันนี้ก็ดี ทำให้เกิดข้อกังขา ข้อสงสัยว่า หลักการที่เป็นพื้นฐานที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักที่ว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย หรือว่าหลักการในรัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับที่จัดวางความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขของรัฐกับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีความคลุมเครือ ทั้งที่จริงแล้ว หลักการนี้มันชัดเจนมาก และศาลก็สามารถยืนยันได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่กลับกลายทำให้คนเกิดความสงสัยว่า ตกลงหลักการดังกล่าว ยังเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบการปกครองที่ใช้อยู่ในบ้านเราหรือไม่ และผมคิดว่าบางเรื่องก็ยังน่ากังวลอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราพูดถึง due process เรื่องของกระบวนการพิจารณาที่ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองอย่างเต็มที่ 

ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นศาลที่คนมีคาดหวังมากที่สุด ที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพ หรือ สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน กลับสร้างข้อกังขาให้กับนักกฎหมายและประชาชนว่า ทำไมศาลถึงไม่เปิดโอกาสให้คนที่ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมาก ผมคิดว่าต้องใช้เวลามากกว่านี้ ให้โอกาสคนที่ถูกกล่าวหาหรือคนเกี่ยวข้องมากกว่านี้ เพราะว่าศาลตัดสินออกมาแล้ว และมีผลกระทบต่อหลักการพื้นฐานของระบอบการปกครอง

เพราะฉะนั้น ในภาพรวมผมมองว่า ช่วงเวลา 10 ปีนี้ ความน่าเชื่อถือ หรือ การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แต่กลับลดน้อยลงเรื่อยๆ และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้ตั้งข้อสังเกตก็คือ ในหลายๆ คำวินิจฉัยเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากที่จำนวนตุลาการที่ลงมติเทไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด  อย่างเช่นที่เรามักจะได้ยินคำว่า “เสียงที่เป็นเอกฉันท์” บ่อยๆ ในคำวินิจฉัย หรือว่าเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด 8 ต่อ 1 ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ไม่ปกติมากนักในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในแต่ละประเทศ เราจะไม่ค่อยเห็นปรากฏการณ์แบบนี้เท่าไหร่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรตั้งเป็นข้อสังเกต

ประเด็นความเห็นของอาจารย์ มองสภาพของศาลรัฐธรรมนูญที่เข้ามาตัดสินประเด็นปัญหาต่างๆ แต่ไม่ได้ให้เหตุผลที่น่าพอใจเท่าไหร่ ตัวศาลเองจะมีปัญหาเองหรือส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของระบอบการปกครองมากน้อยเท่าไร

ผมว่านี่เป็นปัญหาใหญ่มากๆ ของศาลรัฐธรรมนูญในช่วงหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญออกกฎหมายมาคุ้มครองตัวเอง ในลักษณะที่ไม่ต้องการให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองเลย และถ้าเราดูแม้กระทั่งในใบแถลงข่าวของศาลรัฐธรรมนูญยังมีหมายเหตุอยู่ด้านล่าง บอกว่า ถ้าเกิดว่าไม่ได้แสดงความคิดเห็นติชมอย่างสุจริตก็อาจถูกดำเนินคดี ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในต่างประเทศนะ ผมคิดว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องตระหนักว่านี่เป็นคดีทางการเมืองเกือบทุกคดี เพราะฉะนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นเรื่องปกติที่จะต้องตามมา 

เกราะป้องกันที่สำคัญที่สุดของศาลรัฐธรรมนูญก็คือคำวินิจฉัยซึ่งจะต้องแสดงอย่างละเอียด เพื่อให้คนได้เรียนรู้ร่วมกัน และสามารถโต้แย้งด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่คำวินิจฉัยเต็มไปด้วย emotion เป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก และคนในสังคมก็ไม่ได้เรียนรู้เลยว่าศาลตีความ หรือมีความเห็นต่อหลักการอย่างไร และผมมองว่าการสร้างกฎหมายเพื่อมาปิดปากประชาชน ไม่ได้ทำให้ความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญมีมากขึ้นเลย กลับกันยังกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำลาย บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเอง และศาลรัฐธรรมนูญเลยตัดสินคดีโดยไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคม ศาลมีหน้าที่เขียนเหตุผลที่น่าเชื่อถือวางอยู่บนหลักการของกฎหมาย ศาลก็จะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีหน้าที่แบบนั้น เพราะยังไงก็มีกฎหมายที่เอาไว้คุ้มครองตนเองอยู่แล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก

เกี่ยวกับเรื่องประเด็นการให้เหตุผล อย่างเช่นคำวินิจฉัยล้มล้างเกี่ยวกับคดีพระมหากษัตริย์ ในประเด็นแบบนี้การให้เหตุผลของศาลมีความชัดเจนมากแค่ไหน ในทางวิชาการก็มีหลายคนมากที่ออกมาวิพากษ์เกี่ยวกับการให้เหตุผล

อย่างที่ได้คุยไปก่อนหน้าว่าจริงๆ มีปัญหาตั้งแต่การตีความหลักการ ซึ่งนั่นมีความชัดเจนอยู่แล้ว คือ ศาลทำให้หลักการรวมถึงรูปแบบการปกครองที่มีความชัดเจนอยู่แล้วมันเกิดข้อกังขา และสอง ในเรื่องของวิธีพิจารณาความ ก็มีปัญหาและถูกตั้งคำถามมาก 

ผมคิดว่าเราพูดถึงเรื่องการไต่สวน เรื่องของระบบการกล่าวหา แต่สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกล่าวหาหรือไต่สวนก็แล้วแต่ มันต้องเป็น due process มันต้องเป็นการที่ศาลต้องให้โอกาสคู่ความ ต้องให้โอกาสโดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ และต้องรับฟังอย่างรอบด้าน เพราะอย่างที่เรียนไปว่าคำวินิจฉัยของศาลนั้นมี impact มาก เป็นการยืนยันหลักการสูงสุด หรือการยืนยันหลักการพื้นฐานของประเทศ 

เพราะฉะนั้น ต้องมีความรอบคอบและรอบด้านมากกว่านี้ ผมยังรู้สึกว่าอ่านจากคำวินิจฉัยหรือว่าดูจากลักษณะของการดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาล ดูแล้ว ทำให้เราเชื่อมั่นในคำวินิจฉัยได้น้อยมาก และมีข้อสงสัยเกิดขึ้นเยอะแยะมากมายตามมา ซึ่งมันอาจทำให้คนเกิดคำสงสัยว่า เอ๊ะ หรือเป็นคำถามตัวใหญ่ๆ ว่าศาลมีธงมาแล้วหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปรับฟังพยานหลักฐานรอบด้าน นี่ก็เป็นคำถามซึ่งคนทั่วไปจะตั้งคำถามได้ 

ผมจึงมองว่าผลของคดี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นำไปสู่การดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหา แต่ว่ากลายเป็นการตราหน้าเขาว่าพวกนี้เป็นกบฏล้มล้างการปกครองอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ก็เหมือนกับเป็นการกล่าวหาว่าพวกนี้กระทำความผิดที่มีโทษประหารชีวิต 

ประเด็นของคำวินิจฉัยสืบเนื่องมาจากความพยายามให้มีการแก้ 112 ในฐานะที่อาจารย์เป็นนักกฎหมาย คิดว่า 112 มีปัญหาเรื่องความชัดเจนและการบังคับใช้อย่างไร

การเรียกร้องในการปฏิรูปกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญจนถึงพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายรับรองต่างๆ เป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนหรือว่าคนที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่เห็นปัญหาว่าการที่เราจะเสนอให้ยกเลิก แม้กระทั่งยกเลิกมาตรา 112 จะเป็นการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร 

เขาไม่ได้เสนอว่าให้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ เขาไม่ได้พูดอย่างนั้น แต่ว่าเขาเสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้ดีขึ้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นแล้วการเสนอปฏิรูปกฎหมายให้มีการหรือแก้กฎหมายเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร

แต่ในที่นี้ ถ้าพูดถึงหลักการมาตรา 112 ถ้าเราพูดถึงหลักการ เราไม่เอาเลขมาตราแล้วกัน เราพูดถึงหลักการในความเห็นผม ผมมองว่าการที่กฎหมายให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐเป็นหลักที่ผมเชื่อว่านักกฎหมายส่วนใหญ่ทราบกันดี ว่าเป็นหลักการสากลทั่วไป เพียงแต่ว่าเราต้องกลับมาดูเหมือนกันว่า เมื่อเรามีมาตรการกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองพระมหากษัตริย์ หรือว่าประมุขของรัฐมากกว่าคนทั่วไป เป้าหมายของมันก็คือว่า เพื่อให้สถาบันไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หรือว่าอยู่ในสถานะที่มีข้อโต้แย้ง ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์มากจนเรียกว่าทำให้สถานะของการเป็นประมุขของรัฐมันมีปัญหา 

ทีนี้เราต้องกลับมาถามว่า สถานการณ์สังคมในเวลานี้ การที่จะมีมาตรการกฎหมายที่จะทำให้บรรลุผลดังกล่าวได้จริง ควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ 

ถามว่าส่วนตัวเห็นด้วยหรือไม่ว่าควรจะมีกฎหมายให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐมากกว่าคนปกติ เห็นด้วย แต่ผมไม่เชื่ออีกแล้วว่า โทษที่เขียนไว้รุนแรงแบบนั้น และก็กระบวนการที่ศาลใช้อยู่ตลอดมาจนถึงตอนนี้ ซึ่งมันมีหลายกรณี หลายแง่มุม มันน่ากังวลมากในกระบวนพิจารณาทั้งหลาย 

ผมไม่เชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหลักการกฎหมาย และกระบวนพิจารณาจะช่วยทำให้เราบรรลุเป้าหมายในการคุ้มครองประมุขของรัฐได้จริง ผมเชื่อว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง ทีนี้วิธีการทบทวนผมคิดว่าจะต้องมาคุยกัน คือ เรื่องนี้ไม่สามารถเกิดจากการที่รัฐบาลเป็นคนคิดเองว่าควรจะปกป้องแบบนี้ รัฐบาลต้องรับฟังคนในประเทศว่าอารมณ์ความรู้สึกเขาเป็นอย่างไร และเขาอยากให้เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ผมเห็นด้วยกับการที่ต้องปฏิรูป และแก้ไขมาตรา 112 

หนึ่ง ผมคิดว่าโทษควรจะต้องน้อยลง และหลักการจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องมีการทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจัง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และองค์กรหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมมาพูดคุยกัน มันต้องมีเวที

สอง เราไม่ควรมีกระบวนพิจารณาที่เป็นอยู่อย่างนี้อีกแล้ว เพราะว่าเราปฏิบัติต่อคนที่ถูกกล่าวหาเสมือนหนึ่งเป็นนักโทษประหารชีวิต โทษคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงมาก จริงอยู่ว่ามีแนวโน้มที่ดี อย่างหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็คือว่าสมัยก่อนถ้าย้อนไปคดี 112 ศาลแทบจะไม่ให้ประกันตัวเลย ผมยังไม่เคยได้ยินเลยว่าคดีไหนที่มีคนถูกกล่าวหาและศาลให้ประกันตัว แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปพอสมควร ก็คือคนที่ถูกกล่าวหาครั้งแรกก็อาจยังมีโอกาสได้ประกันตัวออกไปต่อสู้คดีนอกศาล อาจมีปัญหาที่ถูกกล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำอีกอะไรต่างๆ แต่ว่าที่เป็นอยู่ คนที่ถูกกล่าวหาซ้ำๆ ก็ไม่ควรจะต้องไปอยู่ในคุก ในคดีที่เรามองว่าเกี่ยวกับการใช้สิทธิเสรีภาพในทางความคิดในทางคำพูด มันไม่ควรจะถูก treat ไม่ควรถูกปฏิบัติแบบเดียวกันกับคนที่ถูกกล่าวหาฆ่าคนตายหรือคดีอุกฉกรรจ์ 

ผมคิดว่าโดยหลักการของวิธีพิจารณามันก็ผิดแล้ว และโดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่จะช่วยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่กฎหมายตั้งใจ ในทางตรงกันข้าม กลับบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ความน่าเชื่อถือ จริงๆ อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ก็ได้ แต่เป็นท่าทีของรัฐบาลเอง เป็นท่าทีของศาลเอง  เป็นต้น 

ผมคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้ช่วย และแถมเป็นการทำลายเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นคิดว่าถึงเวลาต้องมาปรับกันครั้งใหญ่

ประเด็นที่คนพูดคุยเกี่ยวกับผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนกับเป็นการห้ามพูดถึงการปฏิรูปสถาบันฯ แก้ไขมาตรา 112 หลายคนกังวลว่าอาจมีโทษอาญาเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไร

นี่สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ เริ่มต้นตั้งแต่คนที่รู้สึกว่าตัวเองจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากๆ และวิธีการในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คือ ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างรุนแรง ต้องปิดปากอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องห้ามวิพากษ์วิจารณ์

ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นมันต้องเริ่มต้นจากการที่เรายอมรับว่าคนในสังคมคิดไม่เหมือนกัน คนที่ไม่รักก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการจะล้มล้าง เขาอาจต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือสถาบันการเมืองในประเทศไทยดีขึ้น และเขาก็สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้น เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับก่อนว่า มีความแตกต่างหลากหลาย และสองก็คือว่า ควรจะต้องมีพื้นที่ให้พูดคุยกันได้ เพราะเราไม่ใช่เหมือนสมัยก่อนที่คนยังสามารถพูดได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัจจุบันคนตั้งคำถามเยอะมากขึ้น เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงนี้ก่อนว่า มีจำนวนคนที่ตั้งคำถามหรืออยากจะพูดเรื่องนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเราไปกดไว้ สุดท้ายก็ระเบิดออกมา เป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งจะช้าหรือจะเร็วแค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญต่อมาคือการเปิดเวทีให้พูดกัน แล้วต้องกล้าพูดด้วย ไม่ใช่ว่าเปิดเวทีแล้วสภาตั้งคณะกรรมาธิการ ตั้งแต่ในนามและไม่ได้ทำอะไรต่อ แต่ว่าเวทีนี้ในการพูดจา ผมคิดว่าใครจะเป็นเจ้าภาพก็ได้ แต่ว่าสภามีความชอบธรรมมากที่สุด ในการเป็นคนกลาง ในการเปิด คนที่เปิดต้องกล้าที่จะทำเรื่องพวกนี้ด้วย เพื่อทำให้บรรยากาศ และผู้เข้าร่วมรู้สึกว่าจะสามารถพูดแลกเปลี่ยนกันได้โดยสุจริต เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาร่วมกันหรือปฏิรูปร่วมกัน ต้องสร้างบรรยากาศแบบนี้ แต่ตอนนี้บรรยากาศคือเต็มไปด้วยความกลัว  กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วเดี๋ยวจะมีคนบันทึกไว้และเอาไปฟ้องร้องดำเนินคดี ถ้าเริ่มต้นอย่างนี้ มันก็จะไม่ไปไหน คือ การพยายามกดไว้และรอวันระเบิดแค่นั้นเอง

การเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่มีความพยายามเสนอเรื่องเข้าสู่สภา มุมมองของอาจารย์ว่าเรายังมีความหวังมากน้อยแค่ไหนในสังคม

เราต้องอยู่ด้วยความหวัง ต้องพูดอย่างนี้ ถึงความหวังมันริบหรี่มาก แต่ว่าเราต้องอยู่ด้วยความหวัง คือเราต้องใช้ชีวิตไปข้างหน้า เรามีลูกหลานของเราที่ต้องเติบโตขึ้นไป แล้วก็มีความหวังว่าสังคมเราจะดีขึ้น แต่ว่าอย่างที่ผมบอกไปแหละว่าปัญหาของความพยายามในการแก้รัฐธรรมนูญ มันเกิดจากกลไก เรียกว่าค่ายกลที่มันถูกวางไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้การแก้ปัญหาอะไรทั้งหลาย มันเกิดขึ้นไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งแรกในทางกฎหมายที่ต้องทำเลยก็คือต้องแก้รัฐธรรมนูญให้ได้และก็ผมคิดว่ามันต้องสร้างเวทีให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ เรื่องในรัฐธรรมนูญ โดยที่การเปลี่ยนแปลง มันควรจะมาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

การพยายามของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน คือ ความพยายามที่ถูกต้องและก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมเสรีประชาธิปไตยทั่วไป เพราะว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสังคม เป็นเรื่องของประชาชนทั้งหมด เพราะฉะนั้นแล้วจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองให้ได้ แนวทางที่เป็นอยู่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพียงแต่ว่าคนที่มีอำนาจในการคุมตัวล็อกทั้งหลาย ต้องถึงจุดที่ต้องตระหนัก แต่ดูเหมือนตอนนี้พวกเขายังไม่ตระหนักเท่าไหร่ว่า ปัญหามันร้ายแรงมาก และก็ถ้ารอไปถึงวันที่แตกหัก หลายอย่างก็อาจจะเสียหายเกินกว่าที่จะเยียวยา 

อาจารย์เล่าให้เราฟังว่า อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นเหมือนไฟนำทางให้อาจารย์ได้เข้าสู่วงการกฎหมาย ได้เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยากให้อาจารย์ขยายความ เล่าให้เราฟังถึงตรงนี้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

ผมเคยปรารภกับอาจารย์ผู้ใหญ่ในคณะท่านหนึ่ง ซึ่งมีความคุ้นเคยกับครอบครัวของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ กับท่านคณบดี รุธิ์ พนมยงค์ คณบดีของคณะพาณิชย์ฯ ผมเคยไปเล่าให้ท่านฟังว่า ผมอยากพบท่านผู้หญิงพูนศุข คือ ผมไม่ทันท่านอาจารย์ปรีดีอยู่แล้ว ตอนท่านเสีย ท่านก็อยู่ต่างประเทศ แล้วเราก็ยังเด็กมาก แต่ว่าท่านผู้หญิงพูนศุขท่านก็มีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่า และผมก็มีความคิดตลอดว่าอยากจะพบท่านสักครั้งหนึ่ง แต่เสียดายที่ยังไม่เคยได้มีโอกาสได้พบ 

โดยส่วนตัว ผมมีความผูกพันทางจิตใจกับท่านอาจารย์ปรีดีมาก เพราะตั้งแต่อายุสัก 8-9 ขวบ ผมก็เริ่มอ่านหนังสืออาจารย์ปรีดีแล้ว คุณลุงผมอยู่ต่างประเทศ เวลาท่านกลับมาเมืองไทยปีละครั้ง ก็จะมีหนังสือเกี่ยวกับอาจารย์ปรีดีที่เขียนโดยคุณสุพจน์ ด่านตระกูลบ้าง เขียนโดยอาจารย์ส. ศิวลักษณ์ บ้าง เพราะฉะนั้นผมก็ได้เรียนรู้ในเรื่องของท่านจากหนังสือเหล่านั้นตั้งแต่เด็กๆ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมสนใจเรื่องของกฎหมาย เรื่องการเมือง จริงๆ เรื่องการเมืองมากกว่ากฎหมายด้วยซ้ำไป

เรื่องราวของอาจารย์ปรีดีทำให้ตอนเด็กๆ ผมรู้จักมหาวิทยาธรรมศาสตร์ แล้วก็ตั้งเป้าหมายว่าต้องมาเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ได้ ผมสนใจติดตามชีวประวัติของท่านมาก ตอนเป็นนักศึกษาก็ยังปรึกษากับอาจารย์บางท่านตลอด และยังถามถึงมูลนิธิปรีดี พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีกิจกรรมอะไรบ้าง ซึ่งผมก็สนใจตลอดเพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้มีโอกาสที่ได้เข้าไปร่วมกันอย่างเป็นทางการ

แต่วันนี้ได้มีโอกาสมาพูดแล้วก็แชร์ความคิดเห็น ในนามของสถาบันปรีดีฯ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากจะทำ อยากจะ contribute อยากจะมีส่วนร่วมกับงานของสถาบันปรีดี พนมยงค์ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าสถาบันก็เป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สังคมมีความมืดมิด และคนรู้สึกกลัว รู้สึกสิ้นหวังในเรื่องการเมือง 

ในเรื่องอนาคต ผมคิดว่ามันต้องมีคนที่สร้างเวที สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และก็ร่วมกันเรียกว่าแก้ไขปัญหา ผมคิดว่ามันคือความพยายามอย่างหนึ่ง ก็อยากจะเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมกันสนับสนุน

ผมคิดว่าการสนับสนุนที่ดีที่สุดก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สถาบันปรีดี พนมยงค์จัด เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่อยากจะรับฟังความคิดเห็นของทุกคนอยู่แล้ว แล้วก็เปิดเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนกันหรือว่าการสนับสนุนในรูปแบบอื่นๆ เท่าที่ทำได้ นี่ก็ถือว่าเป็นการร่วมกันสืบสานเจตนารมณ์ประชาธิปไตยของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์และก็อุดมการณ์ของรัฐธรรมนูญที่ท่านให้ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ครับ 

เมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกำลังพาสังคมไปสู่ทางตัน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 บนเว็บไซต์ progressivemovement.in.th และ Facebook Common School

ตลอดช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกลายมาเป็นสิ่งหนึ่งที่ซ้ำเติมปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย เพราะหลายๆ ครั้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมือง และหลายครั้งเหตุผลที่ศาลให้ก็กลายมาเป็นสิ่งที่ค้านสายตาผู้คนในสังคม ซึ่งความรุนแรงที่เกิดจากคำวินิจฉัยของศาลนั้นเกิดขึ้นจากการที่ศาลเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนโยบายสาธารณะหรือปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งโดยสภาพไม่ใช่หน้าที่ของศาลในฐานะองค์กรตุลาการจะต้องทำ

ผลที่เกิดขึ้นจากการที่ศาลเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองนั้นทำให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกตั้งคำถามและกระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่วินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งเป็นตัวอย่างของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่แปลกประหลาดจากการเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง โดยในบทความนี้ผู้เขียนจะเริ่มจากการทำความเข้าใจว่าศาลรัฐธรรมนูญคืออะไร และมีที่มาอย่างไร ศาลกลายมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองเมื่อใด และกรณีศึกษาคำวินิจฉัยในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งเป็นตัวอย่างของคดีที่แปลกประหลาด

กำเนิดศาลรัฐธรรมนูญ

ก่อนจะพูดถึงปรากฏการณ์ของศาลรัฐธรรมนูญในการเมืองไทยนั้นจำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ศาลรัฐธรรมนูญคืออะไร และมีความเป็นมาอย่างไร

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรของรัฐอย่างหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เพื่อไม่ให้รัฐสภาหรือรัฐบาลตรากฎหมายที่จะขัดต่อหลักการหรือคุณค่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[1]

ศาลรัฐธรรมนูญถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ทางกฎหมายที่เพิ่งเกิดขึ้นมาในช่วงต้นปีศตวรรษที่ 19 (ค.ศ 1920) ในประเทศออสเตรเลียภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐออสเตรียโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทำหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย[2] ซึ่งเป็นการกำหนดกลไกขึ้นมาเพื่อพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญเพื่อคงคุณค่าความเป็นสูงสุดของรัฐธรรมนูญให้เป็นจริงและมั่นคง[3] โดยไม่ให้มีการตรากฎหมายใดขึ้นมาทำลายคุณค่าที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้

บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นบทบาทพื้นฐานของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปบางประเทศได้เพิ่มบทบาทให้กับศาลรัฐธรรมนูญมากขึ้นโดยขยายบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบการกระทำที่อาจจะกระทบหรือทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอิทธิพลมาจากแนวคิดประชาธิปไตยแบบป้องกันตนเองได้ (militant democracy) ที่มองว่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่เปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางความคิดเห็นทางการเมืองนั้นอาจจะมีผู้ใช้จุดอ่อนดังกล่าวเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้ และยอมให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพบางประการที่จะทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[4]

กรณีของประเทศไทยนั้นศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นครั้งแรกภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 โดยกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ซึ่งไอเดียนี้มาพร้อมกับแนวคิดเรื่องการตรวจสอบการทุจริตและการควบคุมตรวจสอบสถาบันการเมืองจากการเลือกตั้งโดยองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นต้น ได้ถูกนำมาบัญญัติไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

ในช่วงของการก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2540 นั้นความคาดหวังต่อศาลรัฐธรรมนูญคือการให้ศาลดำรงบทบาทในฐานะองค์กรของผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถในทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในสาขากฎหมายมหาชน[5] เพื่อให้ศาลเป็นองค์มืออาชีพในการพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งในช่วงแรกของการก่อตั้งนั้นความคาดหวังดังกล่าวดูเหมือนจะทอแสงประกายอย่างมีความหวัง

ศาลรัฐธรรมนูญกับการเป็นคู่ขัดแย้งในการเมืองไทย

บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญในฐานะคู่ขัดแย้งในการเมืองไทยนั้นเริ่มเกิดขึ้นเป็นรูปร่างเมื่อรัฐธรรมนูญ 2540 ถูกฉีกโดยคณะรัฐประหารในปี 2549 และมีการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นแทน และในภายหลังรัฐธรรมนูญ 2550 จะถูกฉีกและแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว บทบัญญัติที่ให้มีศาลรัฐธรรมนูญอยู่เสมอ (แม้ในสภาวะที่ไม่มีรัฐธรรมนูญศาลรัฐธรรมนูญก็ยังคงอยู่)  

ทว่า นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมาศาลรัฐธรรมนูญกลับมีวัตถุประสงค์กลายมาเป็นเครื่องมือใหม่ในการรักษาไว้ซึ่งอำนาจของระบอบเผด็จการอำนาจนิยม และขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยเนื่องจากมาจาก สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง (ทั้งบางส่วนและทั้งหมด) เพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายกรณีที่นำไปสู่การโต้แย้งได้นั้นกลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองของประเทศไทย เพราะกลายเป็นการที่ศาลขยายบรรทัดฐานทางกฎหมายมาควบคุมมิให้เอื้อต่อพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และวางกลไกอุปสรรคเพื่อทำลายหรือขัดขวางการเติบโตของประชาธิปไตย ซึ่งทำให้กระบวนการทางการเมืองติดขัดและไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในหลายกรณี

ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 และ 2560 ศาลรัฐธรรมนูญได้กลายมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาลถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำลายคู่ตรงข้ามทางการเมือง เช่น คำวินิจฉัยที่ 12-13/2551 ที่ศาลวินิจฉัยว่า การเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ของนายสมัคร สุนทรเวช เป็นการเป็นลูกจ้างและทำให้ขาดคุณสมบัติในการเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือคำวินิจฉัย 5/2563 กรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ที่ศาลวินิจฉัยว่า เงินกู้ไม่ใช่รายได้ แต่ก็เป็นรายรับและเงินทางการเมือง ซึ่งจะได้มาและใช้จ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง กระทำได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นต้น หรือถูกนำมาใช้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการทางประชาธิปไตยต่างๆ โดยการอ้างว่าเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข[6] เช่น คำวินิจฉัยที่ 15-18/2550 ที่ศาลวินิจฉัยว่า รัฐสภาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 2550 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเลย[7]หรือคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่วินิจฉัยว่า การปราศรัยของแกนนำเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง เป็นต้น

การศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองนั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายกรณีที่นำไปสู่การโต้แย้งได้นั้นกลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองของประเทศไทย เพราะกลายเป็นการที่ศาลขยายบรรทัดฐานทางกฎหมายมาควบคุมมิให้เอื้อต่อการพัฒนาการประชาธิปไตยของประเทศ และวางกลไกอุปสรรคเพื่อทำลายหรือขัดขวางการเติบโตของประชาธิปไตย[8] ซึ่งทำให้กระบวนการทางการเมืองติดขัดและไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในหลายกรณี ซึ่งกรณีศึกษาหนึ่งที่จะยกขึ้นก็คือ กรณีคำวินิจฉัยวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564

กรณีศึกษาคำวินิจฉัย (ประหลาด) วันที่ 10 พฤศจิกายน 2564

คำวินิจฉัยวันที่ 10 พฤศจิกายน 2564 นั้นเกิดมาจากการที่นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของกลุ่มแกนนำแนวร่วม “ม็อบราษฎร” ประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา (ทนายอานนท์) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ และ รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล

กรณีปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมค 2563 ในการชุมนุมเพื่อเสนอข้อเรียกร้องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ และศาลได้วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1-3 เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1-3 รวมถึงกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง[9] 

แม้ว่าคำวินิจฉัยฉบับนี้ทำให้เกิดข้อถกเถียงขึ้นทั้งในทางวิชาการและในสายตาของประชาชนถึงประเด็นต่างๆ ของคำวินิจฉัยฉบับนี้ เช่น การวินิจฉัยว่าคำปราศรัยเพื่อให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นั้นเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขถูกต้องแล้วหรือไม่ หรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้ขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือไม่ หรือการที่ศาลยกข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เพื่อมาวินิจฉัย หรือแม้แต่กระทั่งการอาศัยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับอื่นที่ไม่ใช่บทบัญญัติฉบับปัจจุบันมาเป็นมาตรในการตรวจสอบ เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นปัญหาที่สุดของคำวินิจฉัยนี้ก็คือ ผลของคำวินิจฉัยจะเป็นเช่นไร

หากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2560 แล้วจะเห็นได้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ (ทุกองค์กรของรัฐ)[10]  ผลของคำวินิจฉัยฉบับนี้ก็น่าจะต้องผูกพันหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน  ทว่า ในความเป็นจริงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาเรื่องสภาพบังคับของคำวินิจฉัยเป็นอย่างยิ่ง โดยมีประเด็นดังนี้

ประการแรก แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร ทว่า ในความเป็นจริงผลดังกล่าวนั้นไม่ได้มีผลโดยอัตโนมัติทันที เพียงแต่ว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของทนายอานนท์ ไมค์ระยอง และรุ้ง นั้นไม่สามารถกล่าวอ้างว่าการกระทำของตนเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญรับรองไว้เพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐตามมาตรการต่างๆ แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงผูกพันอยู่กับหลักการไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ และหลักความชอบด้วยกฎหมาย[11]  

ดังนั้น โดยสภาพของคำวินิจฉัยจึงไม่เป็นเหตุที่จะนำมาลงโทษทางอาญาได้ แต่จะต้องพิจารณาบทบัญญัติของกฎหมายว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดความผิดและโทษ หรือไม่[12]

ประการที่สอง แม้ว่ากระทำของทนายอานนท์ ไมค์ระยอง และรุ้ง จะมีลักษณะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นที่กำหนดความผิดและโทษที่สอดคล้องกับการกระทำดังกล่าว เช่น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นต้น  ทว่า ศาลเจ้าของคดีที่วินิจฉัยการกระทำความผิดอาญาก็ไม่สามารถที่จะยุติการพิจารณาและถือเอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาตัดสินลงโทษได้ เนื่องมาจากลักษณะของคดีอาญานั้นศาลจะต้องพิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิด[13] ซึ่งในกรณีนี้พนักงานอัยการโจทก์ก็จะต้องพิสูจน์จนว่า จำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ พนักงานอัยการและศาลไม่สามารถที่จะอาศัยประโยชน์จากคำวินิจฉัยมาเพื่อลงโทษจำเลย และจำเลยก็มีสิทธิที่จะต่อสู้คดีเต็มที่ตามรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิดังกล่าวไว้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนของคำบังคับที่ให้รวมถึงกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ก็มีประเด็นว่าเป็นการออกคำบังคับที่ไม่สามารถจะกระทำได้จริง เนื่องจากโดยสภาพของกลุ่มคณะราษฎรนั้นไม่ใช่องค์กรนิติบุคคลแบบสมาคมหรือพรรคการเมืองที่เมื่อศาลมีคำสั่งห้ามมิให้กระทำแล้วจะมีผลให้การดำเนินการของสมาคมจะต้องยุติลง

ประการที่สาม คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนของคำบังคับที่ให้รวมถึงกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยก็มีประเด็นว่าเป็นการออกคำบังคับที่ไม่สามารถจะกระทำได้จริง เนื่องจากโดยสภาพของกลุ่มคณะราษฎรนั้นไม่ใช่องค์กรนิติบุคคลแบบสมาคมหรือพรรคการเมืองที่เมื่อศาลมีคำสั่งห้ามมิให้กระทำแล้วจะมีผลให้การดำเนินการของสมาคมจะต้องยุติลง เปรียบเทียบกันกับกรณีของประเทศสหพันธ์เยอรมนีที่มีบทบัญญัติในลักษณะเทียบเคียงกันได้นั้น[14] 

แต่กรณีของกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎรนั้นเป็นกลุ่มปัจเจกบุคคลหลายคนที่มาร่วมชุมนุมกัน ไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคล ฉะนั้น ในการบังคับจึงเกิดปัญหาว่าการห้ามดังกล่าวจะห้ามในลักษณะใด ซึ่งเมื่อพิจารณาก็ต้องกลับไปที่หลักการว่า ในการความชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากไม่มีกฎหมายห้ามการกระทำดังกล่าวคำวินิจฉัยดังกล่าวก็ไม่น่าจะใช้เป็นเหตุในการห้ามกระทำการได้ อีกทั้งการชุมนุมดังกล่าวก็เป็นไปตามเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ให้[15] และหากปฏิบัติตามเงื่อนไขการชุมนุมตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะโดยถูกต้องเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามาถอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเหตุในการห้ามได้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุในการลงโทษทางอาญาไม่ได้

กล่าวโดยสรุป คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุในการลงโทษทางอาญากับประชาชนที่เรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปสถานบันกษัตริย์ได้ ในการจะพิจารณาลงโทษบุคคลนั้นจะต้องมีกฎหมายที่กำหนดฐานความผิดนั้นเอาไว้อย่างชัดเจน และในการลงโทษศาลจะต้องพิจารณาการกระทำนั้นสอดคล้องกับฐานความผิดหรือไม่ ซึ่งหากไม่สอดคล้องกับฐานความผิดก็ไม่สามารถลงโทษได้

ในขณะเดียวกันการกำหนดสภาพบังคับให้ครอบคลุมไปถึงเครือข่ายนั้นก็มีปัญหาว่าจะบังคับเช่นไร เพราะโดยสภาพเครือข่ายผู้ชุมนุมคณะราษฎรไม่ได้มีสถานะเป็นนิติบุคคล ฉะนั้น หากการชุมนุมเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะการชุมนุมนั้นก็สามารถที่จะทำได้เช่นเดิมตามที่รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิในการชุมนุมเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ข้อที่ศาลรัฐธรรมนูญควรตระหนักที่สุดก็คือ การวินิจฉัยโดยพยายามสร้างเงื่อนไขหรือกลไกข้อจำกัดให้เกิดทางตันในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยนั้นอาจจะเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยเสียเอง ซึ่งท้ายที่สุดจะนำมาสู่วิกฤตการณ์ต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะองค์กรวินิจฉัยชี้ขาดจึงควรตระหนักบทบาทของตนเองเสียใหม่


เชิงอรรถ

[1] ธีระ สุธีวรางกูร, ระบบศาลและการพิจารณาคดีของศาลในทางกฎหมายมหาชน (โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2563) 37; การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายนั้น นอกเหนือจากการใช้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วอาจจะมีองค์กรของรัฐรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การใช้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญแบบฝรั่งเศสหรือประเทศไทยก่อนหน้าการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือการใช้ศาลสูงสุด (supreme court) แบบสหรัฐอเมริกา.

[2] เพิ่งอ้าง 37.

[3] อานนท์ มาเม้า, ศาลรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ (โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2558) 27.

[4] ดู ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, ‘หลักประชาธิปไตยเชิงรุก: ตุลาการภิวัฒน์กับการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย’ (2557) 3 วารสารนิติศาสตร์ 634, 634 – 635 และ 643 – 644.

[5] วจนา วรรลยางกูร, ‘ศาลรัฐธรรมนูญแบบไหนที่สังคมไทยต้องการ?’ (the 101.world, 8 เมษายน 2564) <https://www.the101.world/constitution-dialogue-constitutional-court/?fbclid=IwAR0QLLt6w2pla69nDOZ1GPmu-ZqdVJKRns5Txb1G0jLSDYDeGUnktzvK4Zg> สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2564.

[6] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 49.

[7] กรณีเป็นคำวินิจฉัยที่แปลกประหลาดที่สุด และอาจจะขัดกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมากที่สุดกรณีหนึ่งก็คือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามมิให้รัฐสภาที่อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ (ซึ่งไม่ใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพ) ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ.

[8] ปูนเทพ ศิรินุพงศ์, ตลก รัฐธรรมนูญ (ไชน์ พับลิชชิ่ง เฮาส์ 2559) 194 – 195.

[9] ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล, ‘เปิดคำวินิจฉัยฉบับเต็ม! ศาลรธน.สั่ง“ม็อบราษฎร”เลิกล้มล้างการปกครองฯ’(สำนักข่าวฐานเศรษฐกิจ, 10 พฤศจิกายน 2564) <https://www.thansettakij.com/politics/502821fb&fbclid=IwAR3RrH2OOvMU55_0QYTg8sXPUEJ90FW4gSqYXdGQgUdmMx5DzAK4hjuTxOE> สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2564.

[10] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 211

[11] ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ (เชิงอรรถที่ 7) 286.

[12] เพิ่งอ้าง 277.

[13] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227.

[14] ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ (เชิงอรรถที่ 7) 277.

[15] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 44.

ถอดบทเรียนรัฐสภาผ่านงาน PRIDI x CONLAB

รัฐสภา เป็นองค์กรสำคัญในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นองค์กรที่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบนี้นับตั้งแต่การอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปี 2475 ประเทศไทยจะให้มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของรัฐสภาเปลี่ยนแปลงไปนานอีกหลากหลายรูปแบบในบทความนี้เราจะมาถอดบทเรียนจากงานเวิร์กชอป และย้อนดูพัฒนาการของระบบรัฐสภาในประเทศไทย

รัฐสภาและประเภทของรัฐสภา

รัฐสภาเป็นสถาบันการเมืองสำคัญภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเมื่อรัฐมีพลเมืองมากย่อมไม่อาจใช้หลักประชาธิปไตยทางตรงได้ การจะให้ราษฎรทุกๆ คนมาลงคะแนนเสียงในการบัญญัติกฎหมายหรือรัฐการอื่นๆ ย่อมจะทำไม่ได้[1] ด้วยเหตุนี้การใช้อำนาจอธิปไตยของราษฎรจึงต้องกระทำผ่านรัฐสภา

เมื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รูปแบบการปกครองที่ประเทศไทยเริ่มใช้ในการปกครองภายใต้ระบอบใหม่นี้ คือ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยรัฐสภาโดยมีต้นแบบมาจากประเทศสหราชอาณาจักร เพียงแต่จะมีความแตกต่างก็ในเรื่ององค์ประกอบของสภา ซึ่งภายใต้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 จึงกำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น[2] หากเปรียบเทียบกับระบบการปกครองที่มีรัฐสภาแบบต่างประเทศนั้น อาจจะจำแนกประเทศเหล่านี้ออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเทศที่มีสภาเดี่ยว และ ประเทศที่มีสภาคู่

 สภาเดี่ยว หมายถึง ประเทศที่มีสภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาเพียงสภาเดียว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรมักจะมาจากการเลือกตั้ง แนวทางนี้ในปัจจุบันนั้นได้รับความนิยมจากประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก

สภาคู่ หมายถึง ประเทศที่รัฐสภาประกอบด้วยสภามากกว่าหนึ่งสภา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมันจะแบบความสัมพันธ์ของสภาทั้งสองออกไปในลักษณะที่เป็นสภาสูงกับสภาล่าง ตัวอย่างเช่น ประเทศไทยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้แบ่งออกเป็น 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา หรือกรณีของประเทศสหราชอาณาจักรที่แบ่งสภาออกเป็น 2 สภา คือ สภาสามัญชน (House of Common) กับสภาขุนนาง (House of Lord)

ความสำคัญของการมีสองสภา

บทบาทหน้าที่ของสภาล่าง หรือ สภาผู้แทนราษฎรนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วทุกประเทศนั้นย่อมมีสภาผู้แทนรราษฎรด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนสภาสูง หรือ วุฒิสภานั้น ความมุ่งหมายแต่เดิมนั้นจะให้เป็นสภาซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีอาชีพชั้นสูงหรือที่อยู่ในสมาคมชั้นสูง  ทั้งนี้เพื่อจะให้ถ่วงดุลอำนาจกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร แต่การถ่วงน้ำหนักกับสภาล่างนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อสภาสูงหรือวุฒิสภา มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างจากสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร[3] ซึ่งเป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างสภาสามัญกับสภาขุนนางของประเทศสหราชอาณาจักรเพื่อให้สภาขุนนางทำหน้าที่เหมือนสภาพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำแก่สภาล่างหรือดังเช่นนายปรีดี พนมยงค์ เรียกว่า “ห้ามล้อ”

ความสำคัญของการแบ่งออกเป็นสองสภานั้น มีประเด็นในเรื่องเกี่ยวกับอำนาจของสภาทั้งสองที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยมักจะให้อำนาจกับสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่างมีอำนาจมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาที่หัวหน้าฝ่ายบริหารมักจะมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาล่าง

ในขณะที่ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่มักจะจำกัดอำนาจของวุฒิสภาหรือสภาสูง เนื่องจากสมาชิกโดยส่วนใหญ่ของวุฒิสภาหรือสภาสูงนั้น ในบางกรณีอาจไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการแต่งตั้ง เช่น กรณีของประเทศสหราชอาณาจักรสมาชิกสภาสูง หรือ สภาขุนนางนั้นมาจากการแต่งตั้งจากขุนนาง 2 ประเภท ได้แก่ ขุนนางสืบตระกูล และ ขุนนางแต่งตั้ง เป็นต้น

การลดทอนอำนาจของสภาขุนนางในประเทศสหราชอาณาจักรนั้น เป็นไปอย่างมีขั้นตอน โดยเริ่มต้นจากในปี ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) ได้มีการแก้ไขไม่ให้สภาขุนนางแก้ไขร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน แต่มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบยืนตามสภาสามัญเท่านั้น และต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) กำหนดให้สมาชิกสภาขุนนางสืบตระกูลไม่อาจสืบทอดสมาชิกภาพให้แก่ทายาทได้อีกต่อไป และในปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ได้มีการตรา Constitutional Reform Act แก้ไขอำนาจหน้าที่ที่แต่เดิมเป็นของสภาขุนนางทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุดของประเทศ (Final Court of Appeal) เปลี่ยนไปเป็นอำนาจของศาลสูงสุดแห่งสหราชอาณาจักร (Supreme Court of United Kingdom) ซึ่งเปิดทำการครั้งแรกในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) จึงเป็นการแยกอำนาจตุลาการออกมาอย่างเด็ดขาดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[4] ทำให้บทบาทหน้าที่ของสภาขุนนางในปัจจุบันมีอยู่อย่างจำกัดเพียงแค่กลั่นกรอง และสามารถชะลอการออกกฎหมายได้ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งโดยธรรมเนียมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศสหราชอาณาจักรนั้น สภาขุนนางไม่เคยใช้อำนาจดังกล่าวเลย และถึงแม้จะใช้อำนาจดังกล่าวหากสภาสามัญชนลงมติยืนยันผ่านกฎหมาย สภาขุนนางก็ไม่มีอำนาจขัดขวาง

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีวุฒิสภาคือสภาสูงอาจมีอำนาจ และบทบาทไม่ได้น้อยไปกว่าสภาผู้แทนราษฎร เช่น ในกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกา วุฒิสภาของประเทศสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้งและมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองเช่นเดียวกันกับสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเนื่องมาจาก วุฒิสภาของประเทศสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้ง และมีบทบาทเป็นตัวแทนของมลรัฐ

ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยจะมีอำนาจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้นมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากหรือน้อย ความชอบธรรมทางประชาธิปไตยจึงเป็นตัวกำหนดอำนาจของตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าความชอบธรรมทางประชาธิปไตยนั้นเชื่อมโยงอยู่กับความเกี่ยวข้องกับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริง

เมื่อเปรียบเทียบกับบทบาทของรัฐสภาไทยแล้ว สภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทยนั้นมาจากการเลือกตั้งเช่นเดียวกับประธานสภาผู้แทนราษฎรของต่างประเทศ สิ่งที่ทำให้แตกต่างกันมากที่สุดก็คือ วุฒิสภาของประเทศไทยตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน[5] กำหนดให้วุฒิสภาของประเทศไทย มาจากการแต่งตั้งทั้งสิ้นโดยสมาชิกของ คสช. ซึ่งเป็นผู้นำรัฐประหารในคราวที่ผ่านมา 

ไม่เพียงแต่การปราศจากความชอบธรรมทางประชาธิปไตยแล้วสมาชิกวุฒิสภาเหล่านี้กลับมีอำนาจมากกว่าที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดไว้ให้กับวุฒิสภา ทั้งอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี อำนาจในการติดตามการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ และอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้นจะสร้างสภาวะตลาดที่ทำให้อำนาจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนนั้น มีลักษณะที่อ่อนแอลง 

ในขณะเดียวกันการมีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. นั้น ช่วยส่งเสริมการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นได้จากการที่สมาชิกวุฒิสภาให้การสนับสนุนเลือกให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้เป็นนายกรัฐมนตรี และในหลายๆ อีกกรณีที่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชาได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาเสมือนหนึ่งเป็นพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล

ถอดบทเรียนเรื่องรัฐสภาไทย

เมื่อมองย้อนกลับไปดูบทเรียนจากงาน PRIDI x CONLAB กิจกรรมในงานดังกล่าวได้วางออกเป็นฐานต่างๆ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยในหัวข้อต่างๆ เช่น หมวดรัฐสภา  หมวดสิทธิเสรีภาพ หมวดสถาบันพระมหากษัตริย์ และหมวดการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น

ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะ “หมวดรัฐสภา” ซึ่งเป็นหมวดที่มีความสำคัญหมวดหนึ่ง ซึ่งในกิจกรรมฐานดังกล่าว ผู้เข้าร่วมจะได้ทำการรับฟังคำแนะนำจากผู้ดำเนินกิจกรรม ซึ่งจะบอกเล่าและนำเสนอเกี่ยวกับรูปแบบของรัฐสภาในแต่ละประเทศความจำเป็นและเหตุผลที่จะรักประเทศนั้นออกแบบรัฐสภาของตัวเอง ให้มีรูปแบบที่เหมาะสมตามบริบทของแต่ละประเทศ ทั้งในกลุ่มของประเทศที่ใช้ระบบแบบสภาคู่และประเทศที่ใช้ระบบแบบสภาเดี่ยวว่ามีเหตุและปัจจัยมาจากเหตุผลใด รวมทั้งรูปแบบสภาคู่และสภาเดี่ยวนั้นมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร

จุดสำคัญที่สุดที่กิจกรรมในสถานีได้แสดงให้เราเห็นก็คือความตระหนักต่ออำนาจของวุฒิสภาซึ่งเป็นสภาที่สองหรือในหลายกรณีเราเรียกว่าเป็นสภาสูง ซึ่งตรงข้ามกันกับสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร ในกิจกรรมจะแทนที่อำนาจของวุฒิสภาด้วยน้ำแดง โดยเติมน้ำแดงลงไปในแต่ละแก้วให้มีสัดส่วนที่แตกต่างกัน เริ่มต้นจากอำนาจซึ่งเป็นอำนาจทั่วไปยังอำนาจในการกลั่นกรองกฎหมายและค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละลำดับตามความเข้มแข็งของอำนาจที่ได้รับมา ซึ่งยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่น้ำในแก้วก็จะยิ่งกลิ่นปากแก้วมากเท่านั้น แสดงให้เห็นรูปธรรมของอำนาจของวุฒิสภาที่มีอยู่

ข้อที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับอำนาจของวุฒิสภาก็คือ ในหลายกรณีผู้ที่ร่วมเวิร์กชอปในครั้งนี้ ตัดสินใจที่จะมอบอำนาจให้แก่วุฒิสภาโดยไม่ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาและความชอบธรรมของวุฒิสภาในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ตรงกันข้ามหลายคนกลับมองว่ายิ่งวุฒิสภามีอำนาจมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลดีกับประชาชนมากเท่านั้น

เพราะวุฒิสภาจะได้ทำหน้าที่ดุลและคานอำนาจกันกับสภาผู้แทนราษฎร ความคิดเช่นนี้นั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นมาตลอดเวลาในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งมองว่าสภาผู้แทนราษฎรนั้นประกอบไปด้วยแต่นักการเมืองที่หิวและกระหายในอำนาจ จะทำการสิ่งใดโดยไม่สนใจความต้องการของประชาชน ฉะนั้นแล้วการที่มีวุฒิสภาที่มีอำนาจเข้มแข็งจะช่วยกันคานอำนาจของสภาผู้แทนราษฎรได้และรักษาซึ่งผลประโยชน์ของประชาชน

สิ่งสำคัญที่สุดของบททดสอบนี้ก็คือ การตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างที่มาและอำนาจของวุฒิสภาว่าควรจะมีเช่นไร ซึ่งในเรื่องนี้หากย้อนกลับไปพิจารณาความคิดของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศไทยซึ่งได้เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความมีอยู่ของวุฒิสภาเอาไว้ว่า “เหตุผลของการมีสภาสูงนั้นก็เพื่อทำหน้าที่เพียง ‘ยับยั้ง’ ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอ โดยถือว่า สมาชิกสภาสูงเป็นผู้มีอายุมากกว่าสมาชิกสภาล่าง จึงไตร่ตรองรอบคอบไม่หุนหันพลันแล่น เพื่อให้สภาสูงช่วยกลั่นกรองร่างกฎหมายอันเป็นการยับยั้งประดุจ ‘ห้ามล้อ’ ไม่ใช่เป็นการ ‘ถ่วง’” [6]

อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการมีวุฒิสภาก็ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศ ดังเช่นประเทศไทยก่อนหน้านี้นั้น นายปรีดี ได้เคยอธิบายว่า 

“… สภาผู้แทนราษฎรเป็นสภาล่าง กับ สภาบนอีกสภาหนึ่ง หรือจะควรมีสภาเดียว  เมื่อได้ตรึกตรองโดยรอบคอบแล้วเห็นว่า เราจะตั้งรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ไม่มีประเพณีที่จะบังคับเรา การมีสภาเดียวนั้นกิจการดำเนินได้รวดเร็ว การมี 2 สภานั้นอาจถ่วงกันชักช้าโตงเตง … ที่ข้าพเจ้าได้สังเกตและได้พบได้ยินมาบางประเทศที่มี 2 สภานั้น กิจการเดินช้านัก แต่ว่ามีบางประเทศที่ต้องมี 2 สภา เพราะเป็นประเพณีบังคับ แต่ในรัฐธรรมนูญใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นสมัยเร็วๆ นี้ ก็มักจะมีแต่สภาเดียว เมื่อตกลงใจดั่งนี้ จึงได้ดำเนินการในทางให้มีสภาเดียวอันเป็นวิธีที่ใช้อยู่ในพระราชบัญญัติธรรมนูญชั่วคราว…”[7] ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ในแต่ละประเทศเลือกที่จะไม่ได้ใช้ระบบสภาคู่

กิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ได้เรียนรู้ถึงวิธีการคิดและหลักการเบื้องหลังที่เกี่ยวกับการมีอยู่ของรัฐสภาและกลไกของรัฐสภาตลอดจนรวมไปถึงการออกแบบระบบของรัฐสภา เสมือนหนึ่งว่าได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง อันเป็นการซักซ้อมในวันที่เราจะมีรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์


เชิงอรรถ

[1] หยุด แสงอุทัย, วิชาการเมือง, เล่ม 2, (กรุงเทพฯ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง, 2482), น. 242.

[2] พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕, มาตรา 2 ประกอบมาตรา 8.

[3] หยุด แสงอุทัย, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 1, น. 250.

[4] ชำนาญ จันทร์เรือง, “เข้าใจรัฐสภาสหราชอาณาจักร อย่างง่ายๆ,” สืบค้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 จาก https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/634482.

[5] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560, มาตรา 269.

[6] วิเชียร เพ็งพิศ, “ความคิดทางกฎหมายของปรีดี พนมยงค์: “สภาเดียว” ที่มาจากการเลือกตั้ง,” เข้าถึงเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564, จาก https://pridi.or.th/th/content/2020/10/437.

[7] เพิ่งอ้าง.

อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ​ : ชีวิตการงานด้วยความซื่อสัตย์ในหน้าที่

ศาลรัฐธรรมนูญพึงธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมุ่งพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่  ทั้งนี้ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันซึ่งประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือ

นี่คือวิสัยทัศน์ที่ ศาสตราจารย์ ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เคยให้ไว้เมื่อดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนตัวตนของ ดร.อิสสระ ผู้มีความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์ได้เป็นอย่างดี

เพื่อรำลึกถึง ดร.อิสสระ ซึ่งเพิ่งจากโลกนี้ไป เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2564  ท่ามกลางความรักและระลึกถึงในความทรงจำจากคนที่เคยรู้จัก  บทความนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงชีวิตและผลงานของท่าน

กำเนิดและการศึกษา

ดร.อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2475 โดยเป็นบุตรของพระนิติทัณฑ์ประภาศ (สนอง สุจริต) กับนางชวนชื่น นิติทัณฑ์ประภาศ (สกุลเดิม พนมยงค์) ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมบิดามารดาของนายปรีดี พนมยงค์  ดังนั้น ดร.อิสสระ จึงเป็นหลานลุงของนายปรีดี

นอกจากพระนิติทัณฑ์ประภาศ ผู้บิดา ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของบุตรชายแล้ว  นายปรีดีนับเป็นอีกบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ ดร.อิสสระ เป็นอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากการเลือกศึกษาต่อในสาขานิติศาสตร์ จนสำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และเมื่อเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ดร.อิสสระได้เจริญรอยตามนายปรีดี  เข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์ในสาขากฎหมายมหาชนต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศส ในมหาวิทยาลัยกอง (Université de Caen) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกันกับที่นายปรีดีได้ศึกษาจบมาในชั้นปริญญาตรี 

หลังจากนั้น ดร.อิสสระสำเร็จการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางกฎหมายมหาชน (Diplome d’Etudes Superieures de Droit Public) และในระดับนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Docteur en Droit) จากมหาวิทยาลัยกอง ประเทศฝรั่งเศส

นักกฎหมายมหาชนผู้รอบรู้

นอกจากบทบาทในการเป็นข้าราชการแล้ว ดร.อิสสระยังมีบทบาทสำคัญในฐานะนักกฎหมายมหาชนแนวหน้าของประเทศไทย  ท่านเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งสาขากฎหมายมหาชนยังเป็นสาขาวิชากฎหมายใหม่ที่เพิ่งเติบโตขึ้นในประเทศไทยได้ไม่นาน พร้อม ๆ กับการก่อตั้งของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2477  ในเวลาต่อมา ท่านได้ดำรงตำแหน่งในฐานะนายกสมาคมกฎหมายมหาชนแห่งประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2530–2534

คุณูปการสำคัญของ ดร.อิสสระ ต่อวงการกฎหมายมหาชนของประเทศไทย คือ ท่านเป็นผู้บุกเบิกการเขียนตำรากฎหมายปกครองเปรียบเทียบของประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกฎหมายปกครองของฝรั่งเศสกับอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2521 ซึ่งเป็นเรื่องที่ทันสมัยมากในยุคนั้น เพราะนักกฎหมายไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าประเทศอังกฤษนั้นไม่ได้มีกฎหมายมหาชนแบบเดียวกับประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป

ความเป็นผู้รู้ทางกฎหมายมหาชนของ ดร.อิสสระ ไม่ใช่แต่เพียงจากการศึกษาตำราจำนวนมากเท่านั้น แต่มาจากประสบการณ์ที่ท่านสั่งสมมาจากการทำงานในตำแหน่งราชการอีกด้วย โดยจะเห็นได้จากในบทความหนึ่งที่ชื่อว่า “การใช้ถ้อยคำ ‘แปรญัตติ’ ที่ไม่ถูกต้อง” ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ มติชน รายวัน ซึ่งในบทความนี้ท่านได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างการแปรญัตติกับการชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎรหรือในกรรมาธิการว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องเล็กน้อย  ทว่า สิ่งเล็กน้อยนี้สะท้อนความละเอียดรอบคอบ และความใส่ใจต่อการใช้ถ้อยคำทางกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกฎหมายสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญอีกแล้ว แต่กลับนิยมเล่นแร่แปรถ้อยคำไปมาเพียงเพื่อบริการผู้มีอำนาจทางการเมือง

นอกจากการเป็นผู้ศึกษากฎหมายมหาชนแล้ว บางโอกาส ดร.อิสสระยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย เพื่อถ่ายทอดความรู้ทางกฎหมายมหาชนของท่าน จนได้รับเกียรติยศสูงสุดทางการศึกษา คือ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

นักกฎหมายการคลังผู้เชี่ยวชาญด้านงบประมาณ

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสกลับมาเป็นประเทศไทย ดร.อิสสระ ได้เข้ารับราชการและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมาโดยตลอด จนได้ดำรงตำแหน่งสำคัญเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานที่มีความสำคัญของประเทศและต้องอาศัยผู้มีความรู้ความสามารถสูง

ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการงบประมาณของท่านนั้น ปรากฏอยู่ในความเห็นตามบทความหนังสือพิมพ์หรือบทความวิชาการเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณที่ท่านได้ชี้แจงถึงความเข้าใจคลาดเคลื่อนอันเกิดมาจากความสลับซับซ้อนของเทคนิคทางงบประมาณ ซึ่งบ่อยครั้งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนำตัวเลขเงินคงคลังมาแถลงให้สื่อมวลชนทราบ หรือนำมากล่าวอ้างในโอกาสต่าง ๆ ในทำนองชี้ให้เห็นว่า การคลังของประเทศมีเสถียรภาพดี แต่มิได้อธิบายให้ประชาชนได้รู้ว่า “เงินคงคลัง” นั้นคืออะไร ทำให้คนทั่วไปจึงต้องเดาเอาเองว่าเงินคงคลัง คือ เงินที่รัฐบาลได้สะสมไว้เป็นเงินสำรองเพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ซึ่งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

ในบทความชื่อว่า “เงินคงคลัง” นั้น ดร.อิสสระได้อธิบายถึงความเป็นมาเป็นไปของคำว่า เงินคงคลังมีที่มาอย่างไร ทั้งในแง่ของการพิจารณาความหลายตามหลักภาษา และความหมายในทางการคลัง วางอยู่บนข้อถกเถียงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับความหมายของเงินคงคลังที่ใช้ในทางการคลังของประเทศไทย ซึ่งทำให้เกิดความชัดเจนว่า “เงินคงคลัง” เป็นเงินที่รัฐบาลได้รับไว้โดยมีข้อผูกพันที่จะต้องจ่าย ข้อผูกพันดังกล่าวมีผลให้เงินคงคลังผันแปรได้  ดังนั้น หากจะพิจารณาฐานะเงินคงคลังของประเทศนั้น จะพิจารณาตัวเลขเงินคงคลังอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องพิจารณาถึงข้อผูกพันในการจ่ายเงินของรัฐบาลด้วย

ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านงบประมาณที่หาจับตัวได้ยากนี้เอง ทำให้ท่านได้มีโอกาสเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ อยู่หลายครั้ง เพื่อคอยย้ำเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงงบประมาณของประเทศ ดังเช่นในบทความที่ชื่อว่า “วัวหายล้อมคอก – บทเรียนจากการอภิปรายงบประมาณ ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปรับลดงบประมาณรายจ่ายโดยกรรมาธิการวิสามัญเพื่อไปจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ ที่จะดำเนินการในบางจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อหวังสร้างความนิยมในกลุ่มฐานเสียงของตนเอง ซึ่ง ศ.ดร.อิสสระ ได้วิพากษ์วิจารณ์การกระทำดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ ศ.ดร.อิสสระ ได้เสนอแนะให้มีการสร้างกลไกทั้งในวิธีการทางนิติบัญญัติ และในวิธีการในทางบริหาร ซึ่งถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาก เพราะปัญหาดังกล่าวในปัจจุบันนี้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้กำหนดห้ามการกระทำดังกล่าวเอาไว้ชัดเจน

ศาลรัฐธรรมนูญกับการสร้างความเชื่อมั่น

ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันการเมืองและสถาบันทางกฎหมายใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นมาในประเทศไทย อันเป็นผลมาจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ดร.อิสสระ ก็ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดแรกในปี พ.ศ. 2541 และได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2545 บทบาทของท่านในช่วงแรกจึงมีความสำคัญในฐานะผู้วางรากฐานความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ดร.อิสสระ เป็นผู้หนึ่งที่ตระหนักดีถึงบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยปรากฏในคำวินิจฉัยส่วนตนในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542 ซึ่งระบุในเชิงว่า “เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่าบุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายเท่าเทียมกัน จำเลยและประชาชนทั่วไปต่างก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย โจทก์หรือสถาบันการเงินต่างๆ ก็เป็นบุคคลตามกฎหมาย จึงไม่อาจมีสิทธิเหนือกว่าประชาชนหรือบุคคลโดยธรรมชาติ  ดังนั้น กฎหมายใดก็ดี ประกาศโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายใดก็ดี ที่ทำให้บุคคลได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายไม่เท่าเทียมกันแล้วย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ซึ่งท่านแสดงให้เห็นในคำวินิจฉัยส่วนตนในคดีแล้วว่าความเสมอภาคของบุคคลเป็นคุณค่าสำคัญที่รัฐธรรมนูญจะต้องพิทักษ์รักษาไว้

นอกจากนี้ เมื่อได้รับโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ดังได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งที่ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง และตุลาการทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตด้วยเกียรติยศในวิชาชีพนักกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและผู้เป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการควรยึดถือไว้ โดยเฉพาะท่ามกลางยุคทมิฬที่มาร ครองเมืองและนักกฎหมายส่วนใหญ่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอำนาจ และรับใช้ผู้มีอิทธิพลโดยบิดเบือนหลักการทางกฎหมายเช่นปัจจุบันนี้

ศ.ดร.อิสสระ ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่นและซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่จนเป็นที่ประจักษ์นั้นได้เป็นวิถีทางสำหรับคนรุ่นถัดไปได้เลือกเดินตาม บนวิถีทางของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระลึกถึงหลักการและหน้าที่ของตน


อ้างอิง

  • สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ. “ความเคลื่อนไหวในแวดวงศาลรัฐธรรมนูญ.” ปีที่ 4 เล่มที่ 10. วารสารศาลรัฐธรรมนูญ. (มกราคม – เมษายน 2545) : 3 – 7.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “การใช้ถ้อยคำ “แปรญัตติ” ที่ไม่ถูกต้อง.” มติชน. (23 มีนาคม 2536) : 9.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “เงินคงคลัง.” ปีที่ 41 ฉบับที่ 10. รัฐสภาสาร. (ตุลาคม 2536) : 60 – 76.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “วัวหายล้อมคอก บทเรียนจากการอภิปรายรายงบประมาณ.” มติชน. (6 มีนาคม 2536) : 8.
  • อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ. “อันว่าเงินคงคลังนั้นเป็นฉันใด.” ปีที่ 2 ฉบับที่ 5. วารสารการงบประมาณ. (เมษายน – มิถุนายน 2548) : 7 – 18.
  • คำวินิจัยฉัยส่วนตนของ นายอิสสระ นิติทัณฑ์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 42 – 43 / 2542.