ปรับกฎหมาย “สร้างพื้นที่สร้างสรรค์” ส่งเสริมโรงหนังขนาดเล็ก

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ประเด็นเรื่องโรงหนังขนาดเล็ก (micro cinema) หรือโรงหนังอิสระได้กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง หลังจากที่มีข่าวว่า Doc. Club & Pub ประกาศยุติการฉายหนัง เพราะข้อจำกัดเรื่องใบอนุญาตประกอบกิจการตาม พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 หรือ ใบอนุญาตโรงหนัง…ข่าวนี้กำลังบอกอะไรกับสังคมไทยบ้าง?

ในมุมของผู้เขียนเห็นว่าเรื่องนี้กำลังบอกเราอยู่ 2 เรื่อง 1.การเลิกฉายหนังของ Doc. Club & Pub สะท้อนว่าสังคมกำลังสูญเสียโรงหนังขนาดเล็กที่มีเปิดอยู่เพียงไม่กี่แห่งในไทย การสูญเสียนี้มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการส่งเสริมวัฒนธรรมของไทย

ที่ผ่านมาโรงหนังขนาดเล็ก มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับการแลกเปลี่ยนไอเดีย ความคิดทางศิลปะ และวัฒนธรรม โดยเป็นพื้นที่สำหรับแสดงความคิดสร้างสรรค์ในการทดลองนำเสนองาน และเป็นเวทีให้นักเรียนนักศึกษาทดลองนำผลงานสร้างสรรค์มานำเสนอต่อสังคม

ในขณะเดียวกันพื้นที่ของโรงหนังขนาดเล็ก ยังเป็นพื้นที่สำหรับการฉายหนังนอกกระแสหรือหนังอินดี้ ซึ่งเป็นวัตถุดิบอย่างดีในการเรียนรู้งานภาพยนตร์ แต่หนังในลักษณะนี้ ไม่ค่อยมีพื้นที่มากพอในโรงหนังขนาดใหญ่

2.การยุติฉายหนังนี้เกิดมาจากปัญหาการไม่มีใบอนุญาตฯ แม้ทางโรงหนังจะพยายามขอใบอนุญาตแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สำเร็จ เพราะในการขอใบอนุญาตโรงหนัง อาคารที่จะใช้เป็นโรงหนังจะต้องได้รับใบอนุญาตอีกใบหนึ่งที่เรียกว่า ใบอนุญาตในการเป็นอาคารมหรสพตามกฎหมายควบคุมอาคาร ซึ่งอาคารดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่โรงมหรสพต้องมี

หากพิจารณาเงื่อนไขของอาคารที่จะใช้เป็นโรงมหรสพแล้ว พบว่าการนำอาคารเก่ามาใช้ทำเป็นโรงหนังขนาดเล็กแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากตามกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้อาคารเพื่อประกอบกิจการโรงมหรสพ ได้กำหนดเงื่อนไขอาคารที่จะนำมาใช้เป็นโรงหนัง จะต้องมีเงื่อนไขด้านความมั่นคงปลอดภัยที่สูง อาทิ ต้องมีระบบไฟฟ้าสำรองที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ต้องมีระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ หรือต้องมีทางหนีไฟที่กันเปลวไฟและควันไม่ให้เข้าไปได้ รวมทั้งสามารถทนไฟได้นาน 2 ชั่วโมง

ความจำเป็นของการมีใบอนุญาตดังกล่าว มีขึ้นเพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร โดยเฉพาะการป้องกันอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ดี สังคมอาจตั้งคำถามได้ว่า เงื่อนไขดังกล่าวยังจำเป็นหรือไม่ในยุคสมัยนี้ เนื่องจากในอดีตมีเพียงโรงหนังขนาดใหญ่ที่เป็นอาคารสาธารณะรองรับคนจำนวนมาก เพื่อให้คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการฉายหนัง แต่ยังไม่มีธุรกิจโรงหนังขนาดเล็กที่รองรับผู้เข้าชมจำนวนไม่มาก 

ดังนั้น ภาพของโรงหนังที่อยู่ในกฎหมายจึงเป็นภาพของโรงหนังขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับแผ่นฟิล์มภาพยนตร์ที่เป็นวัตถุไวไฟ การให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในปัจจุบันโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่เน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่ต้องการเสพหนังนอกกระแส หรือหนังอินดี้ต่าง ๆ มีให้เห็นมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันโรงหนังฉายจากไฟล์ดิจิทัลแทน ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดเพลิงไหม้แบบเดิมน่าจะลดลง

ประเด็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความล้าสมัยของเงื่อนไขในกฎหมายไทย ที่ไม่ทันต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เกิดขึ้นในสังคม และเลือกใช้มาตรฐานแบบเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Doc. Club & Pub หรือโรงหนังขนาดใหญ่ในห้างสรรพสินค้าก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเดียวกัน

โดยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำลายผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย และส่งเสริมให้ตลาดภาพยนตร์มีผู้เล่นเพียงผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่เท่านั้น ทั้งที่ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจโรงหนังรายใหญ่ที่สุดของไทยเพียงรายเดียวได้ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 70% ของส่วนแบ่งตลาดทั้งหมดแล้ว

ทั้งนี้ ในมุมของผู้เขียน ความจำเป็นของมาตรการป้องกันอัคคีภัย และความมั่นคงแข็งแรงของอาคารตามเจตนารมณ์ของกฎหมายยังเป็นเรื่องจำเป็นและต้องใส่ใจ แต่มาตรฐานที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน อาจไม่ได้จำเป็นสำหรับโรงหนังขนาดเล็กที่รองรับคนเพียง 50 ที่นั่งเท่านั้น

ดังนี้ ทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุดคือ การสร้างมาตรฐานที่เหมาะสมตามขนาด และความเสี่ยงของกิจกรรม ซึ่งประเด็นนี้ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนักในระบบกฎหมายไทย ทั้ง ๆ ที่การกำกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจควรระลึกเสมอว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจแต่ละขนาดส่งผลกระทบได้ไม่เท่ากัน

รัฐบาลควรสนับสนุนให้กรมโยธาธิการและผังเมืองแก้ไขหรือออกกฎกระทรวงฉบับใหม่สำหรับอาคารที่ใช้ทำโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก โดยอาจเน้นไปที่สภาพความมั่นคงแข็งแรงของอาคารตามแบบแปลนที่เสนอมาให้พิจารณา และกำหนดมาตรฐานป้องกันอัคคีภัยที่เหมาะสม อาทิ การจัดให้มีถังดับเพลิงที่สอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าใช้อาคาร การมีเส้นทางและป้ายสัญญาณบอกทางหนีไฟ หรือการใช้มาตรการอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับอาคาร

การออกหรือแก้ไขกฎกระทรวงในครั้งนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ เพราะจะทำให้เจตนาที่ดีในการคุ้มครองความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดเป็นผลร้ายที่กลายเป็นข้อจำกัด และการทำลายพื้นที่สร้างสรรค์ ตัวอย่างของบทเรียนหนึ่งที่ประเทศไทยอาจจะเรียนรู้ได้คือ กรณีของประเทศญี่ปุ่น ที่โรงหนังขนาดเล็กในญี่ปุ่นมีส่วนสำคัญต่อการเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมวัฒนธรรม

ในญี่ปุ่นมีโรงหนังขนาดเล็กมากว่า 100 แห่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือโรงหนังในเครือธุรกิจขนาดใหญ่ โรงหนังแต่ละแห่งจะฉายหนังประเภทต่าง ๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากโรงหนังขนาดใหญ่ โดยเน้นฉายหนังในเชิงศิลปะ และสารคดีที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น โรงหนังเหล่านี้มีส่วนสำคัญต่อการหล่อเลี้ยงความหลากหลายในวัฒนธรรมภาพยนตร์ของญี่ปุ่น

ดังนั้น ประเทศไทย ที่อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลประกาศว่าจะมุ่งมั่นส่งออกวัฒนธรรม และเปลี่ยนประเทศไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมวัฒนธรรม สื่อสร้างสรรค์ และภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งการดำเนินการดังกล่าวไม่ต้องใช้งบประมาณแต่อย่างใด และถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้การเดินไปสู่สิ่งที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาสำเร็จได้

คลายปมใบอนุญาต ปั๊มหัวใจโรงแรมเล็ก ดึงรายได้เข้าประเทศ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ

ธุรกิจโรงแรมและที่พักค้างคืนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยก่อนวิกฤติโควิด-19 สร้างรายได้ให้ธุรกิจท่องเที่ยวถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ของ GDP รายได้เหล่านี้ไม่ได้มาจากโรงแรมขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงที่พักประเภทเกสต์เฮาส์ โฮสเทล และโฮมสเตย์ด้วย

แต่ปรากฏว่าหลังวิกฤติดังกล่าว ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านท่องเที่ยวของไทยกลับตกจากอันดับที่ 41 ในปี 2562 มาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2567 จากการประเมินตามดัชนี TTDI โดย World Economic Forum ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดพื้นฐานด้านบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านท่องเที่ยวที่ดีพอ ทำให้ไทยได้คะแนนเพียง 2.18 จาก 7 คะแนน

เงื่อนไขสำคัญที่เป็นปัญหา คือ ที่พักไม่เพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยว เนื่องจากโรงแรมขนาดเล็กและที่พักค้างคืนต่างทยอยปิดกิจการไป หลังจากที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพื่อการปรับตัวให้เป็นไปตามมาตรการ SHA ในช่วงโควิด-19ได้ เพราะไม่ใช่ที่พักที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมาย

ซ้ำร้ายเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ที่พักขนาดเล็กยังเผชิญกับปัญหาการไม่มีใบอนุญาต ที่เป็นปัญหาซึ่งค้างคามานานอีกระลอกหนึ่ง แล้วอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ที่พักขนาดเล็กไม่สามารถขอใบอนุญาต?

คำตอบคือ ความรุงรังของกฎระเบียบทั้ง กฎหมายธุรกิจโรงแรม อาคาร และเขตพื้นที่ ที่ผูกรัดกันเป็นเงื่อนตายจนบีบที่พักขนาดเล็กเจอกับความเสี่ยงที่จะล้มหายตายจากเพิ่มเติม

เงื่อนปมแรก กฎหมายธุรกิจโรงแรมมีความล้าสมัย และยังติดภาพกับโรงแรมขนาดใหญ่ที่กำหนดให้ที่พักค้างคืนอื่นๆ ต้องมีลักษณะเดียวกับโรงแรม เช่น ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีผู้จัดการโรงแรม โทรศัพท์ภายในห้องพัก หรือต้องติดเลขห้อง ทั้งที่ลักษณะทางธุรกิจแตกต่างกัน เช่น ผู้พักโฮสเทลไม่ได้คาดหวังบริการแบบโรงแรม

ในขณะที่หลายประเทศต่างปรับกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น เพื่อเปิดทางให้เกิดธุรกิจที่พักขนาดเล็ก อาทิ เกสต์เฮาส์ โฮสเทล หรือแคปซูลโฮเทล รวมไปถึงการรองรับเอกชนที่นำบ้านหรือคอนโดมาให้บริการเช่าระยะสั้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล แต่ปัจจุบันกฎหมายของไทยไม่ได้เปิดช่องเท่าที่ควร

เงื่อนปมที่สอง กฎระเบียบด้านอาคาร แม้ว่าที่ผ่านมากรมโยธาฯ ได้พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยออกกฎกระทรวงให้นำอาคารอื่น อาทิ บ้าน หรือตึกแถว มาทำโรงแรมได้ ซึ่งช่วยที่พักขนาดเล็กได้ในระดับหนึ่ง แต่กฎกระทรวงนี้มีสถานะชั่วคราว และได้สิ้นอายุลงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ปัญหาของที่พักยังแก้ไขไม่เรียบร้อย เนื่องจากติดเงื่อนไขเรื่องเขตพื้นที่

และเงื่อนปมสุดท้าย เขตพื้นที่ เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดประเภทที่พักให้หลากหลาย แม้ว่าจะมีการปรับปรุงอาคารให้สอดคล้องกับกฎหมายอาคารแล้ว แต่ยังมีเขตผังเมืองกำหนดเอาไว้ ซึ่งหากเป็นเขตห้ามสร้างโรงแรม ก็จะไม่สามารถทำที่พักอื่นได้ ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น คูเมืองเชียงใหม่ หรือถนนข้าวสาร ในทางกลับกันหากมีที่พักขนาดเล็กก็จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น

ปัญหาเหล่านี้แม้ภาครัฐตื่นตัวในการแก้ไข แต่อาจจะยังไม่ตรงจุดและไม่ครอบคลุม ทำให้เมื่อมีการแก้ไขปัญหาเรื่องอาคารแล้ว ก็ยังติดกับเงื่อนไขเขตพื้นที่ สุดท้ายก็ไม่สามารถออกใบอนุญาตได้อยู่ดี

จากการศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาในประเทศอื่นที่มีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวนั้น วิธีการหนึ่งคือ การแบ่งประเภทที่พักอย่างชัดเจน เช่น ในฝรั่งเศสกฎหมายแยกโรงแรม ที่พักกลางแจ้ง และโฮสเทลออกจากกัน แม้จะอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน

หรือในประเทศญี่ปุ่น แยกการขอใบรับรองที่พักหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม เรียวกัง หรือที่พักในลักษณะโฮสเทลที่มีการแชร์ห้องพักหรือที่พักอาศัยส่วนบุคคลที่เรียกว่า Minpaku

เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ที่รับรองให้มีที่พักหลายประเภท รวมถึงที่พักรูปแบบใหม่ๆ เช่น อพาร์เทล (ห้องพักที่รวมอพาร์ตเมนต์และโรงแรม) และ Mabuhay (คล้ายโฮมสเตย์ของไทย) ซึ่งรวมคอนโดมิเนียมด้วย

หัวใจของนโยบายแยกประเภทที่พักอยู่ที่ การกำกับดูแลที่จะต้องเป็นไปตามรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน แม้จะให้บริการที่พักคล้ายกันก็ตาม ซึ่งหลักการในลักษณะนี้ยังไม่ปรากฏในกฎหมายไทย

ดังนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ จึงเสนอให้ออกกฎหมายฉบับใหม่ โดยกำหนดประเภทที่พัก 3 ระดับคือ โรงแรม, ที่พักค้างคืนอื่นๆ อาทิ โฮสเทล เกสต์เฮาส์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่พักกลางแจ้ง และโฮมสเตย์ โดยที่พักทั้ง 3 ประเภทนี้ มีหน้าที่และวิธีการกำกับที่แตกต่างกัน 

เช่น โรงแรมอาจจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบมากกว่าที่พักรูปแบบอื่น มีการกำหนดมาตรฐานบริการขั้นต่ำ สิ่งอำนวยความสะดวก การมีผู้จัดการโรงแรม และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของอาคารสาธารณะ 

ส่วนที่พักค้างคืนลักษณะอื่นๆ ให้มีเงื่อนไขลดหลั่นกันลงมา อาจกำหนดด้านความสะอาด ความปลอดภัยและอัคคีภัย มีสิ่งอำนวยความเท่าที่จำเป็น รวมถึงต้องมีการรับรองความปลอดภัยของอาคารที่จะนำมาใช้รองรับผู้เข้าพัก ส่วนโฮมสเตย์ เน้นที่ความสะอาดถูกสุขลักษณะและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการหารายได้เสริมและการส่งเสริมวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ท้องถิ่นควรทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนโรงแรมและที่พักค้างคืน โดยมีบทบาทบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และสามารถออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับอาคารและประเภทที่พักได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดและเข้าใจพื้นที่ดี แต่รัฐบาลต้องสนับสนุนให้มีระบบลงทะเบียนกลางออนไลน์ที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ที่ท้องถิ่นและส่วนกลางใช้ทำงานร่วมกันได้

การแก้ไขกฎระเบียบตามแนวทางข้างต้นนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านท่องเที่ยว รวมถึงแก้ไขปัญหาของไทยที่ยังการขาดข้อมูลจำนวนที่พักที่แท้จริงในประเทศ

โดยมีข้อมูลจากสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ระบุว่า ข้อมูลที่เก็บจากกรมการปกครองและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง คลาดเคลื่อนกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขาดข้อมูลที่สมบูรณ์ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี และการวางนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ครอบคลุม

นอกจากข้อดีที่เกิดขึ้นกับภาครัฐแล้ว ขณะเดียวกันการปรับกฎหมายตามข้อเสนอดังกล่าวช่วยให้เอกชนทำธุรกิจได้ถูกกฎหมาย และอุดช่องการเรียกรับสินบนแล้ว ยังช่วยให้สามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ในระดับครัวเรือนด้วย

ที่สำคัญยังส่งผลต่อเส้นทางไปสู่เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ที่คาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยว 3.4 ล้านล้านบาทในปีหน้า ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีการทบทวนปัญหานี้ เพราะตราบใดที่โครงสร้างพื้นฐานยังมีปัญหา การดึงดูดนักท่องเที่ยวก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

กระชับเวลาช่วย บมจ. ควบรวมธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง พิยดา เกื้อทาน และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ

เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สนามแข่งขันของภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเป็นไปอย่างดุเดือด สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความดุเดือดของการแข่งขันได้เป็นอย่างดีคือ การเพิ่มขึ้นของการควบรวมธุรกิจ

“การควบรวม” เป็นอาวุธสำคัญที่ถูกใช้เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ จะเห็นได้จากที่ผ่านมาในระดับภูมิภาคเอเชีย Grab และ Uber สองผู้นำแพลตฟอร์มให้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน ดำเนินการควบรวมกลายเป็น Grab Holding เพื่อเพิ่มขอบเขตการให้บริการ และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ส่วนในประเทศไทยเองก็มีการควบรวมระหว่าง GULF กับ INTUCH เกิดบริษัทใหม่ชื่อว่า NewCo

ขณะที่ในปีหน้า มีการคาดการณ์กันว่าการส่งออกไทยในปี 2568 จะเติบโตต่ำกว่าในอดีต โดย SCB EIC วิเคราะห์สาเหตุไว้ว่าส่วนหนึ่งมาจากความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงนโยบายของรัฐบาล ประกอบกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐที่มีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยในตลาดโลกได้

ดังนั้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ซึ่งรวมถึงการควบรวมธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา และเพื่อรองรับสถานการณ์ของการควบรวมธุรกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องทบทวนบทบัญญัติของกฎหมายให้มีความเหมาะสมและส่งเสริมการควบรวมธุรกิจมากขึ้น

นอกจากการปรับกฎหมายให้มีความสอดคล้องกันมากขึ้น ระหว่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กับ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด ในประเด็นการแก้ไขคำนิยามการควบรวมกิจการ ที่คณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอได้มีข้อเสนอไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือ การปรับกระบวนการควบรวมธุรกิจให้มีความกระชับมากยิ่งขึ้น เพราะหากขั้นตอนดังกล่าวล่าช้า อาจกระทบต้นทุนดำเนินการของกิจการในที่สุด

หนึ่งในขั้นตอนของการควบรวมธุรกิจภายใต้กฎหมายปัจจุบันคือ การกำหนดให้บริษัทมหาชนต้องขอความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ในการควบรวมธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับชำระหนี้เอาไว้แล้ว โดยเจ้าหนี้มีสิทธิคัดค้านมติหรือแผนการควบรวมกิจการนี้ได้ ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินการควบรวมกิจการต่อไปได้ จนกว่าจะชำระหนี้หรือวางหลักประกันแก่เจ้าหนี้จนแล้วเสร็จ

นั่นหมายความว่า หากมีเจ้าหนี้จำนวนมากคัดค้านมติหรือแผนการควบรวมกิจการนี้ อาจใช้ระยะเวลาที่มากในการดำเนินการซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนการดำเนินธุรกิจในขั้นตอนต่อๆ ไป

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การควบรวมธุรกิจภายใต้ พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัดฯ พบว่ากฎหมายได้กำหนดให้เจ้าหนี้ส่งคำคัดค้านหากไม่เห็นด้วยกับควบรวมภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่มีมติให้ควบรวมกิจการ ซึ่งแตกต่างจากการควบรวมของบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดระยะเวลาไว้เพียง 1 เดือนเท่านั้น

โดยการกำหนดระยะเวลาที่ยาวนาน อาจจะส่งผลให้เกิดการควบรวมที่ล่าช้า และส่งผลต่ออัตราส่วนการแลกหุ้น (Swap Ratio) เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ตามไปด้วย

นอกจากนี้ ความแตกต่างของกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ยังเป็นอุปสรรคที่ไม่เอื้อต่อการควบรวมระหว่างบริษัทมหาชนและบริษัทจำกัด เนื่องจากแม้จะพ้นกำหนดระยะเวลาส่งคำคัดค้านของบริษัทจำกัดแล้ว การดำเนินการขั้นตอนต่อไปก็ยังไม่สามารถกระทำได้จนกว่าจะพ้นระยะเวลาการส่งคำคัดค้านของบริษัทมหาชนเสียก่อน ทำให้กระบวนการควบรวมล่าช้า และธุรกิจใช้ระยะเวลานานเกินความจำเป็น อีกทั้งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้บริษัทสามารถปรับตัวเข้ารับกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการควบรวมจะส่งผลให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ เช่น บริษัท ก มีทรัพย์สินมาก มีเจ้าหนี้น้อยราย แต่บริษัท ข ซึ่งมีทรัพย์สินน้อยมีเจ้าหนี้มาก เมื่อเกิดการควบรวมย่อมส่งผลให้ทรัพย์สินบริษัททั้งสองรวมกัน ทำให้เจ้าหนี้บริษัท ก เสียเปรียบเพราะทรัพย์สินถูกเฉลี่ย เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวสามารถจัดการได้ด้วยการเจรจากับเจ้าหนี้แต่ละราย

เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศแล้ว พบว่ามีหลักเกณฑ์แตกต่างจากกฎหมายไทย ตัวอย่างเช่นในกรณีของอินเดีย หลักเกณฑ์การควบรวมกิจการตามกฎหมายบริษัทปี 1959 (The Companies Acts. 1959) กำหนดว่าเจ้าหนี้ที่ไม่ได้ดำเนินการภายใน 1 เดือนจะถือว่าได้ลงมติเช่นเดียวกับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นการสร้างความแน่นอนและไม่ทำให้กระบวนการควบรวมกิจการต้องชะลอไป

จากหลักเกณฑ์ของอินเดียที่กำหนดระยะเวลาชัดเจน ทำให้กรรมการของบริษัทต้องแจ้งมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมสำเนามติที่ประชุม ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนของบริษัท รวมถึงเจ้าหนี้ของบริษัทที่ต้องให้ความยินยอมกับการควบกิจการนั้น เว้นแต่จะมีบทบัญญัติอื่นตามกฎหมายฉบับนี้หรือมีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าหนี้ของบริษัทไม่ยินยอมกับแผนการควบกิจการ มีสิทธิดำเนินการถอนเงินมัดจำ หรือเงินกู้ หรือเงินล่วงหน้า (ถ้ามี) ภายในระยะเวลา 1 เดือนนับแต่ได้รับแจ้งมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ในกรณีของไทย การแก้ไขกฎหมายเพื่อทำให้ระยะเวลากระชับและชัดเจนมากขึ้น อาจจะเป็นการช่วยให้การควบรวมธุรกิจทำได้รวดเร็วขึ้น โดยการแก้ไขเรื่องระยะเวลาดังกล่าวไม่ได้เป็นการกระทบสิทธิของเจ้าหนี้แต่อย่างใด เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิในการได้รับชำระหนี้อยู่เหมือนเดิม เพราะบริษัทที่ควบรวมแล้วย่อมรับไปซึ่งทั้งสิทธิและหน้าที่ของบริษัทเดิม

นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติปัจจุบัน บริษัทที่จะควบรวมจะทำการสอบถามเจ้าหนี้ที่บริษัทรับรู้ก่อน เพื่อเป็นการเตรียมการก่อนที่จะมีการส่งหนังสือบอกกล่าวผ่านทางไปรษณีย์ตอบรับ ซึ่งใช้เวลาเพียง 3-5 วันเท่านั้น และเจ้าหนี้บริษัทส่วนใหญ่อาจติดตามข่าวสารที่เป็นสาระสำคัญผ่านสื่อออนไลน์เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนี้ การสื่อสารเรื่องการควบรวมและการสั่งคำคัดค้านอาจไม่จำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาที่นานถึง 2 เดือนอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงเสนอให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแก้ไขระยะเวลาในการส่งคำคัดค้านของเจ้าหนี้ในกรณีไม่เห็นด้วยกับมติควบรวม ตาม พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด ให้สอดคล้องกับกรอบระยะเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่กำหนดไว้เพียง 1 เดือน เพื่อลดความลักลั่น พร้อมแก้ไขปัญหาความล่าช้าของขั้นตอน ลดต้นทุนดำเนินการ และช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการควบรวมให้เกิดขึ้นทั้งในบริษัทมหาชน หรือระหว่างบริษัทมหาชนและบริษัทจำกัดมากยิ่งขึ้น

ปรับนิยาม “ควบรวมกิจการ” บมจ. ยังรอการเปลี่ยนแปลง

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง ชุติมา สุทธิประภา, สิรนันท์ เดชะคุปต์, และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ

ห้วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ “ควบรวมกิจการ” ของบริษัทยักษ์ใหญ่ ซึ่งสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับสังคมอยู่หลายครั้ง จนบางคนถึงกับเรียกว่าเป็น “ยุคสมัยแห่งการควบรวมกิจการ”

“การควบรวมกิจการ” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจ ให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นในตลาดต่อไปได้ สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบที่บริษัทเข้ารวมกัน (merger) หรือการโอนกิจการโดยการซื้อขายกิจการซึ่งกันและกัน (acquisition)

เพื่อให้ได้มาซึ่งการเข้าถือครองทรัพย์สินจำพวกหุ้น หรือกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน โดยบริษัทมักจะทำการควบรวมกิจการเพื่อประโยชน์ในเชิงธุรกิจและเศรษฐกิจ อาทิ การขยายกิจการ ความอยู่รอดในการทำธุรกิจ การลดค่าใช้จ่าย

ก่อนปี 2565 ประเทศไทยมีกฎหมายสองฉบับที่บัญญัติหลักการทั่วไปในเรื่องควบรวมกิจการไว้ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา1238 สำหรับการควบรวมของบริษัทจำกัด และ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด) มาตรา 146 ประกอบมาตรา 152 สำหรับการควบรวมบริษัทมหาชนจำกัด

ทั้งบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัด สามารถควบรวมกันเพื่อให้เกิดเป็นบริษัทใหม่ได้ และทำให้บริษัทเดิมหมดสภาพนิติบุคคลไป (บริษัท A + บริษัท B = บริษัท C)

โดยส่วนใหญ่จะเป็นการควบรวมกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดและฐานะทางการเงินใกล้เคียงกันมารวมกัน เช่น การควบรวมบริษัทระหว่าง GULF กับ INTUCH, บริษัท TRUE กับ DTAC รวมทั้งบริษัท CP  กับ Lotus’s

แต่ในปัจจุบันมีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2565 มาตรา 1238 เพิ่มรูปแบบการควบรวมกิจการในลักษณะที่เป็นการโอนกิจการทั้งหมด

กล่าวคือภายหลังจากควบรวมแล้ว บริษัทหนึ่งบริษัทใดยังคงมีสภาพนิติบุคคล และบริษัทอื่นที่ควบรวมกันหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล (บริษัท A + บริษัท B = บริษัท A หรือ B) การเพิ่มเติมคำนิยามนี้ทำให้บริษัทจำกัดที่มีการควบรวมในลักษณะดังกล่าว ได้รับผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกันกับการควบรวมที่มีอยู่เดิม

อย่างไรก็ตาม คำนิยามการควบรวมกิจการของบริษัทมหาชนจำกัด ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด ยังไม่ถูกแก้ไขให้มีความครอบคลุมถึงรูปแบบการโอนกิจการทั้งหมด เช่นเดียวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ทำให้บริษัทมหาชนจำกัดที่มีการควบรวมโดยโอนกิจการทั้งหมดไม่ได้รับผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์ทางกฎหมายเช่นเดียวกับบริษัทจำกัด ไม่ว่าจะเป็น สิทธิประโยชน์ทางภาษี สิทธิการรับโอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจในกรณีทั่วไป 

การควบรวมกิจการเป็นเรื่องกลยุทธ์ในการประกอบกิจการตามปกติ จึงไม่ควรมีความแตกต่างกันระหว่างบริษัทมหาชนจำกัดและบริษัทจำกัด 

กรณีของสหรัฐอเมริกา มีการกำหนดลักษณะการควบรวมกิจการไว้ในบททั่วไปว่าด้วยบริษัท (corporation) โดยไม่ได้แบ่งเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด

ตามประมวลกฎหมายว่าด้วยบริษัท (Delaware’s General Corporation Law: DGCL) มาตรา 251 รวมถึงกฎหมายบริษัทจำกัด (The Uniform Limited Liability Company Act: ULLCA) ก็ไม่ได้กำหนดลักษณะการควบรวมกิจการที่แตกต่างจากบททั่วไป 

กล่าวคือ การควบรวมกิจการของทั้งบริษัทจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัดในสหรัฐอเมริกามีลักษณะเดียวกัน นำไปสู่ผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์จากการควบรวมกิจการที่เหมือนกัน

จากสถิติของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) สรุปสถานการณ์การควบรวมธุรกิจในช่วงปี 2562-2566 รวมทั้งสิ้น 137 ราย เฉลี่ยปีละ 27 บริษัท ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ จากการควบรวมกิจการในยุคสมัยใหม่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ดังนั้น การที่ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัดไม่ได้แก้ไขคำนิยามให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่งผลให้บริษัทมหาชนจำกัด ไม่ได้รับผลทางกฎหมายจากการควบรวมกิจการในรูปแบบเดียวกับบริษัทจำกัด และยังต้องดำเนินการควบรวมกิจการโดยใช้วิธีการที่มีต้นทุนในการดำเนินการมากกว่า

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาแก้ไขคำนิยามการควบรวมกิจการของบริษัท ตาม พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด ให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้ผลทางกฎหมายและสิทธิประโยชน์ทางกฎหมายจากการควบรวมบริษัทมหาชนจำกัดและบริษัทจำกัดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าการควบรวมกิจการเป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยส่งเสริมให้บริษัท สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการประกอบกิจการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตน 

แต่ทว่าในภาพใหญ่ของการพัฒนาตลาดทุนไทยย่อมมีกฎหมายและปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องให้พิจารณาประกอบ เช่น การควบรวมกิจการของบริษัทใหญ่ต้องไม่ขัดกับกฎหมายแข่งขันทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมาสังคมให้ความกังวลว่าอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการผูกขาด และกระทบต่อประโยชน์ของผู้บริโภคในอนาคตได้

ประเด็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยอาจจะต้องทบทวนและปรับปรุงกฎหมายควบรวมธุรกิจ ให้มีความครอบคลุมมากขึ้น 

เพื่อให้การควบรวมมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว เพิ่มความน่าดึงดูด รักษาการแข่งขันทางการค้า และส่งเสริมความแข็งแกร่งของตลาดทุนไทย โดยในบทความต่อไปคณะผู้วิจัยจะนำเสนอประเด็นการควบรวมกิจการในด้านอื่น ๆ อีก

Time to overhaul outdated fine system

First Published in Bangkok Post on August 28, 2024. This op-ed was written by Khemmapat Trisadikoon and Chattrika Napatanapong.

If you think our legal system is fair by imposing the same penalty on everyone for the same offence, think again.

Take the system of fines. Imposing the same fines on both the rich and the poor for the same violation hurts the poor while leaving the rich virtually unaffected.

To ensure fairness, this outdated system needs urgent reform.

Why focus on the fine system? Because the law mandates that courts use fines for less serious offences. Therefore, fines are the main penalty used by lower courts across the country, affecting the majority of people.

Between 2018 and 2022, the courts used fines in their verdicts far more often than imprisonment and detention, excluding suspended sentences, according to the Office of the Judiciary.

Thailand’s rigid fine system uses fixed fines for the same offence for everyone. For example, a particular crime may specify a fixed fine between 500 to 15,000 baht. Imagine the difference a street vendor and a millionaire face when ordered to pay a 10,000-baht fine.

This fixed fine system, which specifies the exact amounts for a violation, creates two problems: unfair penalties and outdated fines that cannot keep up with economic changes.

Firstly, unfair penalties. While imposing the same fine on everyone may seem fair, it definitely is not. Disregarding the country’s gross economic disparity, this system does not consider the economic status, income, or financial burden that affects low-income offenders more than the well-off.

Since those with money are not affected by the fines, they may continue to break the law because they are not afraid of the punishment.

Meanwhile, low-income offenders may have to choose imprisonment over paying the fines because they do not have the means to, reflecting disparity and social inequality in Thai society.

The Ministry of Justice and the Office of the Judiciary introduced measures like EM bracelets with bail or instalment payments for fines to address this concern. True, they might help reduce the number of people in jail, but they do not address the problem of disparity and unfair penalties.

Secondly, outdated fines that are out of touch with the present time. Since the fines were set long ago, they have become too low due to inflation over time.

Believe it or not, a study by the Thailand Development Research Institute shows that there are 420 laws that are still enforcing fines set as far back as 1859. One of them is the 1902 Clean Canal Act, which set the fine for littering in canals at just 20 baht.

However, setting the new rate of fines requires new legislation, which can become outdated by the time it is enacted.

To ensure fair and effective fines, Thailand can learn from the initiatives of other countries.

One solution is to eliminate fixed fines and replace them with fines per day that vary with the severity of the offence, the offender’s economic status, and their daily income to calculate appropriate fines.

The formula of the day-fine system is: fine = number of offence units (fine days) x the offender’s net daily income.

For example, running a red light is punishable by a fine of up to 4,000 baht without a jail term. Since it is not a severe offence, the fine may be calculated as five fine days x 1,000 baht net daily income, resulting in a 5,000-baht fine.

Different countries, however, have different systems for calculating variable fines according to their specific contexts.

For example, Germany uses two main factors to calculate daily fines: the number of fine days and the offender’s personal and financial circumstances, including occupation, income, and living conditions. This data, gathered through police investigations, is used to determine the offender’s net daily income.

In Finland, the police and prosecutors initially set fines for offenders. If these fines are not paid, the court decides whether to impose a new fine or a jail term. The penalty is based on the offender’s net daily income and information from their latest tax return, which can be accessed by the court and state authorities.

Meanwhile, several states in the United States have begun using the variable fine system before and after court procedures. For low-income offenders, the unemployed, and other vulnerable groups, the court may consider using the income of their spouses or carers to calculate their net daily income.

Several changes will be necessary for Thailand to adopt variable fines for a fair and effective system.

Most importantly, new legislation is needed to create a variable fine system, requiring other laws to change their penalties accordingly. This new law should also set rules and criteria on how it works.

First, it must determine which offences should be covered by the variable fine system. Our stance is that it should apply to all offences with fine penalties. In the initial stage, it should start with minor offences, traffic violations, and environmental and economic crimes.

Second, it should establish the rules for calculating the number of offence units or fine days. Our stance is that the fine days should be based on the severity of the offence comparable to the jail sentence. For example, if the jail term is more than one year, the number of fine days may be set at 360 days for each year of the verdict. If the verdict for a lesser offence is only one month, then the fine penalty may be calculated as 30 fine days.

Third, the law should establish criteria for using the offender’s economic status in calculating the number of fine days. It should also specify the factors that can reduce fines, such as income level, tax burden, and living expenses. These factors reflect the offender’s real net income and help determine proportional fines.

Apart from drafting the new law to institutionalise the fine-per-day system, the government needs to create implementation guidelines for relevant agencies, such as the police, prosecutors, judges, and officials in political administration, to collaborate on the procedures. Officials from the Revenue Department and social security agencies may also take part in determining the net income of the offenders. These proposals are part of what the government, political entities, and state agencies need to prepare to implement a fair and efficient variable fine system.

By updating the fine system to reflect economic and social realities, Thailand can move one step closer to a more just and equitable legal system. It is time for change.

ปฏิรูป ‘โทษปรับ’ เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรม

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง เขมภัทร ทฤษฎิคุณ และฉัตรฑริกา นภาธนาพงศ์

ปัจจุบันรัฐมุ่งเน้นการใช้ “โทษปรับ” กับความผิดที่ไม่รุนแรงมาก ดังนั้นบทลงโทษหลักที่ศาลชั้นต้นทั่วประเทศ ใช้กันมากคือโทษปรับ จากสถิติของสำนักงานศาลยุติธรรมในช่วงปี 2561-2565 พบว่า หากไม่นับรวมการรอการลงโทษแล้ว โทษปรับถูกนำมาใช้มากกว่าโทษจำคุกและการกักขัง

ที่มา: สำนักงานศาลยุติธรรม

โทษปรับตามกฎหมายของไทยมีลักษณะตายตัว ค่าปรับถูกกำหนดเป็นตัวเลขที่แน่นอน เช่น ปรับตั้งแต่ 500 บาท ไม่เกิน 15,000 บาท โดยการกำหนดอัตราค่าปรับตายตัวนี่เอง ทำให้เกิด 2 ปัญหาสำคัญ

ปัญหาแรก ความไม่ธรรมของค่าปรับจากการปรับในอัตราที่เท่ากันตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ได้พิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจ รายได้ และภาระของผู้ทำความผิด แม้ว่าสิ่งนี้ดูเหมือนจะยุติธรรมแต่ในความเป็นจริงผู้ที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบจากค่าปรับมากกว่าผู้ที่มีรายได้สูง

ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีรายได้สูงอาจจะมองว่า การจ่ายค่าปรับเป็นการอนุญาตให้สามารถทำผิดกฎหมายได้ และไม่เข็ดหลาบกับการกระทำความผิด นอกจากนี้ หากค่าปรับที่กฎหมายกำหนดไว้สูงเกินกว่าความสามารถจ่าย อาจทำให้ผู้มีรายได้น้อยยอมที่จะถูกจำคุกแทนการจ่ายค่าปรับ ซึ่งตอกย้ำภาพความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย

แม้ว่าในปัจจุบันกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรมจะพยายามหาทางแก้ไขปัญหานี้ โดยนำมาตรการต่างๆ เช่น การติดกำไล EM ร่วมกับการวางหลักประกัน หรือการอนุญาตให้ผ่อนชำระค่าปรับ แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด

ปัญหาที่สอง ความลักลั่นของโทษปรับจากการที่กฎหมายใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ทำให้ปัจจุบันค่าปรับที่เคยกำหนดเอาไว้อาจจะต่ำเกินไปไม่สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ

จากการศึกษาของผู้วิจัยพบว่า ตั้งแต่ปี 2402 มีกฎหมายที่มีโทษปรับและยังใช้บังคับอยู่ 428 ฉบับ ในจำนวนนี้ มีฉบับหนึ่งคือ พ.ร.บ. รักษาคลอง ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ที่มีโทษปรับกรณีทิ้งสิ่งสกปรกลงในคลองเพียง 20 บาทเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากจะมีการปรับเปลี่ยนอัตราค่าปรับ ก็ต้องมีการออกกฎหมายฉบับใหม่มาแก้ไข ซึ่งกว่ากฎหมายจะผ่านออกมาก็อาจจะล้าสมัยไปแล้ว

เมื่อลองพิจารณาบริบทของต่างประเทศพบว่า ในหลายประเทศเผชิญกับปัญหาในลักษณะเดียวกัน และได้หาวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้ค่าปรับที่มีความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการหนึ่งที่ในต่างประเทศนำมาใช้ก็คือ “การกำหนดอัตราค่าปรับแบบแปรผัน” หรือที่รู้จักในชื่อของ Day-fine system ที่ใช้วิธีการกำหนดหน่วยความผิด สถานะทางเศรษฐกิจของ ผู้ทำความผิด มาพิจารณาร่วมกับรายได้ต่อวันของผู้ทำความผิดเพื่อคำนวณหาอัตราค่าปรับที่เหมาะสม

โดยใช้สูตร ค่าปรับ = จำนวนหน่วยความผิด (วันปรับ) X รายได้สุทธิของผู้ทำความผิด ตัวอย่างเช่น ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท ถ้าคำนวณค่าปรับแบบแปรผัน ในกรณีนี้ถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว และมีความรุนแรงไม่มาก หน่วยการลงโทษอาจคิด 5 วันปรับ และจากนั้นนำจำนวนวันที่ได้ไปคูณกับเงินได้สุทธิ 1,000 บาท (เงินเดือน หักลดค่าใช้จ่ายและภาระต่าง ๆ แล้ว) ค่าปรับจึงเป็น 5,000 บาท

ทั้งนี้ การกำหนดอัตราค่าปรับแบบแปรผันจะแตกต่างกันตามแต่ละบริบทของประเทศ

เยอรมนี พิจารณาจากตัวแปรสำคัญ 2 ประการคือ (1) จำนวนหน่วยวันปรับการลงโทษ และ (2) พิจารณาจากสภาพแวดล้อมส่วนบุคคล และฐานะทางการเงินของผู้ทำความผิด เช่น อาชีพ ความเป็นอยู่ และรายได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวมจากการสอบสวนของตำรวจ โดยค่าปรับจะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นค่าเฉลี่ยรายได้สุทธิตามความเป็นจริงของผู้ทำความผิดใน 1 วัน

ฟินแลนด์ เป็นการปรับในจำนวนที่แน่นอนก่อนโดยตำรวจและพนักงานอัยการ แต่หากไม่มีการชำระค่าปรับ อัยการจะต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อให้มีคำสั่งลงโทษปรับหรือลงโทษจำคุกแทนโทษปรับ โดยจะพิจารณาคำนวณรายได้ต่อวันของผู้ทำความผิดจากข้อมูลและรายได้ที่ผู้ทำความผิดจากการชำระภาษีครั้งล่าสุด ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้พิพากษาจะสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวของผู้ทำความผิดได้

สหรัฐอเมริกา ในหลายมลรัฐมีการบังคับใช้โทษปรับแบบแปรผัน ทั้งในชั้นก่อนการพิจารณาคดี และชั้นการพิจารณาคดีของศาล และให้ความสำคัญกับผู้ทำความผิดที่ยากจน ผู้ที่ไม่มีรายได้ หรือกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ โดยศาลจะคำนวณรายได้สุทธิของผู้กระทำความผิดจากการนำรายได้ของคู่สมรสหรือบุคคลที่เป็นผู้ดูแลมาเป็นฐานในการคำนวณรายได้สุทธิของผู้ทำความผิดแทน

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยจะนำระบบการปรับแบบแปรผันมาใช้เพื่อสร้างระบบการปรับที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมีทั้งข้อท้าทายและสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนดังนี้

ยกร่างกฎหมายรับรองการปรับแบบแปรผัน เพื่อให้กฎหมายไปแก้ไขโทษปรับในกฎหมายอื่นๆ และกำหนดหลักเกณฑ์ของการพิจารณาและการกำหนดค่าปรับแบบแปรผันโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่

1. การกำหนดความผิดในลักษณะใดบ้างที่จะนำโทษปรับแบบแปรผันมาใช้ ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่า โทษปรับแบบแปรผันควรนำมาใช้กับความผิดที่มีโทษปรับทุกประเภท โดยช่วงเริ่มต้น อาจนำร่องใช้ในความผิด บางประเภทก่อน เช่น ความผิดลหุโทษ ความผิดจราจร ความผิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และความผิดทางเศรษฐกิจ

2. การกำหนดจำนวนวันปรับ ผู้วิจัยเสนอให้กำหนดหน่วยความผิดตามระดับความร้ายแรง โดยเปรียบเทียบกับโทษจำคุก หากโทษร้ายแรงมากจำคุกตั้งแต่ 1 ปี หน่วยการปรับอาจเท่ากับ 360 วัน แต่หากความผิดโทษจำคุกต่ำเพียง 1 เดือน หน่วยวันปรับอาจเท่ากับ 30 วัน

3. การกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจของผู้ทำความผิด ควรกำหนดปัจจัยที่จะนำมาใช้พิจารณาหักกลบและลดหย่อนค่าปรับ อาทิ รายได้ ภาระภาษี ค่าใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการสะท้อนตัวรายได้สุทธิของผู้ทำความผิด เพื่อให้การกำหนดค่าปรับสามารถลงโทษได้อย่างเหมาะสม

สร้างแนวปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมายให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง อัยการ ผู้พิพากษา รับรู้ขั้นตอนและกระบวนการร่วมกัน รวมถึงหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ที่อาจจะต้องเข้ามาร่วมสนับสนุนข้อมูลพิจารณารายได้สุทธิของผู้ทำความผิด อาทิ กรมสรรพากร หรือหน่วยงานทางสวัสดิการสังคม

ข้อเสนอนี้ข้างต้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผู้วิจัยคิดว่า รัฐบาล ฝ่ายการเมือง และหน่วยงานของรัฐต้องเตรียมพร้อมเพื่อที่จะนำไปสู่การนำระบบการปรับแบบแปรผันมาใช้เพื่อให้ระบบค่าปรับมีประสิทธิภาพในการลงโทษและเป็นธรรม

ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียด เพิ่มเติมได้ในรายงานทีดีอาร์ไอเรื่อง“การปฏิรูประบบค่าปรับในกฎหมายไทยเพื่อประสิทธิภาพในการลงโทษและความเป็นธรรมในสังคม”

งดเว้นการปิด ‘อากรแสตมป์’ ช่วยลดภาระ-ต้นทุนบริษัท

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 บนหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์วาระทีดีอาร์ไอ โดยเขียนร่วมกันระหว่าง ชุติมา สุทธิประภา และเขมภัทร ทฤษฎิคุณ

ภาระอย่างหนึ่งในการประชุมของบริษัทที่เราอาจจะนึกไม่ถึงก็คือ ภาระจากการที่กฎหมายกำหนดให้ปิดอากรแสตมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ที่ผู้ถือหุ้นไม่สามารถเข้าร่วมประชุมและต้อง “มอบฉันทะ” ให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทน

ประมวลรัษฎากรกำหนดให้หนังสือมอบฉันทะจะต้องปิดด้วย “อากรแสตมป์” ให้ถูกต้อง แม้กฎหมายจะระบุว่า การเสียภาษีและปิดอากรแสตมป์เป็นความรับผิดชอบของผู้มอบฉันทะ แต่ในทางปฏิบัติบริษัทเป็นผู้แบกรับค่าใช้จ่ายในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหุ้นตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (corporate governance)

กระบวนการดังกล่าวจึงถือเป็นหนึ่งในภาระงานของบริษัท เพราะทุกบริษัทจะต้องจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ขณะที่การปิดอากรลงในเอกสารมอบฉันทะของผู้ถือหุ้นนั้น มีค่าใช้จ่ายฉบับละ 30 บาทต่อครั้ง ทั้งยังมีต้นทุนด้านอื่นด้วย เช่น ค่าตอบแทนและระยะเวลาที่ใช้ปิดอากรแสตมป์ลงในหนังสือมอบฉันทะทุกฉบับ ซึ่งมีจำนวนมากน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของบริษัท

นั่นหมายความว่า หากคำนวณต้นทุนในการปิดอากรแสตมป์ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์กว่า 800 บริษัท และบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์อีกจำนวนมากจะพบว่าบริษัทมีต้นทุนจากการปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบฉันทะจำนวนไม่น้อยทีเดียว

ในขณะที่หน่วยงานรัฐก็มีรายได้จากการจัดเก็บอากรแสตมป์ในสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับรายได้จากฐานอื่น โดยสถิติของกรมสรรพากร ปีงบประมาณ 2566 รัฐมีรายได้จากอากรแสตมป์ประมาณ 17,066 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.82 ของรายได้จากภาษีที่กรมสรรพากรเก็บได้ทั้งหมด

สาเหตุที่เก็บรายได้จากอากรแสตมป์ได้น้อยนั้น อาทิ การเลี่ยงภาษีได้ง่ายจาก “การเวียนแสตมป์” หรือการนำแสตมป์ซึ่งปิดลงในเอกสารที่ใช้ไปแล้วกลับมาปิดเอกสารใช้ซ้ำอีกครั้ง และยังรวมถึงความไม่ชัดเจนของนิยามคำว่า “ตราสาร” ในประมวลรัษฎากรที่ทำให้ไม่แน่ใจว่าเอกสารใดจะต้องเสียภาษีบ้าง กฎหมายเพียงแต่ระบุว่า ตราสาร คือเอกสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามที่กฎหมายกำหนด

แม้ว่าในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐจะนำระบบ E-stamp มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก และง่ายต่อการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลแทนปิดอากรแสตมป์ แต่การต้องติดอากรแสตมป์กับธุรกรรมเล็กน้อยนั้น ยังคงเป็นภาระกับประชาชน ทีมวิจัยจึงเสนอให้ทบทวนการเก็บอากรจากหนังสือมอบฉันทะในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของบริษัท

หากพิจารณาจากเจตนารมณ์ดั้งเดิมของการปิดอากรแสตมป์นั้น เป็นไปเพื่อให้รัฐรับรู้การทำธุรกรรมโดยกฎหมายกำหนดให้ปิดอากรในหนังสือมอบฉันทะและขีดฆ่า ไม่เช่นนั้นจะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในศาลไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัติเรื่องนี้กลายเป็นความเสี่ยงในการทำธุรกรรม จากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่าการปิดอากรแสตมป์ไม่ได้มีผลในการพิสูจน์ความแท้จริงของเอกสารแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้ามกลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีในการตัดพยานแก่อีกฝ่ายหนึ่ง กล่าวคือ กรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องมีเอกสารมาแสดงในการนำสืบ เช่น การนำสืบเรื่องการมอบฉันทะ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีเอกสารมอบฉันทะที่ถูกต้องมาแสดง หากคู่ความฝ่ายนั้นไม่มีเอกสารมอบฉันทะที่มีการปิดอากรแสตมป์ถูกต้องครบถ้วน ก็จะไม่สามารถสืบพยานบุคคลแทนได้

ดังนั้น การที่รัฐเข้ามาเก็บภาษีกับธุรกรรมมอบฉันทะ จึงอาจเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนและภาคธุรกิจไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่รัฐได้รับจากการเก็บภาษีลักษณะดังกล่าว

จากการศึกษาแนวทางปฏิบัติของต่างประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์ พบว่ามีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเสียภาษีอากรแสตมป์ โดยเห็นว่าการปิดอากรแสตมป์ลงในเอกสารเป็นการสร้างอุปสรรคในการทำการค้าการลงทุนมากกว่ามองว่าเป็นการจัดเก็บเพื่อสร้างรายได้ให้รัฐ ทำให้มีการจัดเก็บภาษีอากรแสตมป์เพียงบางรายการเท่านั้น

ตัวอย่างกฎหมาย Stamp Duties Act 1929 ของสิงคโปร์ ได้กำหนดประเภทเอกสารที่ต้องชำระอากรไว้เฉพาะธุรกรรมการเช่าทรัพย์สิน การจำนอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ซื้อ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ขาย และการซื้อขายหุ้น (share transfer) ของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรกำหนดให้ธุรกรรมที่ยังจำเป็นต้องปิดอากรแสตมป์มีมากถึง 28 ลักษณะตราสาร

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการดำเนินการธุรกิจและลดภาระของบริษัท กรมสรรพากรอาจพิจารณายกเว้นการเก็บภาษีอากรจากธุรกรรมการมอบฉันทะเพื่อประชุมผู้ถือหุ้น โดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างต้นทุนที่บริษัทต้องแบกรับจากการจ่ายภาษีอากรแสตมป์ และรายได้ที่ภาครัฐจะได้รับจากการเก็บอากรแสตมป์

หากมีการยกเว้นการเก็บภาษีดังกล่าว บริษัทอาจสามารถนำเงินที่เป็นต้นทุนค่าอากรแสตมป์และค่าบริหารจัดการไปใช้ในการลงทุนหรือทำธุรกิจอย่างอื่นที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทแล้วสร้างประโยชน์ตอบแทนกลับมาในรูปแบบของภาษีเงินได้นิติบุคคลแทน

บทวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความ “โครงการกิโยตินกฎระเบียบ ตลาดทุน” โดยทีดีอาร์ไอและกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF)

Strengthening regulatory frameworks for Thailand’s digital economy

First published in Tech for Good Institute on April 16, 2024 This article is co-authored by Khemmapat Trisadikoon, a Senior Researcher at the Thailand Development Research Institute, and Wichayada Amponkitviwat, a Researcher at the Same Institute.

The regulation of Thailand’s digital economy is a complex web of decentralised authority spread across various agencies. This decentralized structure has led to fragmented oversight, with legislation, standards setting, and law enforcement responsibilities dispersed among different ministries and independent entities. These entities, ranging from public agencies under ministries to independent organisations, play roles in regulating market competition, protecting consumers, safeguarding personal data, and maintaining cybersecurity.

Overview of Thailand’s Regulatory Agencies in the Digital Economy

The Ministry of Digital Economy and Society (MDES) serves as the key authority responsible for shaping and supervising Thailand’s digital technology infrastructure. It oversees important subordinate agencies such as the Office of Electronic Transactions Development Agency (ETDA) and the Office of Personal Data Protection Committee (PDPC).

The National Broadcasting and Telecommunications Commission (NBTC) operates as an independent telecommunications regulator. Its responsibilities include regulating telecommunications businesses, issuing licenses to public and private entities, and overseeing competition within the telecommunications sector. The NBTC frequently collaborates with the Office of Trade Competition Commission of Thailand (TCCT) to ensure fair competition, thereby promoting quality and equitable services.

The ETDA plays a significant role in overseeing electronic transactions, including establishing standards for National Digital ID (NDID), e-signature authentication, and regulating digital platform service businesses. However, there are exceptions for specific sectors such as finance, which are regulated by entities like the Bank of Thailand (BOT) or the Office of Securities and Exchange Commission (SEC).

The PDPC oversees organisations in both the public and private sectors that handle personal and cross-border data. It ensures compliance with regulations and practices, resolving disputes to build confidence and trust in the country’s data policies.

The Office of the National Cyber Security Committee (NCSC) is crucial for defending against cyber threats, particularly those targeting critical national infrastructure, which affects national security and economic stability.

Competition protection in Thailand is supervised by the TCCT, which oversees and promotes general trade competition in the country, including in digital markets, especially platform-based businesses.

As noted, certain agencies are specifically dedicated to overseeing the financial sector. For example, the BOT plays a pivotal role in supervising and mitigating financial risks that may impact the public. It also ensures the standardisation of financial institutions’ credibility by establishing criteria and best practices. Conversely, the SEC is tasked with regulating capital markets. It safeguards investors by overseeing processes, business conduct, fundraising activities, and transactions involving digital assets to prevent fraud, deception, or misconduct within the Thai capital market.

Regulatory Complexity and Evolving Roles

In summary, Thailand’s current regulation of platform businesses involves both general agencies overseeing information technology and digital affairs, as well as specialised agencies for sectors like finance. These state agencies endeavor to collaborate through policies, measures, and various projects. For example, the BOT and the SEC may work with the ETDA Office to bolster the readiness of financial institutions and the Thai capital market.

The current regulatory landscape indicates a trend of expanding roles for regulatory agencies into previously unregulated areas. However, this expansion may strain human resources and expertise, posing challenges in responding adequately to evolving changes. Moreover, the existing legal framework may not fully address digital challenges; for instance, while the TCCT still emphasises ex-post regulation, platform behaviors have become increasingly complex. Effective ex-ante regulation necessitates access to algorithms to comprehend competitive behaviors and market conditions before platforms engage in anticompetitive conduct.

However, Thailand is confronted with regulatory gaps stemming from the absence of specific laws governing frameworks and legal authority across various agencies. Consequently, the nation is currently in the process of drafting legislation aimed at regulating platform businesses, establishing it as primary legislation for platform economies. This ongoing initiative seeks to rectify regulatory gaps by centralising coordination for platform regulation. The proposed legislation will delineate a framework governing general behavior within the platform business, defining responsibilities and additional obligations based on the specific risks posed by different types of platforms. Moreover, it will facilitate coordinated enforcement mechanisms between other specific laws, thereby addressing fragmented regulatory and enforcement gaps.

Advancing Regulatory Synergy

Although the enactment of laws governing the platform economy in Thailand remains pending, the primary challenge in regulating the nation’s digital economy lies in accelerating cooperation to accommodate swift changes. The Tech for Good Institute’s research has recommended promoting collaboration in three critical areas to tackle this issue:

Firstly, collaboration among government agencies is imperative due to the multifaceted nature of issues related to the digital economy, encompassing trade competition, consumer protection, cybersecurity, and personal data protection. Given the need for various specialised agencies to effectively address these challenges, coordinating cooperation among agencies to respond to emerging issues is crucial. However, divergent objectives and operations among different agencies may arise within the context of agency-specific mandates.

Secondly, both government agencies and private sector organisations may encounter challenges in regulation and oversight owing to the rapid development and evolution of technology. Regulatory frameworks may need to adapt to evolving business models and technological advancements. Additionally, government agencies may lack understanding of the regulatory landscape and may incorrectly assess the impacts of their regulations. Collaborations between government agencies and the private sector can facilitate the exchange of information and enhance understanding of business models and technologies.

Thirdly, collaboration between government agencies and counterparts from other countries can enhance the effectiveness of regulatory oversight in the digital economy. Challenges in regulation and oversight transcend jurisdictional boundaries, and exchanging experiences and fostering cooperation between government agencies across borders can lead to more effective regulatory mechanisms. Furthermore, learning from other countries can provide valuable insights and guidance.

Forging a Unified Regulatory Path Forward

In summary, Thailand’s regulatory framework for the digital economy is intricate, involving a diverse array of agencies with specific responsibilities. While efforts are made to collaborate and address emerging challenges, the expansion of regulatory roles and gaps in the legal framework present ongoing obstacles. To address these issues, Thailand is actively pursuing legislation aimed at centralising platform regulation, aiming to establish a cohesive framework and enhance enforcement mechanisms. However, accelerating cooperation remains a key challenge. Collaboration among government agencies, the private sector, and international counterparts is crucial for navigating complexities effectively. By fostering synergy and exchanging insights, Thailand can pave the way for a more adaptive regulatory landscape in its digital economy journey.

บทเรียน หุ้น STARK สู่การเพิ่มคุณภาพระบบควบคุมการสอบบัญชี

[:th]

4.3 หมื่นล้านบาทเป็นตัวเลขความเสียหายรวมจากกรณีหุ้น STARK ความเสียหายครั้งนี้ นับเป็นการเขย่าตลาดทุนอย่างรุนแรง มูลค่าความเสียหายมากกว่าครึ่ง หรือราว 2.5 หมื่นล้านบาท เกิดจากการ “ตกแต่งบัญชี” ซึ่งมีทั้งสร้างยอดขายปลอม และการทำธุรกรรมอำพราง

ปัญหาดังกล่าวตอกย้ำว่า บทบาทของการสอบบัญชีในตลาดหลักทรัพย์มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในฐานะผู้จัดทำรายงานทางการเงินที่บ่งบอกผลการดำเนินกิจการว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะส่งสัญญาณให้กับนักลงทุนในการเลือกลงทุนในกิจการนั้นๆ แต่ถ้าผู้สอบบัญชีไม่ได้แสดงความเห็นต่อรายงานทางการเงินตามมาตรฐาน หรือจริยธรรมการสอบบัญชีแล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาคือ รายงานทางการเงินที่ไม่สะท้อนสภาพที่แท้จริงของกิจการ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้นักลงทุนได้รับความเสียหายจากการลงทุนในกิจการที่มีปัญหา

ขณะที่ในปัจจุบันกฎหมายมุ่งไปที่ผู้สอบบัญชีเป็นรายบุคคลเท่านั้น ทำให้เมื่อเกิดความบกพร่องในงานสอบบัญชี จะกลายเป็นความบกพร่อง “เฉพาะ” ผู้สอบบัญชีเพียงคนเดียวส่วนสำนักงานสอบบัญชีไม่ได้ถูกดึงเข้ามาร่วมรับผิดด้วย ซึ่งถือว่าเป็น”ช่องว่าง” ของกฎหมาย เพราะในความเป็นจริงแล้วข้อบกพร่องนั้นอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบควบคุมคุณภาพของสำนักงานสอบบัญชี อีกทั้งลักษณะการทำงานสอบบัญชีไม่ใช่งานที่จะทำโดยลำพังได้

ดังนั้นเพื่อให้การกำกับดูแลการสอบบัญชีของกิจการในตลาดทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องมีการกำกับดูแลควบคู่กันไประหว่างผู้สอบบัญชีและสำนักงานสอบบัญชี เชิญติดตามรับฟังได้ในรายการพินิจเศรษฐกิจการเมือง: บทเรียน หุ้น STARK สู่การเพิ่มคุณภาพระบบควบคุมการสอบบัญชี โดย “เขมภัทร ทฤษฎิคุณ” นักวิจัยทีมกฎหมายเพื่อการพัฒนา ทีดีอาร์ไอ

[:]